ในช่วงสามปีของการขุดค้นแหล่งโบราณคดีซึ่งมีชื่อว่า เอลกัสตีโยเดอัวร์เมย์ (El Castillo de Urmay / El Castillo de Huarmey)
เกียร์ช (Mi vosh gearch) พบกับระบบนิเวศแห่งความตายที่คาดไม่ถึง ตั้งแต่ร่องรอยแมลงที่เคยกัดกินเนื้อมนุษย์ งูที่ตายอยู่ก้นหม้อดินเผา ไปจนถึงผึ้งเพชฌฆาตแอฟริกาที่บินกรูออกมาจากห้องใต้ดินและไล่ต่อยคนงาน มันเป็นห้องขนาดเล็ก (เรียกว่า สุสาน Huarmey Queen) ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ชั้นอิฐหนาหนักมานานกว่าหนึ่งพันปี ภายในบรรจุเหยือกดินเผาใบโตๆ บางใบมีภาพวาดรูปกิ้งก่าและใบหน้าคนยิ้มยิงฟันประดับอยู่
หลายคนเคยเตือนเกียร์ชว่า การขุดค้นท่ามกลางซากปรักของ El Castillo เป็นเรื่องยาก เพราะไม่ต่ำกว่าหนึ่งศตวรรษที่มีโจรปล้นสมบัติขุดอุโมงค์เข้าไปในเนินเขาขนาดใหญ่นั้น เพื่อค้นหาสุสานบรรจุโครงกระดูกโบราณที่ห่อหุ้มด้วยผ้าทอลายวิจิตรและสวมเครื่องประดับทองคำ เนินเขาตั้งอยู่ห่างจากกรุงลิมาไปทางเหนือ 4 ชม. ทางเต็มไปด้วยหลุมบ่อและระเกะระกะไปด้วยกระดูกมนุษย์โบราณและขยะสมัยใหม่
แต่เกียร์ช วัย 36 ปี นักโบราณคดีแถบเทือกเขาแอนดีสที่มหาวิทยาลัยวอร์ซอ ยังมุ่งมั่นจะขุดค้น เขามั่นใจว่าต้องมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่เมื่อ 1,200 ปีก่อน ชิ้นส่วนสิ่งทอและเศษเครื่องปั้นดินเผาจาก "อารยธรรมวารี" ของเปรูซึ่งยังเป็นที่รู้จักน้อยมาก และมีศูนย์กลางตั้งอยู่ไกลออกไปทางใต้ ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วเนินน้อยใหญ่ในแถบนั้น
เกียร์ชและทีมวิจัยเล็กๆจึงลงมือสร้างภาพสิ่งที่อยู่ใต้ดินด้วย magnetometer (เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้วัดสนามแม่เหล็ก) และภาพถ่ายทางอากาศ ผลที่ออกมาเผยให้เห็นบางสิ่งคือแนวเส้นจางๆของกำแพงที่ถูกกลบฝังทอดตัวไปตามแนวสันเขาหินทางใต้ ปรากฏว่าเส้นจางๆนั้นคือแนวหอคอยและกำแพงสูงที่ประกอบกันเป็นเขาวงกตขนาดมหึมา แผ่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดทางใต้สุดของ El Castillo กลุ่มสิ่งปลูกสร้างแผ่ไพศาลซึ่งเดิมทาสีแดงเข้มดูเหมือนจะเป็นวิหารวารีที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการบูชาบรรพบุรุษ
ขณะที่ทีมวิจัยขุดลงไปใต้ชั้นอิฐสี่เหลี่ยมคางหมูหนาๆในฤดูใบไม้ร่วง ปี 2012 พวกเขาค้นพบสุสานหลวงที่ยังไม่เคยมีใครแตะต้องมาก่อน ภายในฝังพระศพราชินีหรือเจ้าหญิงชาววารีไว้สี่พระองค์ รวมทั้งชนชั้นสูงอีกอย่างน้อย 54 คน และโบราณวัตถุล้ำค่าของชาววารีอีกกว่าหนึ่งพันชิ้น มีตั้งแต่ต่างหูทองคำขนาดใหญ่ไปจนถึงชามเงินและขวานทำจากโลหะทองแดงผสม ซึ่งล้วนเป็นงานฝีมือชั้นยอด
(หม้อเขียนสีเผยให้เห็นภาพเจ้าผู้ครองอาณาจักรวารี ผู้ก่อร่างสร้างจักรวรรดิแห่งแรกในแถบเทือกเขาแอนดีส เป็นส่วนหนึ่งของขุมทรัพย์จากสุสานที่เอลกัสตีโยเดอัวร์เมย์ ซึ่งรอดพ้นจากเงื้อมมือโจรมาได้)
(มือของชนชั้นสูงในแถบเทือกเขาแอนดีสที่อยู่ในสภาพดีอย่างน่าทึ่ง ยังคงกำเศษผ้าห่อศพอยู่ในมือ)
อารยธรรมวารี (Wari) รุ่งเรืองขึ้นในแถบหุบเขาไอย์อากูโช (Ayacucho) ของเปรูราวศตวรรษที่เจ็ดโดยไม่มีใครรู้ความเป็นมา และยิ่งใหญ่เนิ่นนานก่อนหน้าอารยธรรมอินคาจะผงาดขึ้นในอีกหลายร้อยปีต่อมา พวกเขาก่อตั้งเมืองหลวงขนาดใหญ่ซึ่งทุกวันนี้รู้จักกันในชื่อนครอัวรี (Huari) ขึ้นใกล้ๆกับเมืองไอย์อากูโชในปัจจุบัน ในช่วงที่รุ่งเรืองสูงสุด นครอัวรีมีประชากรมากถึง 40,000 คน เหล่าขุนศึกชาววารีแผ่ขยายอาณาเขตออกไปหลายร้อยกิโลเมตรตามแนวเทือกเขาแอนดีส และรุกคืบเข้าไปถึงทะเลทรายแถบชายฝั่ง สร้างสิ่งที่นักโบราณคดีหลายคนเรียกว่า " จักรวรรดิแห่งแรกในแถบเทือกเขาแอนดีสของอเมริกาใต้ "
ชาววารีน่าจะรุกคืบมายังแถบชายฝั่งแห่งนี้ราวปลายศตวรรษที่แปด และสร้างพระราชวังขึ้นตรงเชิงเขา El Castillo เมื่อเวลาผ่านไปผู้สืบทอดรุ่นต่อๆมาก็เปลี่ยนเนินเขาลาดชันเบื้องบนให้กลายเป็นวิหารสูงตระหง่านอุทิศให้กับการบูชาบรรพบุรุษ
El Castillo ถูกปกคลุมด้วยซากปรักและตะกอนที่กระแสลมพัดพามาตลอดเกือบหนึ่งพันปี ทำให้ในปัจจุบันดูเหมือนพีระมิดขั้นบันไดขนาดมหึมา เป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน เกียร์ชได้เชิญทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมมาช่วยตรวจสอบซากปรักเหล่านี้ ผลการศึกษาวิเคราะห์ยืนยันว่า วิศวกรชาววารีเริ่มก่อสร้างตรงบริเวณยอดสุดของ El Castillo ซึ่งเป็นหมวดหินธรรมชาติ แล้วจึงไล่ระดับลงมาถึงด้านล่างในที่สุด
ผู้ก่อสร้างเริ่มจากการขุดห้องใต้ดินตามแนวยอดเขาเอลกัสตีโยซึ่งจะกลายเป็นสุสานหลวง เมื่อเสร็จสิ้นการฝังพระศพและพร้อมจะปิดผนึกสุสาน เหล่าคนงานจะเทกรวดทรายราว 30 ตันลงไป และปิดทับด้วยอิฐหนาหนักอีกชั้น จากนั้นจึงสร้างหอคอยสุสานขึ้นด้านบน ทาผนังเป็นสีแดงเข้มมองเห็นได้หลายกิโลเมตรโดยรอบ
เหล่าชนชั้นสูงชาววารีจะถวายเครื่องสักการะสูงค่าไว้ตามห้องเล็กๆภายในสุสาน ซึ่งมีตั้งแต่ผ้าทอฝีมือประณีตที่ผู้คนแถบเทือกเขาแอนดีสโบราณยกย่องยิ่งกว่าทองคำ ไปจนถึงเส้นเชือกผูกเป็นปมลักษณะต่างๆที่เรียกว่า กีปู (khipu) ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือบันทึกจำนวนและประเภททรัพย์ศฤงคารที่องค์จักรพรรดิและจักรวรรดิครอบครอง อย่างไรก็ดี มีการพบร่องรอยของดักแด้ในร่างของราชินี ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ร่างดังกล่าวอาจเคยถูกนำไปตั้งไว้กลางแจ้งเพื่อให้ประชาชนได้เคารพบูชา นอกจากนี้ยังพบมัมมี่จำนวนมากที่ถูกฝังในท่านั่งหลังตรง ที่ชี้ว่าอาจเป็นเหล่าสมาชิกราชวงศ์
(รูปสิ่งมีชีวิตมีปีกประดับอยู่บนต่างหูทำจากทองคำและเงินที่สวมใส่โดยสตรีสูงศักดิ์ชาววารี)
นอกจากนั้นยังมีชิ้นส่วนอวัยวะของแร้งเทือกเขาแอนดีส ซึ่งเป็นนกที่มีความเกี่ยวโยงกับชนชั้นสูงชาววารีอย่างแนบแน่น ตรงใจกลางหอคอยเป็นห้องประดิษฐานบัลลังก์ ราวปี 2000 โจรปล้นสุสานเล่าให้นักโบราณคดีชาวเยอรมันคนหนึ่งฟังว่า พวกเขาพบมัมมี่ฝังอยู่ในซุ้มกำแพงรอบห้องซึ่งอาจเคยใช้เป็นสถานที่บูชามัมมี่ขององค์จักรพรรดิ แต่ทางทีมวิจัยยังค้นไม่พบ
บรรดาชนชั้นสูงชาววารีต่างจับจองพื้นที่บนยอดเขาสำหรับสร้างสุสานของตนเอง เมื่อใช้พื้นที่ว่างจนหมดแล้ว พวกเขาก็ออกแบบพื้นที่เพิ่มด้วยการสร้างยกพื้นขั้นบันไดไล่ลงไปตามลาดเนินเขาEl Castillo และสร้างหอคอยสุสานกับหลุมฝังศพตามยกพื้นขั้นบันไดเหล่านั้น เมื่อการก่อสร้างสิ้นสุดลง น่าจะอยู่ช่วงปี 900-1000 นครแห่งผู้วายชนม์สีแดงเข้มก็ตั้งตระหง่านเหนือหุบเขาและชาววารีคือผู้ครองดินแดนนี้โดยชอบธรรม
อารยะธรรมวารี เป็นอารยธรรมที่แผ่อิทธิพลในช่วงตอนกลางของเทือกเขาแอนดิส และชายฝั่งทะเลในเขตประเทศเปรู ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 500-1000 ก่อนที่จะเริ่มล่มสลายเมื่อปี ค.ศ.800 และล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี 1000 อันเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งกันเองระหว่างกลุ่มย่อย
(ใบหน้าของราชินีวารีอายุ 1,200 ปี)
ใบหน้าของราชินี Huarmey แห่งเปรูที่ฝังด้วยอัญมณีและสมบัติมากมายเมื่อ 1,200 ปีก่อนได้รับการสร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งแรก ผู้เชี่ยวชาญใช้เวลา 220 ชั่วโมงในการประดิษฐ์รูปลักษณ์โดยใช้กะโหลกศีรษะของเธอที่พิมพ์ 3 มิติและข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อของเธอ สร้างลักษณะใหม่ด้วยมือโดยใช้ดินเหนียว
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าผู้หญิงคนนี้ถูกฝังไว้ในความงดงามโดยเฉพาะโดยศพของเธอถูกเก็บไว้ในห้องส่วนตัวที่ล้อมรอบไปด้วยอัญมณีและของฟุ่มเฟือยอื่น ๆ รวมถึงพลุหูทองขวานที่ทำด้วยทองแดงและถ้วยเงิน การวิเคราะห์โครงกระดูกของเธอแสดงให้เห็นว่าเธอมีอายุอย่างน้อย 60 ปีเมื่อเธอเสียชีวิตและเธอถูกฝังด้วยเครื่องมือทอผ้าที่ทำจากทองคำซึ่งบ่งบอกว่าเธอได้รับสถานะยอดเยี่ยมในฐานะช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญในการทอผ้า การสร้างใบหน้าของเธอขึ้นมาเพื่อพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของเธอให้มากขึ้น
Cr.ภาพถ่าย โรเบิร์ต คลาร์ก / theweaverprophecy.wordpress.com/
ที่มา
http://www.ngthai.com/ เรื่อง เฮเทอร์ พริงเกิล ภาพถ่าย โรเบิร์ต คลาร์ก /
Cr.
https://www.tcijthai.com/news/2014/28/archived/4921
Cr.
https://variety.thaiza.com/interest/271430/
Cr.
https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/430474
Cr.
https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-5179627/Peruvian-queens-face-reconstructed-1-200-years.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
" Huarmey Queen " สุสานลับชาววารีโบราณแห่งเปรู
เกียร์ช (Mi vosh gearch) พบกับระบบนิเวศแห่งความตายที่คาดไม่ถึง ตั้งแต่ร่องรอยแมลงที่เคยกัดกินเนื้อมนุษย์ งูที่ตายอยู่ก้นหม้อดินเผา ไปจนถึงผึ้งเพชฌฆาตแอฟริกาที่บินกรูออกมาจากห้องใต้ดินและไล่ต่อยคนงาน มันเป็นห้องขนาดเล็ก (เรียกว่า สุสาน Huarmey Queen) ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ชั้นอิฐหนาหนักมานานกว่าหนึ่งพันปี ภายในบรรจุเหยือกดินเผาใบโตๆ บางใบมีภาพวาดรูปกิ้งก่าและใบหน้าคนยิ้มยิงฟันประดับอยู่
หลายคนเคยเตือนเกียร์ชว่า การขุดค้นท่ามกลางซากปรักของ El Castillo เป็นเรื่องยาก เพราะไม่ต่ำกว่าหนึ่งศตวรรษที่มีโจรปล้นสมบัติขุดอุโมงค์เข้าไปในเนินเขาขนาดใหญ่นั้น เพื่อค้นหาสุสานบรรจุโครงกระดูกโบราณที่ห่อหุ้มด้วยผ้าทอลายวิจิตรและสวมเครื่องประดับทองคำ เนินเขาตั้งอยู่ห่างจากกรุงลิมาไปทางเหนือ 4 ชม. ทางเต็มไปด้วยหลุมบ่อและระเกะระกะไปด้วยกระดูกมนุษย์โบราณและขยะสมัยใหม่
แต่เกียร์ช วัย 36 ปี นักโบราณคดีแถบเทือกเขาแอนดีสที่มหาวิทยาลัยวอร์ซอ ยังมุ่งมั่นจะขุดค้น เขามั่นใจว่าต้องมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่เมื่อ 1,200 ปีก่อน ชิ้นส่วนสิ่งทอและเศษเครื่องปั้นดินเผาจาก "อารยธรรมวารี" ของเปรูซึ่งยังเป็นที่รู้จักน้อยมาก และมีศูนย์กลางตั้งอยู่ไกลออกไปทางใต้ ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วเนินน้อยใหญ่ในแถบนั้น
เกียร์ชและทีมวิจัยเล็กๆจึงลงมือสร้างภาพสิ่งที่อยู่ใต้ดินด้วย magnetometer (เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้วัดสนามแม่เหล็ก) และภาพถ่ายทางอากาศ ผลที่ออกมาเผยให้เห็นบางสิ่งคือแนวเส้นจางๆของกำแพงที่ถูกกลบฝังทอดตัวไปตามแนวสันเขาหินทางใต้ ปรากฏว่าเส้นจางๆนั้นคือแนวหอคอยและกำแพงสูงที่ประกอบกันเป็นเขาวงกตขนาดมหึมา แผ่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดทางใต้สุดของ El Castillo กลุ่มสิ่งปลูกสร้างแผ่ไพศาลซึ่งเดิมทาสีแดงเข้มดูเหมือนจะเป็นวิหารวารีที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการบูชาบรรพบุรุษ
ขณะที่ทีมวิจัยขุดลงไปใต้ชั้นอิฐสี่เหลี่ยมคางหมูหนาๆในฤดูใบไม้ร่วง ปี 2012 พวกเขาค้นพบสุสานหลวงที่ยังไม่เคยมีใครแตะต้องมาก่อน ภายในฝังพระศพราชินีหรือเจ้าหญิงชาววารีไว้สี่พระองค์ รวมทั้งชนชั้นสูงอีกอย่างน้อย 54 คน และโบราณวัตถุล้ำค่าของชาววารีอีกกว่าหนึ่งพันชิ้น มีตั้งแต่ต่างหูทองคำขนาดใหญ่ไปจนถึงชามเงินและขวานทำจากโลหะทองแดงผสม ซึ่งล้วนเป็นงานฝีมือชั้นยอด
ชาววารีน่าจะรุกคืบมายังแถบชายฝั่งแห่งนี้ราวปลายศตวรรษที่แปด และสร้างพระราชวังขึ้นตรงเชิงเขา El Castillo เมื่อเวลาผ่านไปผู้สืบทอดรุ่นต่อๆมาก็เปลี่ยนเนินเขาลาดชันเบื้องบนให้กลายเป็นวิหารสูงตระหง่านอุทิศให้กับการบูชาบรรพบุรุษ
El Castillo ถูกปกคลุมด้วยซากปรักและตะกอนที่กระแสลมพัดพามาตลอดเกือบหนึ่งพันปี ทำให้ในปัจจุบันดูเหมือนพีระมิดขั้นบันไดขนาดมหึมา เป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน เกียร์ชได้เชิญทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมมาช่วยตรวจสอบซากปรักเหล่านี้ ผลการศึกษาวิเคราะห์ยืนยันว่า วิศวกรชาววารีเริ่มก่อสร้างตรงบริเวณยอดสุดของ El Castillo ซึ่งเป็นหมวดหินธรรมชาติ แล้วจึงไล่ระดับลงมาถึงด้านล่างในที่สุด
ผู้ก่อสร้างเริ่มจากการขุดห้องใต้ดินตามแนวยอดเขาเอลกัสตีโยซึ่งจะกลายเป็นสุสานหลวง เมื่อเสร็จสิ้นการฝังพระศพและพร้อมจะปิดผนึกสุสาน เหล่าคนงานจะเทกรวดทรายราว 30 ตันลงไป และปิดทับด้วยอิฐหนาหนักอีกชั้น จากนั้นจึงสร้างหอคอยสุสานขึ้นด้านบน ทาผนังเป็นสีแดงเข้มมองเห็นได้หลายกิโลเมตรโดยรอบ
เหล่าชนชั้นสูงชาววารีจะถวายเครื่องสักการะสูงค่าไว้ตามห้องเล็กๆภายในสุสาน ซึ่งมีตั้งแต่ผ้าทอฝีมือประณีตที่ผู้คนแถบเทือกเขาแอนดีสโบราณยกย่องยิ่งกว่าทองคำ ไปจนถึงเส้นเชือกผูกเป็นปมลักษณะต่างๆที่เรียกว่า กีปู (khipu) ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือบันทึกจำนวนและประเภททรัพย์ศฤงคารที่องค์จักรพรรดิและจักรวรรดิครอบครอง อย่างไรก็ดี มีการพบร่องรอยของดักแด้ในร่างของราชินี ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ร่างดังกล่าวอาจเคยถูกนำไปตั้งไว้กลางแจ้งเพื่อให้ประชาชนได้เคารพบูชา นอกจากนี้ยังพบมัมมี่จำนวนมากที่ถูกฝังในท่านั่งหลังตรง ที่ชี้ว่าอาจเป็นเหล่าสมาชิกราชวงศ์
นอกจากนั้นยังมีชิ้นส่วนอวัยวะของแร้งเทือกเขาแอนดีส ซึ่งเป็นนกที่มีความเกี่ยวโยงกับชนชั้นสูงชาววารีอย่างแนบแน่น ตรงใจกลางหอคอยเป็นห้องประดิษฐานบัลลังก์ ราวปี 2000 โจรปล้นสุสานเล่าให้นักโบราณคดีชาวเยอรมันคนหนึ่งฟังว่า พวกเขาพบมัมมี่ฝังอยู่ในซุ้มกำแพงรอบห้องซึ่งอาจเคยใช้เป็นสถานที่บูชามัมมี่ขององค์จักรพรรดิ แต่ทางทีมวิจัยยังค้นไม่พบ
บรรดาชนชั้นสูงชาววารีต่างจับจองพื้นที่บนยอดเขาสำหรับสร้างสุสานของตนเอง เมื่อใช้พื้นที่ว่างจนหมดแล้ว พวกเขาก็ออกแบบพื้นที่เพิ่มด้วยการสร้างยกพื้นขั้นบันไดไล่ลงไปตามลาดเนินเขาEl Castillo และสร้างหอคอยสุสานกับหลุมฝังศพตามยกพื้นขั้นบันไดเหล่านั้น เมื่อการก่อสร้างสิ้นสุดลง น่าจะอยู่ช่วงปี 900-1000 นครแห่งผู้วายชนม์สีแดงเข้มก็ตั้งตระหง่านเหนือหุบเขาและชาววารีคือผู้ครองดินแดนนี้โดยชอบธรรม
อารยะธรรมวารี เป็นอารยธรรมที่แผ่อิทธิพลในช่วงตอนกลางของเทือกเขาแอนดิส และชายฝั่งทะเลในเขตประเทศเปรู ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 500-1000 ก่อนที่จะเริ่มล่มสลายเมื่อปี ค.ศ.800 และล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี 1000 อันเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งกันเองระหว่างกลุ่มย่อย
ใบหน้าของราชินี Huarmey แห่งเปรูที่ฝังด้วยอัญมณีและสมบัติมากมายเมื่อ 1,200 ปีก่อนได้รับการสร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งแรก ผู้เชี่ยวชาญใช้เวลา 220 ชั่วโมงในการประดิษฐ์รูปลักษณ์โดยใช้กะโหลกศีรษะของเธอที่พิมพ์ 3 มิติและข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อของเธอ สร้างลักษณะใหม่ด้วยมือโดยใช้ดินเหนียว
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าผู้หญิงคนนี้ถูกฝังไว้ในความงดงามโดยเฉพาะโดยศพของเธอถูกเก็บไว้ในห้องส่วนตัวที่ล้อมรอบไปด้วยอัญมณีและของฟุ่มเฟือยอื่น ๆ รวมถึงพลุหูทองขวานที่ทำด้วยทองแดงและถ้วยเงิน การวิเคราะห์โครงกระดูกของเธอแสดงให้เห็นว่าเธอมีอายุอย่างน้อย 60 ปีเมื่อเธอเสียชีวิตและเธอถูกฝังด้วยเครื่องมือทอผ้าที่ทำจากทองคำซึ่งบ่งบอกว่าเธอได้รับสถานะยอดเยี่ยมในฐานะช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญในการทอผ้า การสร้างใบหน้าของเธอขึ้นมาเพื่อพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของเธอให้มากขึ้น
Cr.ภาพถ่าย โรเบิร์ต คลาร์ก / theweaverprophecy.wordpress.com/
ที่มา http://www.ngthai.com/ เรื่อง เฮเทอร์ พริงเกิล ภาพถ่าย โรเบิร์ต คลาร์ก /
Cr.https://www.tcijthai.com/news/2014/28/archived/4921
Cr.https://variety.thaiza.com/interest/271430/
Cr.https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/430474
Cr.https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-5179627/Peruvian-queens-face-reconstructed-1-200-years.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)