●● การติดโรคเป็นเพราะผลกรรมแต่ปางก่อนหรือ?... โดย พุทธทาสภิกขุ ●●

●● การติดโรคเป็นเพราะผลกรรมแต่ปางก่อนหรือ?... โดย พุทธทาสภิกขุ ●●

       

ถาม   :   มนุษย์ที่ได้รับโรคภัยไข้เจ็บชนิดที่ร้ายแรง เช่น โรคติดต่อ มีอหิวาต์ เหล่านี้
              จะเป็นเพราะกรรมของเขาในชาติก่อนหรือไม่
  
             ถ้าหากมนุษย์คนนั้นๆ ไม่เคยทำกรรมที่จะเป็นเหตุให้เป็นโรคติดต่อ สมมติในปัจจุบัน คน ๆ นั้นอยู่ในหมู่ชน
             ที่เป็นโรคติดต่ออาศัยอยู่รวมด้วยและไม่ได้ฉีดยาป้องกัน เขาจะเป็นโรคไปด้วยกับชนเหล่านั้นหรือไม่?

ตอบ   :  คำที่ว่า ภาวะอะไรๆ ที่สัตว์โลกเป็นไป ย่อมเป็นไปตามกรรมของเขาเอง นั้นเป็นคำที่กว้างมาก คือ กว้างจน
             ไม่มีโอกาสจะผิดได้เลย แต่คนเรามักจะมีความสงสัยตั้งขึ้นในวงจำกัดเฉพาะ แล้วเอาเข้าไปปรับกับ
              ความหมายวงใหญ่ทั่วไป ผิดฝาผิดตัวกันอยู่เลยระงับความสงสัยไม่ได้

              ตัวอย่างเช่น ปัญหานี้ ถามเป็นใจความว่า "ไม่มีกรรมทำไว้สำหรับจะเป็นโรค แต่โรคระบาดเกิดในที่นั้น
              ตนเกิดเป็นโรคขึ้น จะมิผิดกฎแห่งกรรมไปหรือ หรือ ว่าเขา(ควร)จะไม่เป็น(โรค)"

              เราพอจะตอบได้ก่อนว่า ตามธรรมดาเขาจะต้องเป็น(โรค)และการที่เขาต้องพลอยเป็นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
              และไม่ใช่ความผิดของเขาโดยตรงนั้น เป็นเพราะเขาได้ทำกรรมมหึมาเอาไว้ คือ กรรมที่ทำให้เขาต้องเวียน
              มาเกิดในโลกอันที่เป็นอยู่ของโรคติดต่อและอื่น ๆ อีกมาก

              กรรมลงโทษให้เขาต้องผจญกับโลกซึ่งมีโรคติดต่อและอื่นๆ เพราะฉะนั้น การผจญของเขาทุกประการ
              จัดว่าเป็นการรับผลกรรมของเขา

              ทีนี้ จะชี้ให้เห็นตามที่ว่ามาแล้วข้างต้น คือ ที่เราคิดไปว่ากรรมมีเป็นราย ๆ เฉพาะ เช่น กรรมสำหรับเจ็บไข้
              ตามธรรมดา กรรมสำหรับจะเป็นโรคติดต่อ กรรมสำหรับจะต้องตายด้วยไฟ ด้วยน้ำ ฯลฯ เป็นคู่ๆ อยู่เสมอ

              แล้วความสงสัยก็เกิดขึ้นว่า คนที่ไม่ได้ทำกรรมสำหรับอหิวาต์ เมื่อมาอยู่ในหมู่คนที่เป็น ก็ต้องไม่เป็นสิ
              หรือถ้าเกิดเป็นเรื่องกรรมก็เป็นหลักเลื่อนลอย

              จริงอยู่ที่เราอ่านพบข้อความในคัมภีร์ บอกผลของกรรมเป็นคู่ๆ ในรูปที่มองเห็นได้ชัดๆ จนเดาได้ว่า
              กรรมนั้นจะให้ผลเช่นนั้นๆ เช่น เคยบิดขานกชาติก่อน ชาตินี้จะต้องถูกรถทับเป็นทำนองนั้น แต่มีเหตุผลอื่น
              แสดงว่านั่นไม่ใช่หลักทั่วไป เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น ซึ่งก็อาจจะเป็นความจริงไปได้แนวหนึ่ง
              สายหนึ่งต่างหาก แต่ไม่มีอำนาจที่จะหักล้างแนวใหญ่หรือแนวที่เป็นประธานคือ แนวที่ว่าเมื่อทำกรรมอัน
              เป็นเหตุให้เวียนไปในภพใหม่ ชาติใหม่แล้ว ก็ต้องได้รับทุกสิ่งที่เป็นสมบัติประจำภพนั้น ๆ ด้วย มิฉะนั้น
              คำว่าภพใหม่หรือชาติใหม่ก็จะไร้ความหมาย

              เช่นในภพนี้มีผีสำหรับหลอกคนให้กลัว ถ้าเราต้องเกิดในภพนี้เพราะกรรมของเรา เราก็ต้องทนรับเรื่อง
              ผีหลอกอยู่ในตัว อย่างจะหลีกไม่ได้เรื่อยไป จนกว่าจะข้ามภพหรืออกจากภพได้ เช่น เป็นพระอรหันต์
              มีจิตใจอยู่เหนือภพ แล้วกรรมนั้น ๆ ก็ตามขึ้นไปไม่ถึงและไม่มี “ตัว” ให้ผีหลอกด้วย

              เราจงคิดดูเถิดในภพนี้มีสิ่งร้ายแรงไปกว่าโรคระบาด เช่น อหิวาต์ เป็นต้น อีกมากมายนัก มากจนเปรียบกัน
             ไม่ได้ และยังมีสิ่งเสียหายที่ร้ายไปกว่าการเป็นโรคชนิดนั้นหลายร้อยหลายพันเท่า คือ การเสียหายเพราะ
             ถูกกิเลสลูบทาเอา แล้วเราจะไปสนใจอะไรกับการที่จะต้องพลอยเป็นอหิวาต์กะเขา หรือ จะถูกผีหลอก
             เพราะว่าสิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้นหลายร้อยเท่า กำลังเล่นงานเราอยู่ทุกขณะจิต

             เช่นเดียวกับถ้าเราเป็นฝีชนิดร้ายที่คอหรือในท้อง เราไม่เอาใจใส่กับแผลยุงกัด เพราะเมื่อเราถอนตัว
             ออกจากภพได้แล้ว อะไร ๆ ก็ไม่เกิดมีแก่เราเลย นอกจากความพ้นทุกข์อย่างเดียว

            เมื่อเรากำลังอยู่ในภพ เราก็ต้องสนใจเรื่องที่จะออกไปจากภพ หรือ คิดขจัดภัยจากกิเลสซึ่งร้ายกว่าภัย
            จากอหิวาต์หรือผีหลอกเป็นอย่างน้อย เพราะว่านั่นแหละคือตัวกรรมใหญ่หรือกรรมอันเป็นประธานที่จะ
            ทำให้ต้องมายังภพนี้ ซึ่งมีอหิวาต์ ผี และอื่น ๆ

            เป็นอันกล่าวได้ว่า การที่พลอยเป็นอหิวาต์หรือพบผีหลอกนั้น ถ้ามิใช่เพราะเป็นผลของกรรมปลีกย่อย
            ที่มีรูปร่างคล้ายๆ นั้นอยู่แล้วโดยเฉพาะ ก็ต้องเป็นเพราะผลกรรมใหญ่ กรรมประธาน คือ กรรมที่ทำให้
            เวียนมายังภพนี้ ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าการตอบหรือการถือว่าอะไรๆ เป็นไปตามกรรมนั้นไม่มีทางจะผิดไปได้เลย

            แม้จะมีหลักในที่บางแห่งว่า สุขหรือทุกข์ มิใช่จะเป็นเพราะกรรมเสียทุกอย่างไป คือ เป็นไปเองหรือพลอย
            เป็นกะเขาก็มี เช่น ถ้าเราต้องถูกแดดหรือฝนโดยบังเอิญแล้วเป็นหวัด หรือเราพลอยเป็นโรคติดต่อกับเขา
            นี่ก็มิได้หมายความว่าได้ปฏิเสธกรรมสายใหญ่ หรือ กรรมประธานที่เป็นเหตุให้ต้องเกิดมาในภพนั้นเลย
            คงหมายแต่เพียงว่าไม่ใช่เพราะกรรมปลีกย่อยโดยเฉพาะที่มีรูปร่างคล้ายๆ กันเป็นคู่ๆ กันอยู่เท่านั้น

            เพราะฉะนั้น เมื่อจะต้องตอบปัญหานี้ เราต้องจำกัดความกันเสียก่อนว่า หมายถึงกรรมประเภทไหน คือ
            กรรมปลีกย่อยเฉพาะ หรือกรรมอันเป็นประธาน และเราควรสนใจกรรมอันเป็นประธานกันให้มาก ๆ หน่อย
            เรื่องจะดีเร็วขึ้น เรื่องกรรมปลีกย่อยนั้นหยุมหยิม จนอาจทำให้เวียนหัว แล้วก็ทำให้ไม่อยากศึกษาหรือสนใจอีก

ที่มา   :   ธรรมวิสัชนา (จดหมายในสวนโมกข์) พุทธทาสภิกขุ น้อมถวายเป็นอาจริยบูชา พุทธทาสรำลึก
              ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๒
 
Cr.   :  https://www.bia.or.th/html_th/index.php/site-content/65-archives/1042-20200505
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่