Piri Reis แผนที่ปริศนา
ในปี ค.ศ. 1979 ในระหว่างที่มีการซ่อมแซมมหาราชวังคอนสแตนทิโนเปิล (Constantinople) ในอิสตันบูล ประเทศตรุกี ก็ได้มี การค้นพบภาพวาดแผนที่ที่ถูกวาดลงบนหนังกวาง ซึ่งถูกวาดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1513 แผนที่ดังกล่าวมีการลงชื่อแสดงความเป็นเจ้าของโดยของ นาย ทหารเรือชาวเติร์กชื่อ Piri Haji Memmed ทำให้มีการ เรียกแผนที่นี้ว่า Piri Reis คาดว่ามันถูกทำขึ้น เมื่อ ปี ค.ศ. 1513
แผนที่นี้เป็น สิ่งที่ท้าทายนักประวัติศาสตร์อย่างมาก เนื่องด้วยมันแสดงภูมิศาสตร์สมบูร์แบบเกิน กว่าแผนที่ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังมีเส้นรุ้งเส้นแวงที่ชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชาการแผนที่สมัยใหม่ทุกประการ มันแสดงถึงพิ้นที่ของทวีปอาฟริกาใต้อย่างละเอียดละออเป็นพิเศษ รวมไปถึงทวีปอื่นๆอย่างคร่าวๆ
ซึ่งนับว่าเหลือเชื่อที่สุด เพราะถูกทำขึ้นหลังจากโคลัมบัสคนเก่ง ค้นพบโลกใหม่ เพียง 21 ปีเท่านั้น เวลาสั้นๆแค่นี้ไม่น่า จะมีใครสำรวจจนทำแผนที่ที่แทบจะครอบคลุมโลกแบบนี้ออก มาได้ ยิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกคือมันมีทวีปแอนตาร์กติก้าด้วย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีการค้นพบทวีปดังกล่าวนี้เลย ( แอนตาร์กติก้าค้นพบราวๆ ปี 1800) เขาสามารถแสดงชายฝั่งของทวีปที่อยู่ภายใต้น้ำแข็งหนา เป็นกิโลได้อย่างไรหากไม่ใช้กรรมวิธีสมัยใหม่ทาง ภูมิศาสตร์ที่เรียกกันว่าการสำรวจจากทางอากาศ
จนบัด นี้ก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าคนวาดแผน Piri Reis นี้มีวิธีการวาดอย่างไรถึงทำให้มีความสอดคล้องกับข้อ มูลทางธรณีในยุค ปัจจุบัน ทั้งๆที่มันถูกวาดขึ้นในปี 1513
ที่มา :
http://x7mo.blogspot.com/2010/07/blog-post_6871.html
Cr.
https://www.dek-d.com/board/view/2001321/ By pui09
ความลับอีกหนึ่งข้อของการสร้างปิรามิด
นายแดเนียล บอนน์ ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ พร้อมทีมนักฟิสิกส์ ได้เปิดเผยข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความลับของการสร้างปิรามิดที่เป็นข้อกังขากับข้อสงสัยที่ว่า
เมื่อสมัยพันปีก่อน คนยุคโบราณสามารถเคลื่อนย้ายแท่งหินทรายขนาดยักษ์ได้อย่างไร ซึ่งทีมนักฟิสิกส์เผยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ ความซับซ้อนแต่อย่างใด เพราะมีการเขียนระบุบนภาพฝาผนังภายในปิรามิดของสุสานโบราณของจีฮูตีโฮเตป ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ซึ่งอยู่ในช่วง 1900 ปีก่อนคริสตกาล
ภาพเขียนดังกล่าวได้รับการตีความที่ผิดๆ ทำให้ไม่สามารถไขความลับได้สักที ซึ่งทีมฟิสิกส์เผยว่า ในภาพเป็นผู้ชายอียิปต์ 172 คน กำลังลากเชือกยาวผูกติดกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ และมีผู้ชายคนหนึ่งคอยเทบางอย่างลงสู่พื้น ซึ่งทีมวิจัยชี้ว่า น่าจะเป็นน้ำ เนื่องจากน้ำช่วยลดการเสียดสีระหว่างวัตถุกับพื้นทรายได้และสามารถทำให้ของหนักๆเคลื่อนไปข้างหน้าได้ง่ายขึ้น
โดยภาพนี้ถูกนักอียิปต์วิทยาตีความว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่พิธีกรรมอย่างหนึ่ง แต่ทีมนักฟิสิกส์มองว่า มันช่วยไขปริศนาเรื่องนี้ได้ ซึ่งทางทีมนักฟิสิกส์ได้ทดลองราดน้ำลงไปบนทรายแล้วลากวัตถุ ซึ่งก็พบว่ามันสามารถทำให้เคลื่อนที่ไปได้อย่างดี โดยสิ่งนี้เป็นภูมิปัญญาและไหวพริบที่น่าทึ่งของชาวอียิปต์โบราณ และเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าเป็นไปได้
ที่มา : MThai News
Cr.
http://allmysteryworld.blogspot.com/2014/05/blog-post_14.html#ixzz6FbqV1nBt
ร่องรอยลึกลับใต้น้ำ
บนโลกใบนี้ ยังมีเรื่องราวที่เป็นปริศนาต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล อาจมีบางสิ่งบางอย่าง ที่ไม่สามารถอธิบายได้ซ่อนอยู่
อย่างเช่นเรื่องราวของ สก็อตต์ วาริง เมื่อเขาใช้ Google Earth สำรวจพื้นที่ใต้ทะเลในบริเวณเกาะไซปันและเกาะกวม ที่อยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิคตะวันตก และได้พบกับร่องรอยแปลกๆ บนพื้นมหาสมุทรที่ยาวถึง 250 ไมล์ โดยมันดูคล้ายกับอารยธรรมอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่รู้แค่ว่ามันไม่ใช่สิ่งปกติแน่นอน
หรือบางทีร่องรอยนี้ อาจเป็นฐานทัพของอะไรบางอย่าง อาจเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ หรือจะเป็นของสิ่งมีชีวิตของโลกก็เป็นได้
ที่มา : Scott Waring | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
Cr.
https://petmaya.com/อารยธรรมโบราณใต้น้ำ
ลายเส้นโบราณ nazca อารยธรรมสาบสูญแห่งเปรู
กลางที่ราบนาซก้าแสนแห้งแล้ง ประเทศเปรู ดินแดนต้นกำเนิดอารยธรรมโบราณอย่างจักรวรรดิอินคา มีภาพวาดลายเส้นปริศนาขนาดมหึมา ชื่อว่า ภาพลายเส้นนาซก้า (Nazca) สัญลักษณ์รูปวาดหลายชนิดที่ทุกวันนี้ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ว่าสร้างไว้เพื่ออะไร
Nazca Lines อยู่บนทะเลทรายนาซก้า ระหว่างเมืองนาซก้ากับเมืองปัลปา ทางตอนใต้ของประเทศเปรู ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2537 กินอาณาเขตกว่า 80 กิโลเมตร มีหลายหลายรูปแบบกว่า 300 ภาพ ตั้งแต่ภาพวาดทรงเรขาคณิตแบบง่ายๆ เช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม ภาพสัตว์ เช่นนก ปลา ลิง ภาพต้นไม้ ดอกไม้ ไปจนถึงมนุษย์ (อวกาศ) ด้วย คาดว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปีแล้ว (ประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาลถึงประมาณปี ค.ศ. 500) ภาพที่ใหญ่ที่สุดนั้นยาวกว่า 200 เมตร
ภาพลายเส้นเหล่านี้ สันนิษฐานว่ารังสรรค์โดยชาวนาซก้า ที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนนี้มาก่อน (ก่อนยุคอาณาจักรอินคา) ชาวนาซก้าเชื่อ และนับถือบูชาพระเจ้าหลายองค์ เช่น ภูเขา ทะเล ท้องฟ้า ดิน ไฟ และน้ำ เชื่อเรื่องหลังความตาย พวกเขามีวิทยาการหลายอย่างที่ล้ำสมัยในยุคนั้น เช่น รู้จักระบบชลประทาน การสร้างพีระมิด การทำมัมมี่ (คล้ายๆ กับของอียิปต์) แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือ พวกเขาไม่ได้ทิ้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับเส้นนาซก้าเลย ว่าเหตุใดจึงต้องสลักลายเหล่านี้ไว้บนผืนโลก
การสร้างลายเส้นนั้นทำขึ้นแบบง่ายๆ ด้วยการวัด และคำนวนแนวเส้นที่ต้องการวาด แล้วค่อยๆ ไถเกลี่ยผิวดิน แยกก้อนหินไปด้านข้างตามแนวที่คำนวนไว้ ซึ่งชั้นดินของที่ราบนาซก้านั้นผิวดินด้านบนจะมีสีเข้มกว่า เมื่อเกลี่ยชั้นผิวดิน และหินออกไปแล้วจึงจะพบชั้นดินที่เป็นสีอ่อน เมื่อมีสีที่ตัดกันเช่นนี้เอง จึงทำให้สามารถมองเห็นลายเส้นได้ชัดโดยไม่ต้องขุดดินให้ลึกเลย และเนื่องจากพื้นที่นี้มีความแห้งแล้งตลอดปี ไม่มีลม ปริมาณน้ำฝนน้อย (ประมาณ 20 นาทีต่อปี) ทำให้เส้นนาซก้าแทบจะไม่เลือนลางเลย แม้จะผ่านมากว่า 2,000 ปีแล้ว
ลายเส้นนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1553 ขณะนั้นถูกคิดว่าเป็นเพียงถนนเท่านั้น กระทั่งถูกมองเห็นจากเครื่องบินด้วยความบังเอิญ ในปี 1940 โดยนักโบราณคดี Paul Kosok ที่เดินทางมาเพื่อศึกษาระบบชลประทานโบราณ ขณะที่เครื่องบินกำลังบินผ่านที่ราบนาซก้าเขาสังเกตเห็นว่า มีลายเส้นที่รูปร่างคล้ายนก เมื่อถึงพื้นดินจึงเริ่มมีการศึกษาเส้นเหล่านี้อย่างจริงจัง
อ้างอิง : world-mysteries, crystalinks, wikipedia, Secrets of the Nazca Lines
ภาพเขียนหินที่อาจไขปริศนาวัฒนธรรมโบราณ
ภาพเขียนบนหินเปิดโล่งในหุบเขาตาอิรา (Taira Valley) ของทะเลทรายที่ได้ชื่อว่าแห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คือทะเลทรายอาตากามา (Atacama desert) ในประเทศชิลี อาจพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญทางโบราณคดี นั่นคือการไขความลับวัฒนธรรมเก่าแก่นับพันปีที่ผสมผสานกับลักษณะภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยอย่างทะเลทราย
ศิลปะบนหินดังกล่าวมีทั้งภาพเขียนสีและภาพแกะสลักอายุราวๆ 2,400-2,800 ปี จำนวนทั้งหมด 16 ภาพ อยู่บนฝั่งแม่น้ำโลอา (Loa) ที่ไหลผ่านทะเล ทราย มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 เมตร ถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักโบราณคดีชาวสวีเดนชื่อสตีก รีเดียม เมื่อ พ.ศ.2487
ในบรรดาภาพทั้งหมดมีภาพที่ถือเป็นเพชรยอดมงกุฎคือ รูปแกะสลักที่อาเลโร ตาอิรา (Alero Taira) อยู่ห่างจากแม่น้ำโลอาเพียง 30 เมตร นักโบราณคดีเรียกภาพเหล่านี้ว่า “การเฉลิมฉลองแห่งชีวิต” (a celebration of life) โดยอธิบายว่าแหล่งโบราณคดีแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีความซับซ้อนที่สุดในอเมริกาใต้ เพราะมีความสำคัญทางด้านดาราศาสตร์และมีนัยสำคัญเกี่ยวกับผู้นำจิตวิญญาณในท้องถิ่นและพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าบนฟ้า
นักโบราณคดีเผยว่า ไม่มีใครสามารถเข้าใจสิ่งที่คนโบราณสร้างขึ้นเมื่อ 18,000 ปีที่แล้ว เนื่องจากวัฒนธรรมของพวกเขาได้หายไป ภาพเขียนบนหินเหล่านี้จึงเสมือนพินัยกรรมที่จะช่วยเจาะลึกไขความกระจ่าง ส่วนนักอนุรักษ์ที่ทำงานในทะเลทรายอาตากามาก็ต้องการให้องค์การยูเนสโกยอมรับภาพวาดบนหินที่ในหุบเขาตาอิราเป็นพื้นที่มรดกทางโบราณคดี เพื่อให้สามารถพัฒนาการท่องเที่ยวในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน.
ม้วนหนังสือเดดซี
Eshbal Ratson และ Jonathan Ben-Dov ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไฮฟาในอิสราเอลฟื้นฟูและถอดรหัสหนึ่งในม้วนหนังสือเดดซีที่ยังไม่ถูกแปล ม้วนกระดาษโบราณทั้งหมดประกอบไปด้วยม้วนกระดาษจำนวน 900 ชิ้นจากชาวยิวโบราณ ซึ่งถูกค้นพบเมื่อ 70 ปีก่อน เพื่อถอดรหัสข้อความภายใน การค้นพบนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียนและปฏิทินแบบโบราณที่เขาใช้ ซึ่งมีจำนวน 364 วัน
ภายในม้วนหนังสือปรากฏชื่อของเทศกาลเฉลิมฉลองในแต่ละฤดูกาลตามภาษาฮีบรู แต่เดิมเทศกาลเหล่านี้เป็นที่รู้จักจากตำราอื่นๆ แต่ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ นอกจากนั้นยังให้รายละเอียดของเทศกาลสำคัญทางศาสนาอีกสองเหตุการณ์ คือพิธีเฉลิมฉลองไวน์และน้ำมัน ซึ่งอยู่ราวๆ 100 หรือ 150 วัน หลังวันสะบาโต วันสำคัญในศาสนายูดาห์
เนื้อหาในม้วนหนังสือยังให้ข้อมูลของผู้เขียน ที่อาศัยอยู่บนผืนทะเลทรายบนภูมิภาคนี้เมื่อราวๆ 2 ศตวรรษก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศักราชที่ 2 แต่รายละเอียดของวันเฉลิมฉลองกลับถูกเขียนแทรกไว้ตามส่วนต่างๆ ของบรรทัด ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสังเกตว่าส่วนนี้อาจถูกเขียนเพิ่มขึ้นมาโดยนักเขียนอีกคน
เนื้อหาภายในม้วนหนังสือเดดซีเต็มไปด้วยข้อถกเถียงมากมาย ตัวหนังสือถูกเขียนขึ้นระหว่าง2 ศตวรรษก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศักราชที่ 2 ก็จริง แต่นักวิชาการเองยังคงไม่ปักใจเชื่อมากนัก อย่างไรก็ตามเอกสารเหล่านี้เผยข้อมูลที่มีค่ายิ่ง ไม่ว่าจะเป็นบนสวดมนต์, ปฏิทิน และชีวิตบนผืนทะเลทรายของชาวยิวในทะเลทรายจูเดีย
ม้วนหนังสือเหล่านี้ถูกเขียนด้วยภาษาฮีบรูและโค้ดลับอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีการค้นพบม้วนหนังสือภาษาแอราเมอิกและภาษากรีกด้วย ส่วนใหญ่ถูกจารึกลงบนแผ่นกระดาษ มีบ้างที่เขียนด้วยกระดาษปาปิรุส ในจำนวนนี้มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่เขียนลงบนทองแดง ซึ่งนักโบราณคดีได้ใช้เทคโนโลยีการสแกนเข้ามาช่วยเพื่อรักษาเอกสารโบราณเหล่านี้ไว้ และตอนนี้มีม้วนหนังสือเหลือเพียงม้วนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ถูกแปล คาดว่าเมื่อกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว เราอาจจะได้รับทราบข้อมูลใหม่ที่ถูกส่งต่อมาจากผู้คนในยุคโบราณ
เรื่อง Elaina Zachos
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ความลับของโลกโบราณ
ในปี ค.ศ. 1979 ในระหว่างที่มีการซ่อมแซมมหาราชวังคอนสแตนทิโนเปิล (Constantinople) ในอิสตันบูล ประเทศตรุกี ก็ได้มี การค้นพบภาพวาดแผนที่ที่ถูกวาดลงบนหนังกวาง ซึ่งถูกวาดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1513 แผนที่ดังกล่าวมีการลงชื่อแสดงความเป็นเจ้าของโดยของ นาย ทหารเรือชาวเติร์กชื่อ Piri Haji Memmed ทำให้มีการ เรียกแผนที่นี้ว่า Piri Reis คาดว่ามันถูกทำขึ้น เมื่อ ปี ค.ศ. 1513
แผนที่นี้เป็น สิ่งที่ท้าทายนักประวัติศาสตร์อย่างมาก เนื่องด้วยมันแสดงภูมิศาสตร์สมบูร์แบบเกิน กว่าแผนที่ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังมีเส้นรุ้งเส้นแวงที่ชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชาการแผนที่สมัยใหม่ทุกประการ มันแสดงถึงพิ้นที่ของทวีปอาฟริกาใต้อย่างละเอียดละออเป็นพิเศษ รวมไปถึงทวีปอื่นๆอย่างคร่าวๆ
ซึ่งนับว่าเหลือเชื่อที่สุด เพราะถูกทำขึ้นหลังจากโคลัมบัสคนเก่ง ค้นพบโลกใหม่ เพียง 21 ปีเท่านั้น เวลาสั้นๆแค่นี้ไม่น่า จะมีใครสำรวจจนทำแผนที่ที่แทบจะครอบคลุมโลกแบบนี้ออก มาได้ ยิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกคือมันมีทวีปแอนตาร์กติก้าด้วย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีการค้นพบทวีปดังกล่าวนี้เลย ( แอนตาร์กติก้าค้นพบราวๆ ปี 1800) เขาสามารถแสดงชายฝั่งของทวีปที่อยู่ภายใต้น้ำแข็งหนา เป็นกิโลได้อย่างไรหากไม่ใช้กรรมวิธีสมัยใหม่ทาง ภูมิศาสตร์ที่เรียกกันว่าการสำรวจจากทางอากาศ
จนบัด นี้ก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าคนวาดแผน Piri Reis นี้มีวิธีการวาดอย่างไรถึงทำให้มีความสอดคล้องกับข้อ มูลทางธรณีในยุค ปัจจุบัน ทั้งๆที่มันถูกวาดขึ้นในปี 1513
ที่มา : http://x7mo.blogspot.com/2010/07/blog-post_6871.html
Cr.https://www.dek-d.com/board/view/2001321/ By pui09
เมื่อสมัยพันปีก่อน คนยุคโบราณสามารถเคลื่อนย้ายแท่งหินทรายขนาดยักษ์ได้อย่างไร ซึ่งทีมนักฟิสิกส์เผยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ ความซับซ้อนแต่อย่างใด เพราะมีการเขียนระบุบนภาพฝาผนังภายในปิรามิดของสุสานโบราณของจีฮูตีโฮเตป ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ซึ่งอยู่ในช่วง 1900 ปีก่อนคริสตกาล
ภาพเขียนดังกล่าวได้รับการตีความที่ผิดๆ ทำให้ไม่สามารถไขความลับได้สักที ซึ่งทีมฟิสิกส์เผยว่า ในภาพเป็นผู้ชายอียิปต์ 172 คน กำลังลากเชือกยาวผูกติดกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ และมีผู้ชายคนหนึ่งคอยเทบางอย่างลงสู่พื้น ซึ่งทีมวิจัยชี้ว่า น่าจะเป็นน้ำ เนื่องจากน้ำช่วยลดการเสียดสีระหว่างวัตถุกับพื้นทรายได้และสามารถทำให้ของหนักๆเคลื่อนไปข้างหน้าได้ง่ายขึ้น
โดยภาพนี้ถูกนักอียิปต์วิทยาตีความว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่พิธีกรรมอย่างหนึ่ง แต่ทีมนักฟิสิกส์มองว่า มันช่วยไขปริศนาเรื่องนี้ได้ ซึ่งทางทีมนักฟิสิกส์ได้ทดลองราดน้ำลงไปบนทรายแล้วลากวัตถุ ซึ่งก็พบว่ามันสามารถทำให้เคลื่อนที่ไปได้อย่างดี โดยสิ่งนี้เป็นภูมิปัญญาและไหวพริบที่น่าทึ่งของชาวอียิปต์โบราณ และเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าเป็นไปได้
ที่มา : MThai News
Cr.http://allmysteryworld.blogspot.com/2014/05/blog-post_14.html#ixzz6FbqV1nBt
อย่างเช่นเรื่องราวของ สก็อตต์ วาริง เมื่อเขาใช้ Google Earth สำรวจพื้นที่ใต้ทะเลในบริเวณเกาะไซปันและเกาะกวม ที่อยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิคตะวันตก และได้พบกับร่องรอยแปลกๆ บนพื้นมหาสมุทรที่ยาวถึง 250 ไมล์ โดยมันดูคล้ายกับอารยธรรมอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่รู้แค่ว่ามันไม่ใช่สิ่งปกติแน่นอน
หรือบางทีร่องรอยนี้ อาจเป็นฐานทัพของอะไรบางอย่าง อาจเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ หรือจะเป็นของสิ่งมีชีวิตของโลกก็เป็นได้
ที่มา : Scott Waring | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
Cr.https://petmaya.com/อารยธรรมโบราณใต้น้ำ
Nazca Lines อยู่บนทะเลทรายนาซก้า ระหว่างเมืองนาซก้ากับเมืองปัลปา ทางตอนใต้ของประเทศเปรู ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2537 กินอาณาเขตกว่า 80 กิโลเมตร มีหลายหลายรูปแบบกว่า 300 ภาพ ตั้งแต่ภาพวาดทรงเรขาคณิตแบบง่ายๆ เช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม ภาพสัตว์ เช่นนก ปลา ลิง ภาพต้นไม้ ดอกไม้ ไปจนถึงมนุษย์ (อวกาศ) ด้วย คาดว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปีแล้ว (ประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาลถึงประมาณปี ค.ศ. 500) ภาพที่ใหญ่ที่สุดนั้นยาวกว่า 200 เมตร
ภาพลายเส้นเหล่านี้ สันนิษฐานว่ารังสรรค์โดยชาวนาซก้า ที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนนี้มาก่อน (ก่อนยุคอาณาจักรอินคา) ชาวนาซก้าเชื่อ และนับถือบูชาพระเจ้าหลายองค์ เช่น ภูเขา ทะเล ท้องฟ้า ดิน ไฟ และน้ำ เชื่อเรื่องหลังความตาย พวกเขามีวิทยาการหลายอย่างที่ล้ำสมัยในยุคนั้น เช่น รู้จักระบบชลประทาน การสร้างพีระมิด การทำมัมมี่ (คล้ายๆ กับของอียิปต์) แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือ พวกเขาไม่ได้ทิ้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับเส้นนาซก้าเลย ว่าเหตุใดจึงต้องสลักลายเหล่านี้ไว้บนผืนโลก
การสร้างลายเส้นนั้นทำขึ้นแบบง่ายๆ ด้วยการวัด และคำนวนแนวเส้นที่ต้องการวาด แล้วค่อยๆ ไถเกลี่ยผิวดิน แยกก้อนหินไปด้านข้างตามแนวที่คำนวนไว้ ซึ่งชั้นดินของที่ราบนาซก้านั้นผิวดินด้านบนจะมีสีเข้มกว่า เมื่อเกลี่ยชั้นผิวดิน และหินออกไปแล้วจึงจะพบชั้นดินที่เป็นสีอ่อน เมื่อมีสีที่ตัดกันเช่นนี้เอง จึงทำให้สามารถมองเห็นลายเส้นได้ชัดโดยไม่ต้องขุดดินให้ลึกเลย และเนื่องจากพื้นที่นี้มีความแห้งแล้งตลอดปี ไม่มีลม ปริมาณน้ำฝนน้อย (ประมาณ 20 นาทีต่อปี) ทำให้เส้นนาซก้าแทบจะไม่เลือนลางเลย แม้จะผ่านมากว่า 2,000 ปีแล้ว
ลายเส้นนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1553 ขณะนั้นถูกคิดว่าเป็นเพียงถนนเท่านั้น กระทั่งถูกมองเห็นจากเครื่องบินด้วยความบังเอิญ ในปี 1940 โดยนักโบราณคดี Paul Kosok ที่เดินทางมาเพื่อศึกษาระบบชลประทานโบราณ ขณะที่เครื่องบินกำลังบินผ่านที่ราบนาซก้าเขาสังเกตเห็นว่า มีลายเส้นที่รูปร่างคล้ายนก เมื่อถึงพื้นดินจึงเริ่มมีการศึกษาเส้นเหล่านี้อย่างจริงจัง
อ้างอิง : world-mysteries, crystalinks, wikipedia, Secrets of the Nazca Lines
ภายในม้วนหนังสือปรากฏชื่อของเทศกาลเฉลิมฉลองในแต่ละฤดูกาลตามภาษาฮีบรู แต่เดิมเทศกาลเหล่านี้เป็นที่รู้จักจากตำราอื่นๆ แต่ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ นอกจากนั้นยังให้รายละเอียดของเทศกาลสำคัญทางศาสนาอีกสองเหตุการณ์ คือพิธีเฉลิมฉลองไวน์และน้ำมัน ซึ่งอยู่ราวๆ 100 หรือ 150 วัน หลังวันสะบาโต วันสำคัญในศาสนายูดาห์
เนื้อหาในม้วนหนังสือยังให้ข้อมูลของผู้เขียน ที่อาศัยอยู่บนผืนทะเลทรายบนภูมิภาคนี้เมื่อราวๆ 2 ศตวรรษก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศักราชที่ 2 แต่รายละเอียดของวันเฉลิมฉลองกลับถูกเขียนแทรกไว้ตามส่วนต่างๆ ของบรรทัด ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสังเกตว่าส่วนนี้อาจถูกเขียนเพิ่มขึ้นมาโดยนักเขียนอีกคน
ม้วนหนังสือเหล่านี้ถูกเขียนด้วยภาษาฮีบรูและโค้ดลับอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีการค้นพบม้วนหนังสือภาษาแอราเมอิกและภาษากรีกด้วย ส่วนใหญ่ถูกจารึกลงบนแผ่นกระดาษ มีบ้างที่เขียนด้วยกระดาษปาปิรุส ในจำนวนนี้มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่เขียนลงบนทองแดง ซึ่งนักโบราณคดีได้ใช้เทคโนโลยีการสแกนเข้ามาช่วยเพื่อรักษาเอกสารโบราณเหล่านี้ไว้ และตอนนี้มีม้วนหนังสือเหลือเพียงม้วนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ถูกแปล คาดว่าเมื่อกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว เราอาจจะได้รับทราบข้อมูลใหม่ที่ถูกส่งต่อมาจากผู้คนในยุคโบราณ
เรื่อง Elaina Zachos