สวัสดีค่ะ ดิฉันแต่งงานกับสามี มีบุตรด้วยกัน 1 คน ตอนนี้อายุ 7 ขวบ เราจดทะเบียนสมรสกันหลังคลอดลูกค่ะ หลังแต่งงาน สามีมาอยู่กับครอบครัวเราค่ะ พ่อแม่เรารักสามีเราเหมือนลูกชายคนหนึ่งค่ะ เรากับสามีก็มีเรื่องทะเลาะกันตามประสาค่ะ ด้วยความแตกต่างและพื้นฐานการเลี้ยงดูตรงกันข้าม แต่สามีจะเป็นคนรักลูกและเรามาก ก่อนหรือหลังคลอดลูก สามีจะเป็นคนดูแลงานบ้าน ทุกอย่างและงานนอกบ้าน ส่วนเราจะเน้นงานนอกบ้านและเลี้ยงลูกค่ะ ด้วยการปฏิบัติของสามีที่มีให้กับเราและลูก อาจทำให้บางครั้งเป็นเหตุให้แม่สามีไม่ชอบเรา แต่ไม่เคยแสดงออกต่อหน้าลูกชาย ย่างเข่าปีที่ 10 ค่ะ เราประสบปัญหามีหนี้สินมาก บ้าน รถ ที่ดิน และอื่น ๆ ตกงานกระทันหัน เลยตกลงกับสามีว่า จะต้องไปทำงานที่รายได้มากหน่อย เพราะหนี้สินหลายหมื่นต่อเดือน(ปกติหลังแต่งงานจะต้องทำงานที่อย่ด้วยกันตลอดค่ะ สามีและเราจะไม่เคยแยกตัวไปทำงาน เช่นครอบครัวอื่น เช่นสามีไปทำงาน ภรรยาอยู่บ้านเลี้ยงลูก) แต่ครั้งนี้เรามีความจำเป็นที่ต้องไปทำงานสายที่เราถนัดคือฝ่ายขายและการตลาด เราเลือกสมัครงานกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งได้รับการเรียกตัวไปทำงานที่จ.ภูเก็ต ซึ่งรายได้กว่า 6 หลัก ถือว่าดีมากเราตอบตกลงเพื่อที่จะไปเริ่มงาน เพื่อเก็บเงินใช้หนี้ให้หมดภายในปี และปรึกษาสามี ครั้งนี้สามีเห็นด้วยค่ะ และอาสาเป็นฝ่ายเลี้ยงลูกรอเราที่บ้าน แต่จะขอย้ายพาลูกกลับไปอยู่กับพ่อแม่ท่บ้านสามี ซึ่งมรอาชีพค้าขาย ก็จะได้ดูแลลูกและพอมีกำไรจากค้าขายช่วยเราอีกแรง ตกลงกันแล้วเราและสามีเดินทางไปบ้านปู่กับย่าเพื่อบอกจะพาลูกมาอยู่ที่บ้าน ค้าขายกับพ่แม่และเลี้ยงลูก ให้เราไปทำงานเพื่อเร่งเก็บเงินสักปี หนี้คงบรรเทา แต่คำตอบที่เราทั้งสองได้ยินคือถูกแม่สามีปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากรับภาระเพิ่ม เรากับสามีได้ยินดังนั้น ได้แต่หันหน้าสบตากัน เดินหันหลังออกจากบ้าน ขับรถกลับโดยปราศจากคำพูดใด ๆ นอกจากความเงียบงัน ต่างคนปล่อยให้น้ำตารินไหลลงมาอาบแก้ม โดยไม่มีคำพูดใด ๆ
กลับถึงบ้าน เรากับสามีตกลงกันใหม่ โดยเราจะขอลูกไปด้วยก่อน ทำงานตั้งตัวสักระยะให้สามีตามไป ซึ่งสามีเราไม่ยอม บอกจะเลี้ยงลูกเอง สุดท้ายเราต้องตัดใจพาลูกไปจากสามีโดยไม่ได้บอกกล่าว (ในใจคิดเพียงว่าเราจะตั่งใจทำงานเลี้ยงลูกไปด้วย ตั้งตัวได้สักพักถึงจะส่งข่าวให้สามีตามลงไป)เพราะคิดว่าอย่างไร เรากับลูกไม่อยู่จะได้ไม่เป็นภาระให้ปู่กับย่า ลูกชายกลับไปอยู่บ้านคนเดียวคงไม่ทีปัญหา เราและลูกตัดสินใจเดินทางไปโดยขับรถไปเรื่อย ๆ 1600 กม.ถึงปลายทาง ค่ำที่ไหน นอนที่นั่น โดยไม่ติดต่อสามี แต่จะอาศัยแม่คอยดูให้ และส่งข่าว และก็เป็นดังว่าค่ะ สามีเสียใจ ร้องไห้ เมาแล้วหลับ ตื่นขึ้นมาดื่มเมาแล้วหลับ อยู่แบบนี้ประมาณสัปดาห์ จนรู้อีกที ว่าพ่อแม่สามีมารับไปอยู่ด้วยที่บ้าน เราก็อาศัยติดต่อ และทราบข่าวผ่านแม่เราที่บ้าน จนย่างเข้าเดือนที่ 2 แม่เราเล่าให้ฟังว่าแม่สามีเชิญไปงานแต่งของลูกชาย ซึ่งแม่เราตกใจมาก เพราะลูกเขยยังเทียวมา หาสู่ ถามข่าวคราว หาลูกเมียตลอด ไม่เคยมีวี่แววจะมีใครใหม่ เราได้ยินข่าวจากแม่ก็รู้สึกเจ็บลึก เหมือนมีมีดมากรีดกลางใจ ให้เป็นแผลลึก แต่เราต้องอดทน อดกลั้น ไม่แสดงความรู้สึกเพราะสงสารลูก ที่จะถามแม่ก่อนนอนทุกวัน เมื่อไหร่พ่อจะมาถึงค่ะแม่ เราได้แต่แอบนอนร้องไห้ หลังจากลูกหลับไปแล้วทุกคืน แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่โทรหาสามี เพราะคิดว่าคงไม่ทีประโยชน์ เมื่อเขาเลือกแล้ว เวลา 10 ปีคงไม่ทีความหมายใด ๆ เราตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อเก็บเงิน และเลี้ยงลูกให้ความอบอุ่นเต็มสามารถเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ เวลาผ่านไปย่างเข้าเดือนที่3 เรายังได้รับข่าวจากสามี แวะเวียนมาหาเรากับลูก มานอนค้างที่บ้านเราและก่อนไปจะฝากเงินไว้ที่แม่เราพร้อมกับคำถาม เมียกับลูกติดต่อมาบ้างไหมแม่ผมคิดถึงลูกกับเมีย แม่เราก็ได้แต่สงสารลูกเขยแต่เพราะข่าวจากแม่สามีว่าลูกเขยแต่งงานใหม่แล้ว แม่เราเลยไม่ได้พูดอะไรมาก วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 11.05 น.เรากับลูกขับรถไปพบลูกค้า เป็นปกติ ได้ยินเสียงโทรศัพย์เข้า จึงรับสายเพราะเบอร์ไม่คุ้นเคย ได้ยินเสียงปลายสาย เพียงคำแรกก็รู้ว่าเป็นเสียงสามี เราเลยถามคำถามแรกว่าได้เบอร์นี้จากที่ไหน สามีบอกอยู่กับแม่(เรา)เพราะมาหาตลอด วันนี้ขอร้องให้แม่โทรให้เพราะคิดถึงลูกกับเมียมาก เราไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะมือสั่น เสียงสั่นกลัวสามีจะรู้ว่าเราร้องไห้ เพราะคิดถึงเค้าและสงสารลูก จำได้ว่าสามีบอกว่ารู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน จะไปหานะไปหานะ แล้วเราก็วางสายไป..
เวลา 14.15 น.มีเสียงเรียกเข้าเป็นเบอร์แม่เรา จึงรีบรับสาย เพราะมีคำถามมากมายจะถามแม่ แต่แม่ชิงพูดพร้อมเสียงสั่นเครือขึ้นมาก่อนว่าหลานอยู่ที่ไหน เราบอกกำลังหลับอยู่เบาะหลัง แม่บอกเราให้ตั้งสติ ทำใจดี ๆ พ่อโอโอ้(สามีเรา)เสียแล้ว รพ.โทรมาเมื่อกี้ เกิดอุบัติเหตุ รถชนเสียชีวิต.เราไม่ได้ฟังต่อ เพราะมือสั่น ขาสั่น โทรศัพย์หล่นลงพื้น เลยรวบรวมสติรีบขับรถชิดซ้าย หันไปมองลูกที่กำลังหลับ อย่างไร้เดียงสา..
มาต่อฉบับหน้านะค่ะ
พ่อแม่สามี ปกปิดข้อมูลเราและลูกซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม รับผลประโยชน์ไปทั้งหมด เขาเป็นคนอย่างไร ?
กลับถึงบ้าน เรากับสามีตกลงกันใหม่ โดยเราจะขอลูกไปด้วยก่อน ทำงานตั้งตัวสักระยะให้สามีตามไป ซึ่งสามีเราไม่ยอม บอกจะเลี้ยงลูกเอง สุดท้ายเราต้องตัดใจพาลูกไปจากสามีโดยไม่ได้บอกกล่าว (ในใจคิดเพียงว่าเราจะตั่งใจทำงานเลี้ยงลูกไปด้วย ตั้งตัวได้สักพักถึงจะส่งข่าวให้สามีตามลงไป)เพราะคิดว่าอย่างไร เรากับลูกไม่อยู่จะได้ไม่เป็นภาระให้ปู่กับย่า ลูกชายกลับไปอยู่บ้านคนเดียวคงไม่ทีปัญหา เราและลูกตัดสินใจเดินทางไปโดยขับรถไปเรื่อย ๆ 1600 กม.ถึงปลายทาง ค่ำที่ไหน นอนที่นั่น โดยไม่ติดต่อสามี แต่จะอาศัยแม่คอยดูให้ และส่งข่าว และก็เป็นดังว่าค่ะ สามีเสียใจ ร้องไห้ เมาแล้วหลับ ตื่นขึ้นมาดื่มเมาแล้วหลับ อยู่แบบนี้ประมาณสัปดาห์ จนรู้อีกที ว่าพ่อแม่สามีมารับไปอยู่ด้วยที่บ้าน เราก็อาศัยติดต่อ และทราบข่าวผ่านแม่เราที่บ้าน จนย่างเข้าเดือนที่ 2 แม่เราเล่าให้ฟังว่าแม่สามีเชิญไปงานแต่งของลูกชาย ซึ่งแม่เราตกใจมาก เพราะลูกเขยยังเทียวมา หาสู่ ถามข่าวคราว หาลูกเมียตลอด ไม่เคยมีวี่แววจะมีใครใหม่ เราได้ยินข่าวจากแม่ก็รู้สึกเจ็บลึก เหมือนมีมีดมากรีดกลางใจ ให้เป็นแผลลึก แต่เราต้องอดทน อดกลั้น ไม่แสดงความรู้สึกเพราะสงสารลูก ที่จะถามแม่ก่อนนอนทุกวัน เมื่อไหร่พ่อจะมาถึงค่ะแม่ เราได้แต่แอบนอนร้องไห้ หลังจากลูกหลับไปแล้วทุกคืน แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่โทรหาสามี เพราะคิดว่าคงไม่ทีประโยชน์ เมื่อเขาเลือกแล้ว เวลา 10 ปีคงไม่ทีความหมายใด ๆ เราตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อเก็บเงิน และเลี้ยงลูกให้ความอบอุ่นเต็มสามารถเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ เวลาผ่านไปย่างเข้าเดือนที่3 เรายังได้รับข่าวจากสามี แวะเวียนมาหาเรากับลูก มานอนค้างที่บ้านเราและก่อนไปจะฝากเงินไว้ที่แม่เราพร้อมกับคำถาม เมียกับลูกติดต่อมาบ้างไหมแม่ผมคิดถึงลูกกับเมีย แม่เราก็ได้แต่สงสารลูกเขยแต่เพราะข่าวจากแม่สามีว่าลูกเขยแต่งงานใหม่แล้ว แม่เราเลยไม่ได้พูดอะไรมาก วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 11.05 น.เรากับลูกขับรถไปพบลูกค้า เป็นปกติ ได้ยินเสียงโทรศัพย์เข้า จึงรับสายเพราะเบอร์ไม่คุ้นเคย ได้ยินเสียงปลายสาย เพียงคำแรกก็รู้ว่าเป็นเสียงสามี เราเลยถามคำถามแรกว่าได้เบอร์นี้จากที่ไหน สามีบอกอยู่กับแม่(เรา)เพราะมาหาตลอด วันนี้ขอร้องให้แม่โทรให้เพราะคิดถึงลูกกับเมียมาก เราไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะมือสั่น เสียงสั่นกลัวสามีจะรู้ว่าเราร้องไห้ เพราะคิดถึงเค้าและสงสารลูก จำได้ว่าสามีบอกว่ารู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน จะไปหานะไปหานะ แล้วเราก็วางสายไป..
เวลา 14.15 น.มีเสียงเรียกเข้าเป็นเบอร์แม่เรา จึงรีบรับสาย เพราะมีคำถามมากมายจะถามแม่ แต่แม่ชิงพูดพร้อมเสียงสั่นเครือขึ้นมาก่อนว่าหลานอยู่ที่ไหน เราบอกกำลังหลับอยู่เบาะหลัง แม่บอกเราให้ตั้งสติ ทำใจดี ๆ พ่อโอโอ้(สามีเรา)เสียแล้ว รพ.โทรมาเมื่อกี้ เกิดอุบัติเหตุ รถชนเสียชีวิต.เราไม่ได้ฟังต่อ เพราะมือสั่น ขาสั่น โทรศัพย์หล่นลงพื้น เลยรวบรวมสติรีบขับรถชิดซ้าย หันไปมองลูกที่กำลังหลับ อย่างไร้เดียงสา..
มาต่อฉบับหน้านะค่ะ