แชร์ประสบการณ์ ทำธุรกิจแฟรนไชส์ส่งพัสดุ ปังหรือพัง กันแน่?

“....อยู่ไม่ไหว คุณก็ปิดสาขาไปเลยสิ ” นี่คือคำพูดของคนดูแลการเปิดแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุชื่อดังแบรนด์หนึ่ง พูดกับเราค่ะ
 
 
สวัสดีค่ะทุกคน กระทู้นี้เราขอโพสต์ไว้เพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจธุรกิจนี้นะคะ 
 
ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เฟื่องฟูขนาดนี้ คงจะมีธุรกิจอีกอย่างที่เฟื่องฟูตามไปด้วยนั่นก็คือ ธุรกิจขนส่งพัสดุ เราจึงตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ธุรกิจนี้มาเปิดค่ะ
 
เราเลือกยี่ห้อนี้เพราะเราเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่นๆแล้วเราก็คิดว่าดีที่สุด  ...ใช่ค่ะ เราคิดเองว่าดี.. เพราะแบรนด์อื่นๆก็เหมือนจะใหม่ไป เรากลัวจะมีปัญหา เราเห็นในข่าวพวกแบรนด์ใหม่ๆ มีแต่ข่าวเสียๆ เราเลยไม่มั่นใจค่ะ อีกอย่างแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่เปิดมานานแล้ว ระบบภายในก็ค่อนข้างดี ปัญหาเกี่ยวกับระบบก็มีน้อย และอยู่คู่คนไทยมานาน
 
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะพอเดาออกว่าคือแบรนด์ไหนแล้วนะคะ งั้นเรา ขอเล่าจากจุดเริ่มต้นเลยค่ะ 
 
กว่าจะเปิดสาขาใหม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ เราต้องยื่นเรื่องก่อนว่าเราสนใจร่วมธุรกิจด้วย แล้วจากนั้นเค้าจะส่งทีมมาประเมินโลเคชั่นเราค่ะ  จากนั้นก็ใช้เวลาพิจารณา 2 เดือนค่ะ .... ใช่ค่ะ 2 เดือน ...
เราถามหน่วยงานที่จัดตั้ง เค้าบอกว่าต้องยื่นเรื่องไปหลายส่วนค่ะ เลยต้องใช้เวลาค่ะ อ่ะ อันนี้ก็ไม่ว่ากันเพราะตอนนั้นเรายังไม่เสียค่าเช่าค่ะ รอได้
 
เราค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้เปิด เพราะโลเคชั่นที่เราเลือกค่อนข้างดี มีคนสัญจรผ่านไปมานับแสนคนต่อวัน ถือเป็นจุดแข็งของโลเคชั่นเราเลย แต่ข้อเสียคือ ค่าเช่าและค่าน้ำไฟแพงค่ะ รวมๆแล้วจะประมาณ 2 หมื่นกว่าๆต่อเดือน
 
พอได้รับการตอบรับแล้วว่าเปิดได้ เค้าก็จะเรียกเราไปคุยเรื่องสัญญาและค่าใช้จ่ายค่ะ เค้าให้เราเลือกว่าจะเลือกใช้สัญญาแบบไหน
แบบที่ 1 คือ เราได้ค่าตอบแทนจากการบวกราคา ค่าส่งเพิ่มจากลูกค้าเองต่อชิ้น แล้วเอาส่วนต่างนี้ไป 
หรือ 
แบบที่ 2 ราคาบริการเท่าสาขาใหญ่แบบไม่บวกเพิ่ม แต่ทางแบรนด์ จะแบ่งค่าตอบแทนให้เราเองค่ะ
 
เราเลือก แบบที่2 เพราะเราไม่อยากให้ราคาค่าส่งแพง ลูกค้าจะได้มาส่งกับเราเยอะๆ เราสอบถามจากสาขาอื่นๆ ที่เราเคยไปใช้บริการ หลายสาขาเค้าก็บอกว่ายอดส่งวันนึงก็หลายหมื่นบาทต่อเค้าเตอร์ บางสาขาหลายแสนบาทด้วยซ้ำ พอมาคำนวนค่าใช้จ่ายแล้ว แบบที่เราเลือกมันก็น่าจะดีเลยค่ะ ถ้ามันเป็นไปตามคาด 
 
ก่อนที่เราจะเซ็นสัญญา เราต้องเอาหลักฐานการเช่าไปยื่นก่อน หลังจากนั้นเราก็เริ่มเสียค่าเช่าพื้นที่ค่ะ พอเสียค่าเช่า ค่าใช้จ่ายก็เริ่มเกิดค่ะ เพราะว่าหลังจากเซ็นสัญญาไป การดำเนินการทุกอย่างก็ช้าแบบช้ามากๆๆ ถึงมากที่สุด ตามแล้วตามอีก กว่าขั้นตอนจะผ่านแต่ละขั้นตอน สรุปเราต้องเสียค่าเช่าไปทั้งหมดฟรีๆ 6 เดือน !!!!  เนื่องจากการดำเนินการที่ล่าช้าของหน่วยงานจัดตั้งร้านแฟรนไชส์ 
 
ระหว่างนั้นเราก็ทำได้แต่เร่งเค้า แต่ดูเหมือนหน่วยงานนี้เค้าจะทำงานแบบชิวๆ ไม่เดือดร้อนอะไร โทรไปก็รับบ้างไม่รับบ้าง ไม่โทรกลับด้วย ไลน์ไปก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง ตามแล้วก็หาย เป็นแบบนี้หลายครั้ง เราก็งงนะว่า นี่เค้าทำแบบนี้กับลูกค้าทุกคนรึเปล่า หรือเป็นเพราะเราตามเค้ามากไป เค้าอาจจะรำคาญเรารึเปล่า 
 
เอาจริงๆเราว่า คนที่ทำหน้าที่ตรงนี้ต้องใช้คนที่มีใจที่รักการบริการ หน่อยนึงนะ เพราะเราก็ถือว่าเป็นลูกค้าเค้านะ เราว่าเค้าไม่เหมาะจะประสานงานกับลูกค้าเลย เค้าทำเหมือนเราไปขอความกรุณาเค้าในทุกๆครั้งที่เราติดต่อไป แต่เราก็ยอมตลอด เพราะเราอาจจะเด็กกว่าเค้าด้วย และเราก็อยากเปิดสาขามาก กลัวโดนยกเลิก เราก็เสียดายเงินที่จ่ายค่าแฟรนไชส์กับค่าประกันต่างๆนาๆ ไปประมาณ 5 แสนบาท เราก็อดทนเรื่อยมาเพียงหวังว่าถ้าเปิดร้านแล้วทุกอย่างก็คงเป็นไปได้ด้วยดี เพราะมั่นใจในแบรนด์มากๆ
 
เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จกำหนดการเปิดร้านก็มา เราดีใจมากที่ในที่สุดก็จะได้เปิด  เวลาใกล้เข้ามาทุกที เรากังวลมากๆ เพราะทุกอย่างพร้อมหมด แต่คอมพิวเตอร์และงานระบบยังไม่มาลงที่ร้านเลย เราติดต่อหน่วยงานจัดตั้งร้านไป คำตอบที่ได้คือ ...ร้านจะเปิดวันไหน คอมก็จะไปลงก่อนแค่ 1 วันก่อนเปิดร้าน 
 
..... คือเราก็ถามย้ำว่า แค่ 1 วัน จริงๆเหรอคะ ? ... เราถามเค้าว่า ไม่มีอะไรพลาดบ้างเหรอคะ เค้าบอกเปิดมาหลายร้านแล้วไม่เคยพลาด .... 
 
พอวันมาติดตั้ง ของก็ไม่ครบจริงๆด้วย แต่ก็ไม่เป็นไร เราขี้เกียจเถียงกับเค้าแล้ว 
 
จากนั้นหลังเปิดร้านทุกอย่างดำเนินไปเหมือนจะดี มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแบบเรื่อยๆ แต่....มันก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่เราคาดไว้ค่ะ 
 
ผลของการทำธุรกิจนี้คือ... เราขาดทุนค่ะ เดือนละเกือบ 5 หมื่น ทั้งๆที่คนมาใช้บริการไม่น้อยเลยด้วยซ้ำไป 
 
ต้นตอของปัญหานี้คือ ค่าตอบแทนค่ะ  “เราได้แค่ 10% จากรายได้ของสาขาเรา” และยิ่งกว่านั้นเราต้องจ่ายค่าเช่าคอม ค่าระบบให้แบรนด์อีกด้วย ก็แปลว่า จริงๆแล้วเราก็ “ได้ไม่ถึง10% ซะด้วยซ้ำไปค่ะ”
 
เรื่องที่น่าเศร้าคือ เค้าออกข่าวโครมๆ ว่ากำไรของแบรนด์ ในช่วงโควิดนี้เพิ่มขึ้นถึง 60% จากเมื่อก่อน ยิ่งย้ำเตือนว่าการขาดทุนของเราไม่ได้เกี่ยวกับโควิด 
 
แม่ได้กำไร แบบอัพๆ ในขณะที่ร้านลูกแบบเรานั้นขาดทุนเดือนละ5หมื่น!! OMG!! ตอนนี้เราเหนื่อยมากจนอยากจะปิดกิจการแล้วค่ะ ทำไปก็มีแต่จะเข้าเนื้อค่ะ เหมือนเงินที่มีทั้งหมดต้องเอาไปเปิดสาขาให้เค้าฟรีๆ เพื่อทำงานให้เค้าฟรีๆ และบริจาคให้เค้าเพิ่มอีกเดือนละ5หมื่นด้วย 555++
 
คิดแล้วเราน่าจะเก็บเงินไว้ให้ตัวเอง ไว้ซื้อขนม สั่งของกิน นอนตีพุงอยู่บ้านในช่วง WFH หรือเก็บไว้ตอนลำบากดีกว่า
 
เล่ามาถึงตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคยร้องเรียนไปถึงบริษัทแม่เลยนะคะ แต่หน่วยงานที่เป็นฝ่ายดูแลร้านสาขา เค้ารับเรื่องไป แล้วก็เงียบ โทรถามเค้า เค้าก็เฉยๆ บอกยื่นเรื่องไปแล้ว แต่จดหมายไม่ถึงซักที เค้าบอกจดหมายอยู่ที่ท่านรอง รองไหนไม่รู้ ... เราถามเค้าทุกวันจนไม่อยากถามแล้วค่ะตอนนี้
 
จริงๆแล้ว เราทราบมาว่ามีบางสาขาที่เปิดก่อนเรา เค้าได้ผลตอบแทนถึง17% 20% บางสาขาได้ถึง30%ด้วยซ้ำไปค่ะ แต่เค้าก็ไม่อยากจะมาช่วยอะไรเรา เค้าบอกเราต้องไปหาทางเอง เพราะเค้าก็ไม่อยากเดือดร้อนค่ะ 
 
คนที่ได้17% บอกเค้าเซ็นต์ไปปีก่อนหน้าเราเองค่ะ  เค้าบอกว่าเรามาช้าไป เลยพลาดโอกาสการเซ็นสัญญาแบบ17%ค่ะ  จริงๆเราก็พลาดเองแหละที่ยอมเซ็น10%แต่แรก 
 
ด้วยความที่เราคิดว่ามันจะพอ คิดไว้ว่ายอดมันจะเยอะกว่านี้ แต่พอมาทำจริงๆแล้ว มันไม่พอค่ะ ยิ่งตอนนี้ ทางแบรนด์เค้าออกโปรมาจนอยู่ต่อยากมากด้วยค่ะ ค่าส่งพัสดุถูกมาก เป็นผลดีต่อลูกค้าที่มาส่งของ แต่ร้านสาขาที่ได้10%แบบเราก็ไม่ไหวค่ะ เพราะค่าส่งพัสดุ 19 บาท ก็แปลว่า เราได้แค่ 1.9 บาทต่อชิ้นค่ะ และล่าสุดมีโปรโมชั่น ที่ร่วมกับช้อปปี้ ลาซาด้า ร้านสาขาแบบเราก็ตายไปเลย ทางแบรนด์เค้าไม่ให้เราสามารถเข้าร่วมโปรได้ค่ะ ทำให้แม่ค้าออนไลน์ที่เคยมาส่งกับสาขาเรา ก็ไม่มาส่งกับสาขาเราแล้ว เพราะไม่ได้ร่วมโปรฯดังกล่าว ตอนนี้ยอดร้านเราหายไปเยอะมาก บางวันมียอดหน้าร้านแค่หลักร้อยบาท แต่โปรนี้กลับไปเพิ่มยอดให้สาขาของแม่เองค่ะ
 
เราว่าฝ่ายการตลาดที่คิดโปร เค้าก็คงลืมคิดไปว่า เค้าเก็บเงินค่าแฟรนไชส์ สาขาแบบเราไปหลายแสนรึเปล่า 
 
สรุปคือทั้งหมดที่เราลงทุนกับสาขานี้ไป คือ ประมาณล้านสองค่ะ ยังไม่มีท่าทีว่าจะคืนทุน เพราะขาดทุนไปเรื่อยๆ เดือนละ5หมื่นค่ะ 
 
สุดท้ายเราอยากจะฝากถึงหลายๆท่านที่กำลังสนใจธุรกิจนี้ให้พิจารณาดีๆนะคะ ไม่อยากให้ใครต้องพลาดแบบเราค่ะ แต่ถ้าสาขาไหนที่มีกำไรอยู่ หรือได้ผลตอบแทนมากกว่าเรา เราก็ดีใจด้วยนะคะ อีกไม่นานเราคงต้องปิดสาขาแล้วค่ะ 
 
คำพูดล่าสุดของเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลเรื่องการจัดตั้งสาขาแฟรนไชส์ ยังก้องอยู่ในหูเราตลอดว่า “ถ้าคุณคิดว่า10%มันน้อยไป แล้วคุณจะเซ็นต์ทำไม และถ้าคุณอยู่ไม่ไหว คุณก็ปิดสาขาไปเลยสิ” ...
 
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ และอยากให้พิจารณาดีๆหากกำลังสนใจธุรกิจแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุนะคะ เพราะมันไม่ได้เป็นแบบที่คิดเลยจริงๆค่ะ เอาเงินไปทำอย่างอื่นเถอะค่ะ
 
เราให้เวลากับธุรกิจนี้อีก3เดือนค่ะ ถ้าไม่ดีขึ้น เราคงจะต้องปิดสาขาค่ะ จากนี้คงต้องกลับไปตั้งหลัก เก็บเงินซักพักใหญ่ๆเลยค่ะ

++อัพเดทนะคะ++
สรุปคือเราอยู่ไม่ไหวนะคะ ปิดร้านไปแล้วค่ะ แต่เรายังไม่ลบโพสต์นี้ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆหลายๆ เพราะเราเล่าจากมุมมองของคนที่เคยผิดพลาดมาแล้ว ไม่อยากให้ใครพลาดแบบเราค่ะ 

ขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่