สวัสดีค่ะ เพิ่งผ่านการยุติการตั้งครรภ์โดยใช้ยามาค่ะ ขอเล่าข้อมูลคร่าวๆ สาเหตุในการยุติการตั้งครรภ์ครั้งนี้ก่อน เนื่องจากช่วง12-13w แพทย์ที่ดูแลได้ส่งให้ไปอัลตราซาวด์เด็กเพื่อหาความผิดปกติของร่างกายเบื้องต้นค่ะ หลังจากการทำอัลตราซาวด์พบว่าทารกในครรภ์มีลักษณะช่วงท้ายทอยหนา มีค่า NTอยู่ที่ 7.7มิลค่ะ มีความเสี่ยงที่เด็กจะมีความผิดปกติทางโครโมโซม อาจจะทำให้เด็กมีอาการดาวน์ซินโดรม แล้วพบว่ามือข้างขวาของเด็กมีนิ้วเกินมา 1 นิ้ว เป็น 6 นิ้วค่ะ หลังจากทราบผลตรวจก็ปล่อยโฮกลางคลินิก คุณหมอแนะนำให้ทำ CVS (การนำตัวอย่างชิ้นส่วนในครรภ์ไปตรวจ ผ่านทางช่องท้องโดยใช้เข็มเจาะบริเวณหน้าท้อง) หลังจากนั้นเราก็เลยขอกลับมาตัดสินใจก่อนว่าจะตรวจดีไหมเพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงในช่วงโควิดนี้ จขกท.เลยกลับมาปรึกษาพี่สาวและแฟนเขาเลยแนะนำให้ตรวจเลย
พอถึงวันตรวจเราก็เตรียมตัวและเตรียมใจไปแล้วว่าจะต้องเจออะไรบ้าง พอไปถึงคุณหมอได้ทำการอัลตราซาวด์เพื่อหาตำแหน่งก่อน หลังจากนั้นก็ใช้แอลกอฮอล์เช็ดบริเวณตำแหน่งที่จะลงเข็ม หมอได้ฉีดยาชาลงไปก่อน อีกสัก 1 นาที หมอได้ลงเข็มอีกทีแล้วได้ดูดน้ำบริเวณรกของเด็กไปประมาณ 1 หลอด เป็นการเสร็จพิธีในการทำ CVS หลังจากทำเรามีอาการปวดท้องหน่วงๆคล้ายปวดประจำเดือน เดินตัวงอๆเล็กน้อย หมอบอกว่าผลตรวจคร่าวๆจะออกภายใน3วันนะ ถ้าผลจากlabก็จะประมาณ7วันค่ะ
หลังจากนั้น4-5วันก็ได้รับโทรศัพท์จากทางศูนย์อัลตราซาวด์ว่า เด็กมีความผิดปกติทางโครโมโซมคู่ที่ 4 และ 9 โดยคู่ที่ 4 ได้กระโดดไปอยู่คู่ที่ 9 แล้วคู่ที่ 9 แขนข้างนึงของโครโมโซมสั้นกว่าปกติ เด็กอาจจะเสียชีวิตในระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอดมาแล้วเขาจะพัฒนาการช้า ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเรียกง่ายๆว่าจะมีความพิการรุนแรงตั้งแต่กำเนิด หลังจากนั้นหมอที่ศูนย์อัลตราซาวด์ได้ส่งตัวไปให้ GPส่วนตัวเพื่อฟังผลและแนวทางในการรักษาต่อไป หลังจากได้ปรึกษากับGP เราได้ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ ทางGPได้ส่งตัวไปที่รพ.
อีก2-3 วันถัดมา ทางรพ.ได้ติดต่อให้ไปพบด่วน เพื่อหาแนวทางรักษาและเยียวยาต่อไป บรรยากาศภายในห้องจะมีหมอเด็ก ล่ามแปลภาษา พี่สาว และจขกท. ทางรพ.ได้ให้เรานั่งคุยกับGenetic specialist, นักสังคมสงเคราะห์ เพื่อหาแนวทางในการรักษาหลังจากนี้ เพราะเขาเข้าใจว่าหลังการสูญเสียสภาพจิตใจของคุณแม่อาจจะไม่ปกติ
เราได้ปรึกษาแนวทางความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป โดยคุณหมอได้ถามประวัติคร่าวๆว่าทางฝั่งเรามีใครมีความผิดปกติหรือไม่ เลยตอบคุณหมอไปว่า ยายแท้ๆเคยมีลูก 7 คน รอดมา 2 คนคือแม่เราและน้าเรา โดย 1 ใน 5 ที่เสียชีวิตพบว่าเด็กมีนิ้วเกินเและด็กส่วนใหญ่ร่างกายไม่แข็งแรง และเสียชีวิตในที่สุด หมอเลยแนะนำให้เราตรวจเลือดเพราะหมอสันนิษฐานว่ามีแนวโน้มที่เด็กมีความผิดปกติอาจจะมาจากฝั่งเรา
หลังจากนั้นหมอได้อธิบายแนวทางในการยุติการตั้งครรภ์ โดยมีให้เลือก 2 แบบ ผ่าตัด กับทานยา แต่ละวิธีมีความเสี่ยงเท่ากัน แต่หมอแนะนำเลยว่าถ้าอายุครรภ์อยู่ในช่วง 13week+ หมอแนะนำให้ทานยาจะดีกว่า เพราะถ้าใช้การผ่าตัดตัวทารกเริ่มมีโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น ทางผนังมดลูกเราอาจจะได้รับการขีดข่วน หรือเป็นรูจากการสอดเครื่องมือได้ ในทั้ง2ประเภทนี้ ตัวผู้ป่วยอาจจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
เราได้ฟังแล้วเลยเลือกวิธีในการทานยา โดยคุณหมอจะให้ทานยา 2 ครั้ง เม็ดแรกทานภายในวันนั้นเลย และค่อยมารับยาสอดอีก 2 วันถัดมา
หลังจากนั้น 2 วันทางรพ.ได้โทรมาบอกว่าตอนนี้มีเตียงว่างแล้วนะให้คนไข้เข้ามาได้ทันทีเลย เราก็รีบไป พอไปถึงรพ.หมอก็ได้ทำการเจาะเลือด วัดความดัน วัดไข้ปกติ และได้นำนักสังคมสงเคราะห์มาคุยอีกครั้งเพื่อตรวจเช็คสภาพจิตใจของเราก่อนทำการสอดยา พอเราพร้อมคุณหมอได้ทำการสอดยา 4 เม็ดในช่องคลอดเราช่วงตอน 4 โมงเย็น และจะกลับมาให้อมยาอีกภายใน2-3 ชม.หากยังไม่มีอาการใดๆ
หมอได้บอกก่อนว่าเราอาจจะมีไข้ต่ำๆ หนาวสั่น อาเจียน ปวดท้องเหมือนปวดประจำเดือน ปวดบริเวณก้นกบลงไปช่วงขา และท้องร่วง ซึ่งเราเป็นหมดเลย เราเข้าห้องน้ำถึง 5 ครั้ง และครั้งที่ 4 ช่วงประมาณ 1 ทุ่ม เรารู้สึกว่าตอนฉี่ออกมามีอะไรใสๆออกมาจากช่องคลอดคล้ายฉี่ก็เลยกลับมานั่งที่เตียง ทีนี้มีน้ำใสๆพรวดออกมาจากช่องคลอดจำนวนมาก บวกกับอาการปวดท้องเลยไปเข้าห้องน้ำอีกครั้งและพบว่าเด็กได้ออกมาแล้วครึ่งนึง เราพยายามเดินไปที่เตียงแต่เลือดก็พุงออกตรงหน้าห้องน้ำแบบเยอะมากๆ พี่เราเลยกดเรียกหมอเข้ามา หมอให้เรานอนบริเวณขอบเตียงและให้เราออกแรงเบ่งเด็กออกมา เรารู้สึกช้อคและขาสั่นตัวสั่นเพราะความตกใจ หมอได้ทำการนำเด็กออกมาก่อน แล้วค่อยให้เราเบ่งรกออกมาอีกที หมอบอกว่าเราได้แท้งโดยสมบูรณ์แล้วนะ
หลังจากนั้นอาการปวดท้องได้ทุเลาลง ไข้ลดด้วย อาจจะมีการปวดท้องแปรบๆ ซึ่งเป็นอาการปวดปกติ คุณหมอได้นำเด็กใส่ห่อแบบทารกมาให้เราดูเขาบอกว่าทางรพ.เสนอถ่ายภาพใส่สมุดmemoriesไว้ให้ ซึ่งเราได้ทำการปฏิเสธเพราะเราจะรู้สึกแย่ทุกครั้งที่เห็นภาพนั้น เราได้แจ้งกับทางรพ.และนักสังคมสงเคราะห์ให้จัดการเผาทารกโดยไม่ต้องมีพิธีกรรมใดๆได้เลย ทางรพ.เลยมอบผ้าห่อเด็กที่เปื้อนเลือดนิดๆให้เราเก็บไว้ก่อนออกจากรพ.
หลังจากออกจากรพ.เรารู้สึกปวดท้องน้อยคล้ายประจำเดือน ซึ่งไม่รู้ว่าอาการเหล่านี้จะหายไปตอนไหน คงต้องรักษาตัวและสภาพจิตใจต่อไป
ปล.ที่เรามาเล่าประสบการณ์นี้ให้ฟังเพราะอยากจะระบายและอยากจะให้กำลังใจกับผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกับเราค่ะ และอยากสอบถามเพื่อนๆที่มีประสบการณ์แบบเดียวกับเราว่ามีแนวทางในการรักษาจิตใจตัวเองอย่างไรให้กลับมาใช้ชีวิตปกติได้
ขอบคุณค่ะ
การเยียวจิตใจหลังยุติการตั้งครรภ์
หลังจากนั้นหมอได้อธิบายแนวทางในการยุติการตั้งครรภ์ โดยมีให้เลือก 2 แบบ ผ่าตัด กับทานยา แต่ละวิธีมีความเสี่ยงเท่ากัน แต่หมอแนะนำเลยว่าถ้าอายุครรภ์อยู่ในช่วง 13week+ หมอแนะนำให้ทานยาจะดีกว่า เพราะถ้าใช้การผ่าตัดตัวทารกเริ่มมีโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น ทางผนังมดลูกเราอาจจะได้รับการขีดข่วน หรือเป็นรูจากการสอดเครื่องมือได้ ในทั้ง2ประเภทนี้ ตัวผู้ป่วยอาจจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
เราได้ฟังแล้วเลยเลือกวิธีในการทานยา โดยคุณหมอจะให้ทานยา 2 ครั้ง เม็ดแรกทานภายในวันนั้นเลย และค่อยมารับยาสอดอีก 2 วันถัดมา
หลังจากนั้น 2 วันทางรพ.ได้โทรมาบอกว่าตอนนี้มีเตียงว่างแล้วนะให้คนไข้เข้ามาได้ทันทีเลย เราก็รีบไป พอไปถึงรพ.หมอก็ได้ทำการเจาะเลือด วัดความดัน วัดไข้ปกติ และได้นำนักสังคมสงเคราะห์มาคุยอีกครั้งเพื่อตรวจเช็คสภาพจิตใจของเราก่อนทำการสอดยา พอเราพร้อมคุณหมอได้ทำการสอดยา 4 เม็ดในช่องคลอดเราช่วงตอน 4 โมงเย็น และจะกลับมาให้อมยาอีกภายใน2-3 ชม.หากยังไม่มีอาการใดๆ
หมอได้บอกก่อนว่าเราอาจจะมีไข้ต่ำๆ หนาวสั่น อาเจียน ปวดท้องเหมือนปวดประจำเดือน ปวดบริเวณก้นกบลงไปช่วงขา และท้องร่วง ซึ่งเราเป็นหมดเลย เราเข้าห้องน้ำถึง 5 ครั้ง และครั้งที่ 4 ช่วงประมาณ 1 ทุ่ม เรารู้สึกว่าตอนฉี่ออกมามีอะไรใสๆออกมาจากช่องคลอดคล้ายฉี่ก็เลยกลับมานั่งที่เตียง ทีนี้มีน้ำใสๆพรวดออกมาจากช่องคลอดจำนวนมาก บวกกับอาการปวดท้องเลยไปเข้าห้องน้ำอีกครั้งและพบว่าเด็กได้ออกมาแล้วครึ่งนึง เราพยายามเดินไปที่เตียงแต่เลือดก็พุงออกตรงหน้าห้องน้ำแบบเยอะมากๆ พี่เราเลยกดเรียกหมอเข้ามา หมอให้เรานอนบริเวณขอบเตียงและให้เราออกแรงเบ่งเด็กออกมา เรารู้สึกช้อคและขาสั่นตัวสั่นเพราะความตกใจ หมอได้ทำการนำเด็กออกมาก่อน แล้วค่อยให้เราเบ่งรกออกมาอีกที หมอบอกว่าเราได้แท้งโดยสมบูรณ์แล้วนะ
หลังจากนั้นอาการปวดท้องได้ทุเลาลง ไข้ลดด้วย อาจจะมีการปวดท้องแปรบๆ ซึ่งเป็นอาการปวดปกติ คุณหมอได้นำเด็กใส่ห่อแบบทารกมาให้เราดูเขาบอกว่าทางรพ.เสนอถ่ายภาพใส่สมุดmemoriesไว้ให้ ซึ่งเราได้ทำการปฏิเสธเพราะเราจะรู้สึกแย่ทุกครั้งที่เห็นภาพนั้น เราได้แจ้งกับทางรพ.และนักสังคมสงเคราะห์ให้จัดการเผาทารกโดยไม่ต้องมีพิธีกรรมใดๆได้เลย ทางรพ.เลยมอบผ้าห่อเด็กที่เปื้อนเลือดนิดๆให้เราเก็บไว้ก่อนออกจากรพ.
หลังจากออกจากรพ.เรารู้สึกปวดท้องน้อยคล้ายประจำเดือน ซึ่งไม่รู้ว่าอาการเหล่านี้จะหายไปตอนไหน คงต้องรักษาตัวและสภาพจิตใจต่อไป
ปล.ที่เรามาเล่าประสบการณ์นี้ให้ฟังเพราะอยากจะระบายและอยากจะให้กำลังใจกับผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกับเราค่ะ และอยากสอบถามเพื่อนๆที่มีประสบการณ์แบบเดียวกับเราว่ามีแนวทางในการรักษาจิตใจตัวเองอย่างไรให้กลับมาใช้ชีวิตปกติได้
ขอบคุณค่ะ