คำสาปแช่งของฤาษี
"ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้ ม้า วัว เงิน ทอง และภรรยาที่น่าชอบใจ
จงพร้อมพรั่งด้วยบุตรและภรรยามากมายเถิด"
ข้อความบางตอนจาก พระไตรปิฎก ภิสชาดก
พระพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องในอดีตที่พระองค์และบัณฑิตทั้งหลาย อบรมปัญญา ปรารภความเพียร เพื่อละกิเลส เรื่องย่อในภิสชาดก มีดังนี้
พระโพธิสัตว์เป็นพี่ชายคนโตมีน้อง 6 คน เมื่อบิดา มารดา เสียชีวิต ได้เป็นผู้ต้องการออกบวช พี่น้องทั้ง 7 คนต่างออกบวชเป็นดาบส
ยินดีในการสละกิเลส เป็นผู้มีศีลดี จนท้าวสักกะ(พระอินทร์)มาลองใจดาบสทั้งหมดว่า เป็นผู้สละขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งหรือไม่
ซึ่งพี่น้องจะช่วยกันผลัดหาอาหารมาให้ในแต่ละวัน มีเหง้าบัว เป็นต้น ท้าวสักกะ จึงแอบเอาส่วนของพระโพธิสัตว์ที่จะได้ ไม่ให้มี
พระโพธิสัตว์คิดว่า วันนี้เขาคงลืมส่วนของเรา วันที่สอง ท้าวสักกะ ก็เอาส่วนของพระโพธิสัตว์ออกอีก พระโพธิสัตว์จึงคิดว่า
โทษความผิดของเราคงมี เขาถึงไม่ให้อาหารเราในวันนี้ พอวันที่สาม ท้าวสักกะก็เอาส่วนของพระโพธิสัตว์ไปอีก พระโพธิสัตว์คิดว่า
โทษของเราคงจะมีแน่ เราจะขอโทษนั้น จึงเรียกประชุมดาบสที่เป็นพี่น้องทั้งหมด และได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังที่ไม่ได้อาหารส่วนแบ่ง
แต่ดาบสผู้หาอาหารมาให้ ก็ยืนยันว่าได้เอาอาหารมาแบ่งให้ จึงคิดว่าใครเล่าเป็นผู้ขโมยอาหารนั้น น้องคนรองที่เป็นดาบส ก็กล่าวกับพระโพธิสัตว์ด้วยคำที่ยืนยันความจริง จึงสาปแช่งตัวเองว่าหากตนเป็นขโมย ให้ได้รับสิ่งเหล่านี้ด้วยคาถาว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้ ม้า วัว เงิน ทอง และภรรยาที่น่าชอบใจ
จงพร้อมพรั่งด้วยบุตรและภรรยามากมายเถิด.
กลุ่มดาบสพี่น้องและพระโพธิสัตว์ได้ฟังคำนั้น กล่าวกันว่า ท่านกล่าวคำหนัก รุนแรง ท่านอย่าสาปแช่งตัวเองอย่างนั้น เอามือปิดหูกัน
น้องคนต่อมาก็กล่าวคาถาว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงครอบครองบ้านส่วยอันพระราชาทรงพระราชทานให้ เป็นบ้านที่มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยเหตุ ๔ ประการ ดุจท้าววาสวะพระราชทานให้ อย่าได้คลายความยินดีจนกระทั่งถึงความตายเถิด.
น้องสาวก็กล่าวคาถาว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หญิงใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเอกราช
ทรงปราบปรามศัตรูได้ทั่วพื้นปฐพี ทรงสถาปนาให้หญิงนั้นเป็นยอดสตรีจำนวนพัน
ขอหญิงนั้นจงเป็นมเหสีผู้ประเสริฐกว่านางสนมทั้งหลายเถิด.
ขอยกคำสาปแช่งของดาบส บางส่วน ดังนี้ครับ
ซึ่งเมื่อแต่ละท่านได้กล่าวคำสาปแช่งดังนี้แล้ว ฤาษีแต่ละท่านก็กล่าวทำนองเดียวกันว่า ท่านกล่าวคำหนัก รุนแรง ไม่ควรกล่าวเช่นนั้น
พระโพธิสัตว์ก็ได้กล่าวคาถาเช่นกันว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ใดแลแกล้งกล่าวถึงของที่ไม่หายว่าหายก็ดี หรือผู้สงสัยคนใดคนหนึ่งก็ดี
ขอให้ผู้นั้นจงได้บริโภคกามทั้งหลาย จงเข้าถึงความตายอยู่ในท่ามกลางเรือน
เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวเช่นนี้แล้ว ท้าวสักกะ สลดใจ ถึงคุณธรรมที่มั่นคงของแต่ละท่าน
จึงบอกความจริงกับพระโพธิสัตว์และคณะดาบสว่ามาทดลองเหล่าท่านทั้งหลาย พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
ฤาษีไม่ใช่นักฟ้อนที่จะมาทดลองหยอกเล่น ท้าวสักกะ ทราบความผิดของตน จึงกล่าวด้วยคาถาไพเราะว่า
ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน ท่านเป็นอาจารย์และเป็นบิดาของข้าพเจ้า
ขอเงาเท้าของท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าผู้พลั้งพลาด ขอได้โปรดอดโทษสักครั้งหนึ่งเถิด
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่มีความโกรธเป็นกำลัง.
พระโพธิสัตว์ให้อภัยกับท้าวสักกะ ฤาษีทั้งหลายประพฤติคุณความดีไปเกิดพรหมโลก
จากเรื่อง ภิสชาดก คำสาปแช่งของฤาษี แสดงความจริงว่าสิ่งที่ชาวโลกยินดี มี บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัติ
สิ่งเหล่านั้นกับไม่เป็นที่ยินดีของผู้ที่เห็นโทษภัยของการจะละ สละกิเลส เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์และกิเลส
ของบุคคลผู้ยังมีกิเลส คำสาปแช่ง ที่น่าคิดที่ว่า อย่าได้คลายความยินดีจนกระทั่งถึงความตายเถิด
ผู้มีปัญญาเห็นโทษของความติดข้อง ว่าตายไปทั้งๆที่เต็มไปด้วยกิเลส ความติดข้องและความไม่รู้ความจริง เป็นโทษมาก
เพราะฉะนั้นผู้ที่สะสมปัญญามา ก็ย่อมใช้ชีวิตปกติ ครองเรือน แต่ เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ในการอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม
อันเป็นสิ่งที่ประเสริฐกับชีวิต บุตร ภรรยา ทรัพย์สิน เงินทอง มีมากเท่าใด สิ่งเหล่านี้ชั่วคราวต้องจากไป และแท้ที่จริงแล้ว
มีแต่ธรรม ไม่ใช่เราที่เกิดขึ้นและดับไป จากไปทุกขณะ แต่จำผิดว่ามีเรา มีบุตร มีทรัพย์สมบัติ สิ่งที่สะสมติดตามไปได้ คือ
คุณความดี และ กิเลส ตัณหา อวิชชา เพราะฉะนั้น จะจากไปด้วยการสะสมสิ่งที่ประเสริฐ หรือ จะจากไปด้วยความยินดีในสิ่งต่างๆ
และก็ตายจากไปด้วยความไม่รู้ ก็มีชีวิตที่เปล่าประโยชน์ มีชีวิตแต่ละวันก็สะสมกิเลส สะสมโทษ ควรจะเป็นผู้สว่างมา สว่างไป
เกิดเป็นมนุษย์แล้วได้สะสมสิ่งที่ประเสริฐ คือ การเข้าใจความจริง ด้วยการศึกษาพระธรรม ด้วยหนทางการละสิ่งที่ไม่ดี
ด้วยความเข้าใจถูกในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ ดั่งเช่น ฤาษีทั้งหลาย ที่ต่อมาท่านเหล่านั้น
ก็ได้อบรมปัญญาดับกิเลส พ้นทุกข์เพราะรู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขออนุโมทนา
สอบถามสนทนาปัญหาธรรมได้ที่ลิ้งนี้
https://www.dhammahome.com/webboard/section/2
ฟังธรรมเฉพาะเสียง อ.สุจินต์ ได้ทั่วโลก ทุกวัน 24 ชม.กดฟังลิ้งนี้
http://mixlr.com/dhammahome/
สมัครสมาชิกไลน์ชมรมบ้านธัมมะ ไลน์ทางการของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อรับข่าวสารข้อมูลพระธรรมที่ถูกต้อง คลิกลิ้งนี้
https://line.me/R/ti/p/%40evv3419q
ศึกษาธรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.dhammahome.com
โดย มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
...ขอให้รวยๆๆ (คำสาปแช่งของฤๅษี) ภิสชาดก
"ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้ ม้า วัว เงิน ทอง และภรรยาที่น่าชอบใจ
จงพร้อมพรั่งด้วยบุตรและภรรยามากมายเถิด"
ข้อความบางตอนจาก พระไตรปิฎก ภิสชาดก
พระพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องในอดีตที่พระองค์และบัณฑิตทั้งหลาย อบรมปัญญา ปรารภความเพียร เพื่อละกิเลส เรื่องย่อในภิสชาดก มีดังนี้
พระโพธิสัตว์เป็นพี่ชายคนโตมีน้อง 6 คน เมื่อบิดา มารดา เสียชีวิต ได้เป็นผู้ต้องการออกบวช พี่น้องทั้ง 7 คนต่างออกบวชเป็นดาบส
ยินดีในการสละกิเลส เป็นผู้มีศีลดี จนท้าวสักกะ(พระอินทร์)มาลองใจดาบสทั้งหมดว่า เป็นผู้สละขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งหรือไม่
ซึ่งพี่น้องจะช่วยกันผลัดหาอาหารมาให้ในแต่ละวัน มีเหง้าบัว เป็นต้น ท้าวสักกะ จึงแอบเอาส่วนของพระโพธิสัตว์ที่จะได้ ไม่ให้มี
พระโพธิสัตว์คิดว่า วันนี้เขาคงลืมส่วนของเรา วันที่สอง ท้าวสักกะ ก็เอาส่วนของพระโพธิสัตว์ออกอีก พระโพธิสัตว์จึงคิดว่า
โทษความผิดของเราคงมี เขาถึงไม่ให้อาหารเราในวันนี้ พอวันที่สาม ท้าวสักกะก็เอาส่วนของพระโพธิสัตว์ไปอีก พระโพธิสัตว์คิดว่า
โทษของเราคงจะมีแน่ เราจะขอโทษนั้น จึงเรียกประชุมดาบสที่เป็นพี่น้องทั้งหมด และได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังที่ไม่ได้อาหารส่วนแบ่ง
แต่ดาบสผู้หาอาหารมาให้ ก็ยืนยันว่าได้เอาอาหารมาแบ่งให้ จึงคิดว่าใครเล่าเป็นผู้ขโมยอาหารนั้น น้องคนรองที่เป็นดาบส ก็กล่าวกับพระโพธิสัตว์ด้วยคำที่ยืนยันความจริง จึงสาปแช่งตัวเองว่าหากตนเป็นขโมย ให้ได้รับสิ่งเหล่านี้ด้วยคาถาว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้ ม้า วัว เงิน ทอง และภรรยาที่น่าชอบใจ
จงพร้อมพรั่งด้วยบุตรและภรรยามากมายเถิด.
กลุ่มดาบสพี่น้องและพระโพธิสัตว์ได้ฟังคำนั้น กล่าวกันว่า ท่านกล่าวคำหนัก รุนแรง ท่านอย่าสาปแช่งตัวเองอย่างนั้น เอามือปิดหูกัน
น้องคนต่อมาก็กล่าวคาถาว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงครอบครองบ้านส่วยอันพระราชาทรงพระราชทานให้ เป็นบ้านที่มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยเหตุ ๔ ประการ ดุจท้าววาสวะพระราชทานให้ อย่าได้คลายความยินดีจนกระทั่งถึงความตายเถิด.
น้องสาวก็กล่าวคาถาว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หญิงใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเอกราช
ทรงปราบปรามศัตรูได้ทั่วพื้นปฐพี ทรงสถาปนาให้หญิงนั้นเป็นยอดสตรีจำนวนพัน
ขอหญิงนั้นจงเป็นมเหสีผู้ประเสริฐกว่านางสนมทั้งหลายเถิด.
ขอยกคำสาปแช่งของดาบส บางส่วน ดังนี้ครับ
ซึ่งเมื่อแต่ละท่านได้กล่าวคำสาปแช่งดังนี้แล้ว ฤาษีแต่ละท่านก็กล่าวทำนองเดียวกันว่า ท่านกล่าวคำหนัก รุนแรง ไม่ควรกล่าวเช่นนั้น
พระโพธิสัตว์ก็ได้กล่าวคาถาเช่นกันว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ใดแลแกล้งกล่าวถึงของที่ไม่หายว่าหายก็ดี หรือผู้สงสัยคนใดคนหนึ่งก็ดี
ขอให้ผู้นั้นจงได้บริโภคกามทั้งหลาย จงเข้าถึงความตายอยู่ในท่ามกลางเรือน
เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวเช่นนี้แล้ว ท้าวสักกะ สลดใจ ถึงคุณธรรมที่มั่นคงของแต่ละท่าน
จึงบอกความจริงกับพระโพธิสัตว์และคณะดาบสว่ามาทดลองเหล่าท่านทั้งหลาย พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
ฤาษีไม่ใช่นักฟ้อนที่จะมาทดลองหยอกเล่น ท้าวสักกะ ทราบความผิดของตน จึงกล่าวด้วยคาถาไพเราะว่า
ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน ท่านเป็นอาจารย์และเป็นบิดาของข้าพเจ้า
ขอเงาเท้าของท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าผู้พลั้งพลาด ขอได้โปรดอดโทษสักครั้งหนึ่งเถิด
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่มีความโกรธเป็นกำลัง.
พระโพธิสัตว์ให้อภัยกับท้าวสักกะ ฤาษีทั้งหลายประพฤติคุณความดีไปเกิดพรหมโลก
จากเรื่อง ภิสชาดก คำสาปแช่งของฤาษี แสดงความจริงว่าสิ่งที่ชาวโลกยินดี มี บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัติ
สิ่งเหล่านั้นกับไม่เป็นที่ยินดีของผู้ที่เห็นโทษภัยของการจะละ สละกิเลส เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์และกิเลส
ของบุคคลผู้ยังมีกิเลส คำสาปแช่ง ที่น่าคิดที่ว่า อย่าได้คลายความยินดีจนกระทั่งถึงความตายเถิด
ผู้มีปัญญาเห็นโทษของความติดข้อง ว่าตายไปทั้งๆที่เต็มไปด้วยกิเลส ความติดข้องและความไม่รู้ความจริง เป็นโทษมาก
เพราะฉะนั้นผู้ที่สะสมปัญญามา ก็ย่อมใช้ชีวิตปกติ ครองเรือน แต่ เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ในการอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม
อันเป็นสิ่งที่ประเสริฐกับชีวิต บุตร ภรรยา ทรัพย์สิน เงินทอง มีมากเท่าใด สิ่งเหล่านี้ชั่วคราวต้องจากไป และแท้ที่จริงแล้ว
มีแต่ธรรม ไม่ใช่เราที่เกิดขึ้นและดับไป จากไปทุกขณะ แต่จำผิดว่ามีเรา มีบุตร มีทรัพย์สมบัติ สิ่งที่สะสมติดตามไปได้ คือ
คุณความดี และ กิเลส ตัณหา อวิชชา เพราะฉะนั้น จะจากไปด้วยการสะสมสิ่งที่ประเสริฐ หรือ จะจากไปด้วยความยินดีในสิ่งต่างๆ
และก็ตายจากไปด้วยความไม่รู้ ก็มีชีวิตที่เปล่าประโยชน์ มีชีวิตแต่ละวันก็สะสมกิเลส สะสมโทษ ควรจะเป็นผู้สว่างมา สว่างไป
เกิดเป็นมนุษย์แล้วได้สะสมสิ่งที่ประเสริฐ คือ การเข้าใจความจริง ด้วยการศึกษาพระธรรม ด้วยหนทางการละสิ่งที่ไม่ดี
ด้วยความเข้าใจถูกในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ ดั่งเช่น ฤาษีทั้งหลาย ที่ต่อมาท่านเหล่านั้น
ก็ได้อบรมปัญญาดับกิเลส พ้นทุกข์เพราะรู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขออนุโมทนา
สอบถามสนทนาปัญหาธรรมได้ที่ลิ้งนี้ https://www.dhammahome.com/webboard/section/2
ฟังธรรมเฉพาะเสียง อ.สุจินต์ ได้ทั่วโลก ทุกวัน 24 ชม.กดฟังลิ้งนี้
http://mixlr.com/dhammahome/
สมัครสมาชิกไลน์ชมรมบ้านธัมมะ ไลน์ทางการของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อรับข่าวสารข้อมูลพระธรรมที่ถูกต้อง คลิกลิ้งนี้
https://line.me/R/ti/p/%40evv3419q
ศึกษาธรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.dhammahome.com
โดย มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา