แนวหินบินิมี
เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล ‘เพลโต’ (Plato) นักปรัชญาชื่อดังของกรีกโบราณ ได้จารึกเรื่องราวของอาณาจักร ‘อาณาจักรแอตแลนติส’ ที่หายสาบสูญใต้ท้องมหาสมุทรเอาไว้ว่า อาณาจักรแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรือง มีพลเมืองผู้ทรงคุณธรรม มีความก้าวหน้าสูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศ ด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตมันขึ้นมา
จากจารึกนั้นสอดคล้องกับการค้นพบซากอารยธรรมแห่ง ‘หมู่เกาะบิมินี’ (Bimini Islands) หมู่เกาะที่เต็มไปด้วยโครงสร้างแนวหินใต้ทะเลที่มีปริศนามากมายรอการพิสูจน์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศบาฮามาส ถูกค้นพบโดยบังเอิญเมื่อปี ค.ศ. 1968 โดยนักประดาน้ำ 3 คน นามว่า J. Manson Valentine, Jacques Mayol และ Robert Angove บริเวณที่พบแนวหินอยู่นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่เกาะบิมินี ซึ่งบริเวณนั้นน้ำลึกเพียง 4-6 เมตร ทำให้เห็นแนวหินได้ชัดเจน
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าแนวหินเหล่านี้มีอายุประมาณ 2,800-3,500 ปี แต่สิ่งที่ทำให้นักโบราณคดีประหลาดใจคือ แนวหินที่ก่อตัวเรียงรายกัน โดยเฉลี่ยขนาดของแนวหินเหล่านี้จะอยู่ที่ 1-2 เมตร ก้อนที่ใหญ่ที่สุดวัดได้ 3-4 เมตร วางเรียงเป็นแนวยาวกว่า 800 เมตร จนถูกตั้งชื่อว่า ถนนบิมินี (Bimini Road) แต่มีข้อสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
Edgar Cayce นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกัน ที่มีความเชื่อด้านจิตวิญญาณและการกลับชาติมาเกิด ได้ทำนายว่าอารยธรรมแอตแลนติสนั้นมีอยู่จริง โดยกล่าวว่าภายในปี ค.ศ.1968-1969 มนุษย์จะได้พบกับบางส่วนของอารยธรรมที่เชื่อกันว่าล่มสลายไปเมื่อ 10,000 ปีก่อน ซึ่งในเวลาต่อมานักสำรวจได้ค้นพบแนวถนนใต้ทะเลลึกใกล้กับหมู่เกาะบิมินีจริง ซึ่งเคย์ซีได้ทำนายไว้เมื่อปี ค.ศ.1938
‘ถนนบินิมี’ อาจเป็นส่วนหนึ่งของ ‘อาณาจักรแอตแลนติส’ หรือไม่ แต่เรื่องราวของสถานที่ใต้มหาสมุทรสุดอัศจรรย์แห่งนี้ ยังคงเป็นปริศนาที่ยังคงรอการพิสูจน์ต่อไป
Cr.
https://atlantis2509.blogspot.com/2018/01/blog-post.html / เขียนโดย manes
“Z” นครลับที่สาบสูญ
นครลับที่สาบสูญ “Z” (The Lost City of Z) เป็นที่รู้จักกันในฐานะของภาพยนตร์เมื่อปี 2016 เชื่อกันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ มีต้นแบบมาจากเหตุการณ์จริงในอดีต
เรื่องราวของ Percy Harrison Fawcett นักสำรวจผู้กำเนิดในอังกฤษเมื่อปี 1867 และเป็นหนึ่งในตำนานนักเดินป่าที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ที่เชื่อกันว่าเก่งมากจนมีชีวิตรอดในป่าเป็นเวลานานโดยใช้แค่เข็มทิศกับมีดพร้า และยังเป็นเพื่อนกับชนพื้นเมืองในป่าได้ ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยพบคนขาวมาก่อน
Percy กล่าวถึงนครลับซึ่งเขาเรียกว่า “Z” ครั้งแรกในปี 1912 ไม่นานหลังจากที่โลกมีการค้นพบเมืองอินคาอย่างมาชูปิกชู (ในปี 1911) เขาอ้างว่านครลับ Z น่าจะถูกฝังอยู่ลึกเข้าไปในป่าแถบประเทศชิลี โดยที่มีถนนทำจากเงินและหลังคาที่ทำจากทอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 ชาวยุโรปมีความเชื่อในหมู่นักสำรวจว่า อาณาจักรทั้งหมดในป่าทวีปอเมริกาใต้นั้นล้วนแต่เป็นทองคำทั้งสิ้น
ต่อมาในปี 1920 Percy พบเอกสารจากนักเดินทางชาวโปรตุเกสในปี 1753 ที่อ้างว่าพบเมืองโบราณลักษณะคล้ายเมืองโรมันอยู่ในเขต Mato Grosso ของประเทศบราซิล ทำให้ Percy ออกเดินทางไปในป่าของบราซิลในปี 1921 แต่ก็ต้องพบกับความยากลำบากมากมาย ทั้งสัตว์ในป่า และโรคภัยอื่นๆ จนต้องล้มเลิกการค้นหาไปหลายครั้ง ก่อนสุดท้ายเขาจะหายไปอย่างลึกลับกลางพื้นป่า ในปี 1925
ต่อมาในปี 1952 ชาวอินเดียนในพื้นที่ได้อ้างว่าสังหารคนที่มีลักษณะคล้าย Percy Fawcett และคณะเดินทางและมีหลักฐานเป็นกระดูกกองหนึ่ง แต่เนื่องจากทางครอบครัว Fawcett ไม่ยอมร่วมในการตรวจ DNA สุดท้ายจึงไม่อาจทราบได้ว่ากระดูกกองนี้เป็นของ Percy หรือไม่
ที่มา ancient-origins
Cr.
https://www.catdumb.com/percy-fawcett-and-the-lost-city-of-z-378/ โดย เหมียวศรัทธา
Machu Picchu บนรอยเลื่อนแผ่นเปลือกโลก
ความเป็นมาและสถานที่ตั้งของ "มาชูปิกชู" (Machu Picchu) ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นเพื่ออะไร และเหตุใดจึงต้องซ่อนตัวอยู่บนหุบเขาสูงชันยากแก่การเข้าถึง
ล่าสุดมีผู้เสนอผลการศึกษาทางธรณีวิทยา ซึ่งชี้ถึงคำตอบที่เป็นไปได้ว่า ชาวอินคาเลือกบริเวณ "หุบเขาศักดิ์สิทธิ์" ที่มีแม่น้ำอูรูบัมบาโอบล้อมเป็นที่ตั้งสถานที่สำคัญ เพราะมีรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกและรอยแยกของพื้นหินตัดกันเป็นเครื่องหมายรูปกากบาท (X) เช่นเดียวกับเมืองโบราณแห่งสำคัญอื่น ๆ ในจักรวรรดิอินคา
ผลวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมและการตรวจวัดทำแผนที่จากสถานที่จริงยืนยันว่า มาชูปิกชูถูกสร้างอยู่บนรอยเลื่อนและรอยแยกลักษณะดังกล่าว โดยรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกบางแนวที่พบมีความยาวถึง 175 กิโลเมตร
ดร. รูอัลโด เมเนกัต นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งริโอกรานเดโดซูลของบราซิล รายงานผลการศึกษาข้างต้นต่อที่ประชุมประจำปีของสมาคมธรณีวิทยาแห่งอเมริกา (GSA) เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา ชี้ว่าชาวอินคาจงใจสร้างเมืองตามแนวรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่มีเทือกเขาสูงและมีแหล่งหินเก่าแก่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถใช้ในการก่อสร้างได้อย่างสะดวกและเหลือเฟือ โดยไม่ต้องเจาะสกัดและเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น
การสร้างเมืองตามแนวของแหล่งหินธรรมชาติ ทำให้ชาวอินคาสร้างกำแพง ขั้นบันได และตัวอาคารได้ โดยไม่ต้องใช้วิธีก่ออิฐถือปูน แต่ใช้การตัดและเรียงหินแต่ละก้อนให้ทำมุมแนบสนิทกันพอดี ซึ่งการก่อสร้างที่ใช้วิธีประณีตเช่นนี้จะสำเร็จลงได้อย่างรวดเร็วและไม่เปลืองแรง ก็จะต้องทำในแหล่งหินที่ใช้เป็นวัสดุเท่านั้น
"การวางแผนผังของกลุ่มอาคารและขั้นบันไดในมาชูปิกชู สอดคล้องกับแนวรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกและเครือข่ายของรอยแยกในพื้นหินอย่างชัดเจน ซึ่งรอยแตกเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นทางระบายน้ำเมื่อเกิดฝนตกหนัก ช่วยป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับสิ่งก่อสร้างได้เป็นอย่างดีอีกด้วย"
มาชูปิกชูตั้งอยู่ในหุบเขาที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,430 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอินคาที่เคยรุ่งเรืองในภูมิภาคอเมริกากลางระหว่างศตวรรษที่ 13-16 นักโบราณคดีบางกลุ่มเชื่อว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นเป็นที่มั่นแห่งท้าย ๆ เพื่อหลบหนีการรุกรานของนักล่าอาณานิคม บ้างก็เชื่อว่าอาจจะเป็นอารามของนักบวชหญิง, พระราชวังสำหรับจักรพรรดิเสด็จแปรพระราชฐาน, วิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งอาจเป็นสถานที่จำลองตำนานกำเนิดโลกและจักรวาลตามคติความเชื่อของชาวอินคา
Cr.
https://www.bbc.com/thai/features-49871142
รอยปริศนาในป่าอเมซอน
ทีมนักวิจัยจากสหราชอาณาจักรและบราซิลค้นพบโครงสร้างลี้ลับอายุกว่า 2,000 ปีหลายร้อยชิ้นในป่าอเมซอน ประเทศบราซิล โดยสิ่งก่อสร้างอายุนับพันปีเหล่านี้ถูกป่ารกชัฏปกคลุมมายาวนาน จนกระทั่งถูกเปิดเผยต่อสายตามนุษย์หลังจากมีการตัดไม้ทำลายป่าอย่างหนักในช่วงไม่กี่ปีมานี้
สิ่งก่อสร้างเนินดินคล้ายคูน้ำและกองก้อนหินประหลาดคล้ายสโตนเฮนจ์ในประเทศอังกฤษ ตั้งเรียงรายกินพื้นที่ 13,000 ตร.กม. กระจายอยู่ในพื้นที่รัฐอากรีในป่าอเมซอนทางตะวันตกของบราซิล แม้นักวิจัยจะยังไม่ทราบจะประสงค์ในการก่อสร้างโครงสร้างโบราณนี้ แต่คาดว่าอาจจะถูกใช้เป็นที่รวมตัวประกอบพิธีกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด
จากการวิเคราะห์ดินที่ขุดขึ้นมาจากภายในและนอกเนินดินของสิ่งก่อสร้าง พบว่า พื้นที่ดังกล่าวอาจจะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมืองดั้งเดิม ยังพบหลักฐานอีกว่าบรรพบุรุษของชาวบราซิลไม่ได้เผาป่าเป็นวงกว้างไม่ว่าจะเพื่อทำการเกษตรหรือการสร้างโครงสร้างลี้ลับ แต่พวกเขากลับให้ความสนใจกับการปลูกพืชเศรษฐกิจ อาทิ ปาล์ม จากการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า มีร่องรอยเหล่านี้มากถึง 450 แห่งทางตอนเหนือของประเทศบราซิลและโบลิเวีย โดยร่องรอยโบราณที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุมากถึง 3,000-3,500 ปี
ภาพ : มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์
ที่มา www.m2fnews.com
Cr.
https://www.posttoday.com/world/479937
แอ่งยักษ์ใต้ทะเลที่ไขปริศนา ‘สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา’
สำนักข่าว DailyMail ประเทศอังกฤษได้รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พบแอ่งขนาดยักษ์ใต้ทะเล Barents มีความกว้างอยู่ราวๆ 0.8 กิโลเมตร และลึกลงไปราวๆ 46 เมตร ทำให้เกิดการสะสมของก๊าซมีเทนที่รั่วออกมาจากใต้พิภพจนระเบิดและทำให้ทะเลแถบนั้นปั่นป่วน
ทีมนักวิทยาศาสตร์แห่ง Arctic University of Norway ได้ออกมากล่าวเพิ่มเติมว่า ในแถบนี้มีแอ่งขนาดยักษ์อยู่หลายแห่ง ซึ่งก่อให้เกิดการระเบิดของก๊าซในปริมาณมาก อาจเรียกได้ว่าเป็นแหล่งขุมพลังก๊าซมีเทนตื้นใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรอาร์กติกเลยทีเดียว และแน่นอนว่าก๊าซที่ระเบิดใต้ทะเลในระดับตื้นๆ อย่างรุนแรงนั้นทำให้อันตรายต่อการเดินทางโดยเรือมาก
สำหรับการค้นพบเหล่าบรรดาแอ่งขนาดยักษ์ใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ นำไปสู่การเชื่อมโยงในเรื่องของเรือเดินสมุทรหลายๆ ลำที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย และนี่อาจจะคือเหตุผลที่แท้จริงที่เรือหลายๆ ลำได้มาสูญหายบริเวณนี้
ที่มา: Kapook, Dailymail
Cr.
https://www.catdumb.com/bermuda-triangle-333/ By อดีตเหมียว
“ซิวดัดบลังกา” นครลึกลับที่ถูกค้นพบ
เรื่องราวตำนานที่ถูกเล่าต่อๆอาจกลายเป็นเรื่องจริงเช่นเดียวกับการค้นพบในครั้งนี้ เมื่อนักสำรวจพบ เมืองที่สาบสูญและเชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งเทพเจ้าลิง”
La Ciudad Blanca (The White City) ถูกค้นพบในปี 2015 ในป่าฝนลึกของฮอนดูรัส ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ที่พบหลักฐานสำคัญต่างๆ มากมาย นับเป็นเมืองลับเก่าแก่ที่ไม่มีร่องรอยการบุกรุกของมนุษย์หรือนักสำรวจคนไหนมาก่อนจากเครื่องสำรวจระยะไกล (LIDAR)
ก่อนหน้านี้ ธีโอดอร์ มอร์ด นักผจญภัยได้เขียนเรื่องราวการผจญภัยจนพบเมืองที่สาบสูญของเทพลิง เอาไว้เมือปี 1940 แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดสถานที่แห่งนี้มากนัก เนื่องจากกลัวว่าจะมีคนเข้าไปขโมยซากวัตถุโบราณเหล่านี้ไป ก่อนจะฆ่าตัวตายไปพร้อมกับความลับของเส้นทางเข้าสู่เมืองดังกล่าว จนกระทั่งปี 2015 ทีมนักสำรวจจึงพบเมืองลึกลับตามที่ ธีโอดอร์ มอร์ด เคยพูดไว้ โดยเมืองที่สาบสูญแห่งนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยธรรมชาติ
ในการสำรวจครั้งนี้ นักวิจัยและทีมงานกว่าครึ่งป่วยกะทันหันจากโรคแบคทีเรียกินเนื้อ (Necrotizing fasciitis) โดยมีอาการผิวหนังตามร่างกายจะเน่าและลามไปทั่วตัว และโรคลิชมานิเอซิส (Leishmaniasis) ที่เกิดจากปรสิตและโปรโตซัวอย่างรุนแรง ทำให้ต้องรีบออกจากพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเข้าการรักษาป้องกันการลุกลามถึงขั้นเสียชีวิต
นักสำรวจเชื่อว่าสาเหตุที่เมืองแห่งนี้ล่มสลายอาจเป็นเพราะแบคทีเรียกินเนื้อคนแพร่ระบาด ที่คร่าชาวเมืองและอาณาจักรแห่งนี้ล่มสลาย ต้นปี 2017 หนึ่งในทีมสำรวจที่พบเมืองนี้ ดักลาส เปรสตัน ได้เขียนหนังสือเรื่องชื่อ The Lost City of the Monkey God บอกถึงเรื่องราวการค้นพบและตำนานที่ผู้รุกรานอาจต้องจบชีวิตด้วยโรคร้ายแรง
Cr.
https://way-of-life-menmen.blogspot.com/2018/06/blog-post_29.html?m=1 / By menmen
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
เรื่องราวที่เป็นปริศนาของนครโบราณ
เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล ‘เพลโต’ (Plato) นักปรัชญาชื่อดังของกรีกโบราณ ได้จารึกเรื่องราวของอาณาจักร ‘อาณาจักรแอตแลนติส’ ที่หายสาบสูญใต้ท้องมหาสมุทรเอาไว้ว่า อาณาจักรแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรือง มีพลเมืองผู้ทรงคุณธรรม มีความก้าวหน้าสูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศ ด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตมันขึ้นมา
จากจารึกนั้นสอดคล้องกับการค้นพบซากอารยธรรมแห่ง ‘หมู่เกาะบิมินี’ (Bimini Islands) หมู่เกาะที่เต็มไปด้วยโครงสร้างแนวหินใต้ทะเลที่มีปริศนามากมายรอการพิสูจน์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศบาฮามาส ถูกค้นพบโดยบังเอิญเมื่อปี ค.ศ. 1968 โดยนักประดาน้ำ 3 คน นามว่า J. Manson Valentine, Jacques Mayol และ Robert Angove บริเวณที่พบแนวหินอยู่นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่เกาะบิมินี ซึ่งบริเวณนั้นน้ำลึกเพียง 4-6 เมตร ทำให้เห็นแนวหินได้ชัดเจน
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าแนวหินเหล่านี้มีอายุประมาณ 2,800-3,500 ปี แต่สิ่งที่ทำให้นักโบราณคดีประหลาดใจคือ แนวหินที่ก่อตัวเรียงรายกัน โดยเฉลี่ยขนาดของแนวหินเหล่านี้จะอยู่ที่ 1-2 เมตร ก้อนที่ใหญ่ที่สุดวัดได้ 3-4 เมตร วางเรียงเป็นแนวยาวกว่า 800 เมตร จนถูกตั้งชื่อว่า ถนนบิมินี (Bimini Road) แต่มีข้อสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
Edgar Cayce นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกัน ที่มีความเชื่อด้านจิตวิญญาณและการกลับชาติมาเกิด ได้ทำนายว่าอารยธรรมแอตแลนติสนั้นมีอยู่จริง โดยกล่าวว่าภายในปี ค.ศ.1968-1969 มนุษย์จะได้พบกับบางส่วนของอารยธรรมที่เชื่อกันว่าล่มสลายไปเมื่อ 10,000 ปีก่อน ซึ่งในเวลาต่อมานักสำรวจได้ค้นพบแนวถนนใต้ทะเลลึกใกล้กับหมู่เกาะบิมินีจริง ซึ่งเคย์ซีได้ทำนายไว้เมื่อปี ค.ศ.1938
‘ถนนบินิมี’ อาจเป็นส่วนหนึ่งของ ‘อาณาจักรแอตแลนติส’ หรือไม่ แต่เรื่องราวของสถานที่ใต้มหาสมุทรสุดอัศจรรย์แห่งนี้ ยังคงเป็นปริศนาที่ยังคงรอการพิสูจน์ต่อไป
Cr.https://atlantis2509.blogspot.com/2018/01/blog-post.html / เขียนโดย manes
เรื่องราวของ Percy Harrison Fawcett นักสำรวจผู้กำเนิดในอังกฤษเมื่อปี 1867 และเป็นหนึ่งในตำนานนักเดินป่าที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ที่เชื่อกันว่าเก่งมากจนมีชีวิตรอดในป่าเป็นเวลานานโดยใช้แค่เข็มทิศกับมีดพร้า และยังเป็นเพื่อนกับชนพื้นเมืองในป่าได้ ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยพบคนขาวมาก่อน
Percy กล่าวถึงนครลับซึ่งเขาเรียกว่า “Z” ครั้งแรกในปี 1912 ไม่นานหลังจากที่โลกมีการค้นพบเมืองอินคาอย่างมาชูปิกชู (ในปี 1911) เขาอ้างว่านครลับ Z น่าจะถูกฝังอยู่ลึกเข้าไปในป่าแถบประเทศชิลี โดยที่มีถนนทำจากเงินและหลังคาที่ทำจากทอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 ชาวยุโรปมีความเชื่อในหมู่นักสำรวจว่า อาณาจักรทั้งหมดในป่าทวีปอเมริกาใต้นั้นล้วนแต่เป็นทองคำทั้งสิ้น
ต่อมาในปี 1920 Percy พบเอกสารจากนักเดินทางชาวโปรตุเกสในปี 1753 ที่อ้างว่าพบเมืองโบราณลักษณะคล้ายเมืองโรมันอยู่ในเขต Mato Grosso ของประเทศบราซิล ทำให้ Percy ออกเดินทางไปในป่าของบราซิลในปี 1921 แต่ก็ต้องพบกับความยากลำบากมากมาย ทั้งสัตว์ในป่า และโรคภัยอื่นๆ จนต้องล้มเลิกการค้นหาไปหลายครั้ง ก่อนสุดท้ายเขาจะหายไปอย่างลึกลับกลางพื้นป่า ในปี 1925
ต่อมาในปี 1952 ชาวอินเดียนในพื้นที่ได้อ้างว่าสังหารคนที่มีลักษณะคล้าย Percy Fawcett และคณะเดินทางและมีหลักฐานเป็นกระดูกกองหนึ่ง แต่เนื่องจากทางครอบครัว Fawcett ไม่ยอมร่วมในการตรวจ DNA สุดท้ายจึงไม่อาจทราบได้ว่ากระดูกกองนี้เป็นของ Percy หรือไม่
ที่มา ancient-origins
Cr.https://www.catdumb.com/percy-fawcett-and-the-lost-city-of-z-378/ โดย เหมียวศรัทธา
ล่าสุดมีผู้เสนอผลการศึกษาทางธรณีวิทยา ซึ่งชี้ถึงคำตอบที่เป็นไปได้ว่า ชาวอินคาเลือกบริเวณ "หุบเขาศักดิ์สิทธิ์" ที่มีแม่น้ำอูรูบัมบาโอบล้อมเป็นที่ตั้งสถานที่สำคัญ เพราะมีรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกและรอยแยกของพื้นหินตัดกันเป็นเครื่องหมายรูปกากบาท (X) เช่นเดียวกับเมืองโบราณแห่งสำคัญอื่น ๆ ในจักรวรรดิอินคา
ผลวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมและการตรวจวัดทำแผนที่จากสถานที่จริงยืนยันว่า มาชูปิกชูถูกสร้างอยู่บนรอยเลื่อนและรอยแยกลักษณะดังกล่าว โดยรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกบางแนวที่พบมีความยาวถึง 175 กิโลเมตร
ดร. รูอัลโด เมเนกัต นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งริโอกรานเดโดซูลของบราซิล รายงานผลการศึกษาข้างต้นต่อที่ประชุมประจำปีของสมาคมธรณีวิทยาแห่งอเมริกา (GSA) เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา ชี้ว่าชาวอินคาจงใจสร้างเมืองตามแนวรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่มีเทือกเขาสูงและมีแหล่งหินเก่าแก่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถใช้ในการก่อสร้างได้อย่างสะดวกและเหลือเฟือ โดยไม่ต้องเจาะสกัดและเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น
การสร้างเมืองตามแนวของแหล่งหินธรรมชาติ ทำให้ชาวอินคาสร้างกำแพง ขั้นบันได และตัวอาคารได้ โดยไม่ต้องใช้วิธีก่ออิฐถือปูน แต่ใช้การตัดและเรียงหินแต่ละก้อนให้ทำมุมแนบสนิทกันพอดี ซึ่งการก่อสร้างที่ใช้วิธีประณีตเช่นนี้จะสำเร็จลงได้อย่างรวดเร็วและไม่เปลืองแรง ก็จะต้องทำในแหล่งหินที่ใช้เป็นวัสดุเท่านั้น
"การวางแผนผังของกลุ่มอาคารและขั้นบันไดในมาชูปิกชู สอดคล้องกับแนวรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกและเครือข่ายของรอยแยกในพื้นหินอย่างชัดเจน ซึ่งรอยแตกเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นทางระบายน้ำเมื่อเกิดฝนตกหนัก ช่วยป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับสิ่งก่อสร้างได้เป็นอย่างดีอีกด้วย"
มาชูปิกชูตั้งอยู่ในหุบเขาที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,430 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอินคาที่เคยรุ่งเรืองในภูมิภาคอเมริกากลางระหว่างศตวรรษที่ 13-16 นักโบราณคดีบางกลุ่มเชื่อว่ามาชูปิกชูถูกสร้างขึ้นเป็นที่มั่นแห่งท้าย ๆ เพื่อหลบหนีการรุกรานของนักล่าอาณานิคม บ้างก็เชื่อว่าอาจจะเป็นอารามของนักบวชหญิง, พระราชวังสำหรับจักรพรรดิเสด็จแปรพระราชฐาน, วิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งอาจเป็นสถานที่จำลองตำนานกำเนิดโลกและจักรวาลตามคติความเชื่อของชาวอินคา
Cr.https://www.bbc.com/thai/features-49871142
สิ่งก่อสร้างเนินดินคล้ายคูน้ำและกองก้อนหินประหลาดคล้ายสโตนเฮนจ์ในประเทศอังกฤษ ตั้งเรียงรายกินพื้นที่ 13,000 ตร.กม. กระจายอยู่ในพื้นที่รัฐอากรีในป่าอเมซอนทางตะวันตกของบราซิล แม้นักวิจัยจะยังไม่ทราบจะประสงค์ในการก่อสร้างโครงสร้างโบราณนี้ แต่คาดว่าอาจจะถูกใช้เป็นที่รวมตัวประกอบพิธีกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด
จากการวิเคราะห์ดินที่ขุดขึ้นมาจากภายในและนอกเนินดินของสิ่งก่อสร้าง พบว่า พื้นที่ดังกล่าวอาจจะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมืองดั้งเดิม ยังพบหลักฐานอีกว่าบรรพบุรุษของชาวบราซิลไม่ได้เผาป่าเป็นวงกว้างไม่ว่าจะเพื่อทำการเกษตรหรือการสร้างโครงสร้างลี้ลับ แต่พวกเขากลับให้ความสนใจกับการปลูกพืชเศรษฐกิจ อาทิ ปาล์ม จากการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า มีร่องรอยเหล่านี้มากถึง 450 แห่งทางตอนเหนือของประเทศบราซิลและโบลิเวีย โดยร่องรอยโบราณที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุมากถึง 3,000-3,500 ปี
ภาพ : มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์
ที่มา www.m2fnews.com
Cr.https://www.posttoday.com/world/479937
ทีมนักวิทยาศาสตร์แห่ง Arctic University of Norway ได้ออกมากล่าวเพิ่มเติมว่า ในแถบนี้มีแอ่งขนาดยักษ์อยู่หลายแห่ง ซึ่งก่อให้เกิดการระเบิดของก๊าซในปริมาณมาก อาจเรียกได้ว่าเป็นแหล่งขุมพลังก๊าซมีเทนตื้นใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรอาร์กติกเลยทีเดียว และแน่นอนว่าก๊าซที่ระเบิดใต้ทะเลในระดับตื้นๆ อย่างรุนแรงนั้นทำให้อันตรายต่อการเดินทางโดยเรือมาก
สำหรับการค้นพบเหล่าบรรดาแอ่งขนาดยักษ์ใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ นำไปสู่การเชื่อมโยงในเรื่องของเรือเดินสมุทรหลายๆ ลำที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย และนี่อาจจะคือเหตุผลที่แท้จริงที่เรือหลายๆ ลำได้มาสูญหายบริเวณนี้
ที่มา: Kapook, Dailymail
Cr.https://www.catdumb.com/bermuda-triangle-333/ By อดีตเหมียว
La Ciudad Blanca (The White City) ถูกค้นพบในปี 2015 ในป่าฝนลึกของฮอนดูรัส ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ที่พบหลักฐานสำคัญต่างๆ มากมาย นับเป็นเมืองลับเก่าแก่ที่ไม่มีร่องรอยการบุกรุกของมนุษย์หรือนักสำรวจคนไหนมาก่อนจากเครื่องสำรวจระยะไกล (LIDAR)
ก่อนหน้านี้ ธีโอดอร์ มอร์ด นักผจญภัยได้เขียนเรื่องราวการผจญภัยจนพบเมืองที่สาบสูญของเทพลิง เอาไว้เมือปี 1940 แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดสถานที่แห่งนี้มากนัก เนื่องจากกลัวว่าจะมีคนเข้าไปขโมยซากวัตถุโบราณเหล่านี้ไป ก่อนจะฆ่าตัวตายไปพร้อมกับความลับของเส้นทางเข้าสู่เมืองดังกล่าว จนกระทั่งปี 2015 ทีมนักสำรวจจึงพบเมืองลึกลับตามที่ ธีโอดอร์ มอร์ด เคยพูดไว้ โดยเมืองที่สาบสูญแห่งนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยธรรมชาติ
ในการสำรวจครั้งนี้ นักวิจัยและทีมงานกว่าครึ่งป่วยกะทันหันจากโรคแบคทีเรียกินเนื้อ (Necrotizing fasciitis) โดยมีอาการผิวหนังตามร่างกายจะเน่าและลามไปทั่วตัว และโรคลิชมานิเอซิส (Leishmaniasis) ที่เกิดจากปรสิตและโปรโตซัวอย่างรุนแรง ทำให้ต้องรีบออกจากพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเข้าการรักษาป้องกันการลุกลามถึงขั้นเสียชีวิต
นักสำรวจเชื่อว่าสาเหตุที่เมืองแห่งนี้ล่มสลายอาจเป็นเพราะแบคทีเรียกินเนื้อคนแพร่ระบาด ที่คร่าชาวเมืองและอาณาจักรแห่งนี้ล่มสลาย ต้นปี 2017 หนึ่งในทีมสำรวจที่พบเมืองนี้ ดักลาส เปรสตัน ได้เขียนหนังสือเรื่องชื่อ The Lost City of the Monkey God บอกถึงเรื่องราวการค้นพบและตำนานที่ผู้รุกรานอาจต้องจบชีวิตด้วยโรคร้ายแรง
Cr.https://way-of-life-menmen.blogspot.com/2018/06/blog-post_29.html?m=1 / By menmen
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)