จะเชกว่า
สองเคสนี้จะมีไหม
https://www.sanook.com/news/8110986/
นักวิจัยเผย “ไวรัสโคโรนา” ยังหลงเหลืออยู่ในปอดได้ แม้จะหายป่วยแล้ว
30 เม.ย. 63 (14:44 น.)
นักวิจัยชาวจีนพบว่า ผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่หายป่วยและออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังมีเชื้อไวรัสหลงเหลืออยู่ในปอด ซึ่งไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการแบบเดิม
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Cell Research เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา อธิบายถึงสาเหตุที่ผู้ที่หายป่วยจากโรค COVID-19 หลายคนกลับมามีผลตรวจที่เป็นบวกอีกครั้ง โดย ดร. Bian Xiuwu จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์กองทัพ ในเมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน กล่าวว่า มีการพบเชื้อไวรัสตกค้างอยู่ในปอดของผู้ป่วยที่มีผลตรวจเป็นลบทั้ง 3 ครั้ง และการค้นพบครั้งนี้ส่งผลให้ต้องมีการปรับปรุงแนวทางในการควบคุมเชื้อไวรัสและการจัดการโรค
การศึกษาดังกล่าวมีที่มาจากการชันสูตรศพของหญิงวัย 78 ปี ที่เสียชีวิตจากโรค COVID-19 ที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล Three Gorges Central ในเมืองฉงชิ่ง เมื่อวันที่ 27 มกราคม โดยผลตรวจร่างกายเป็นบวก ก่อนที่จะแสดงอาการ และหลังจากที่ได้รับการรักษาตัว จนมีผลตรวจร่างกาย 3 ครั้ง เป็นลบ จนกระทั่งพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธอกลับประสบกับภาวะหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิต โดยไม่พบร่องรอยของเชื้อไวรัสโคโรนาในตับ หัวใจ ลำไส้ ผิว หรือไขกระดูก แต่กลับพบร่องรอยของไวรัสในเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกลงไปในปอดของเธอ
ร่องรอยดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดอาการใดๆ เนื้อเยื่อในปอดที่ได้รับความเสียหายมักจะมาจากการติดเชื้อไวรัส แต่การที่ไม่พบเชื้อไวรัสในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้ยาก เนื่องจากวิธีการตรวจตามปกติไม่ได้ใช้ตัวอย่างจากส่วนลึกของปอด
ดังนั้น ทีมนักวิจัยจึงแนะนำให้ล้างปอดของผู้ป่วยก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาล โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า bronchoalveolar lavage (BAL) ซึ่งเป็นการนำของเหลว ฉีดลงในทางเดินหายใจส่วนล่างและดูดกลับคืนในระยะเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้มีความซับซ้อน กินเวลา และมีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งผู้ป่วยอาจจะบอบช้ำมาก และไม่ได้การันตีว่าจะได้ผลเที่ยงตรง 100%
ด้านองค์การอนามัยโลกเองก็กำลังวิเคราะห์หาสาเหตุของการที่ผู้ที่หายป่วยแล้วกลับมาป่วยซ้ำ พร้อมทั้งเตือนว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสจะไม่กลับมาติดเชื้ออีก นอกจากนี้ ในขณะที่มีผู้ที่หายจากโรค COVID-19 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ปรากฏการณ์ที่มีคนป่วยซ้ำ ก็ส่งผลต่อนโยบายในการควบคุมโรคและการพัฒนาวัคซีน
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :South China Morning Post
ภาพ :AFP
.
.
.
https://www.sanook.com/news/8111042/
มอโพสต์อัดอั้น ทารกเข้าข่ายโควิด-19 แต่ทางจังหวัดไม่ให้ส่งตรวจ หวั่นระบาดรอบสอง
30 เม.ย. 63 (14:28 น.)
(30 เม.ย. 63) เฟซบุ๊ก Usah Pruttijirawong ของ นพ.อุสาห์ พฤฒิจิระวงศ์ ได้โพสต์เรื่องราวของ ทารกเพศชาย อายุ 2 เดือน มีไข้ 3 วัน ไอมีเสมหะ 4 วัน มาหาหมอด้วยอาการไอมีเสมหะ ตรวจร่างกาย น้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม วัดปรอททางรักแร้ 37.2 องศาเซลเซียส หายใจ 48 ครั้งต่อนาที ชีพจร 152 ครั้งต่อนาที เสียงปอดมีเสมหะเปรอะๆ ทั้งสองข้าง เสียงหัวใจปกติ ภาพเอกซเรย์ปอดมหาเปรอะ หัวใจปกติ หากเป็นโควิดก็อธิบายได้ เพราะเด็กอายุ 2 เดือนยังเดินเล่นไม่ได้ ส่วนมากอยู่ท่านอน ส่วนเด็กโตกับผู้ใหญ่อยู่ในแกนวาย แนวตั้งมากกว่าแนวนอน ปอดโควิดจึงพบกลีบล่างมากกว่ากลีบบน
ทารกรายนี้เลี้ยงนมแม่ร่วมกับนมขวด มารดาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอยู่บ้าน บิดาทำงานในหน้าที่นับตู้คอนเทนเนอร์ในเรือสินค้าที่มาจากต่างประเทศ
ปัญหา คือ ขอส่งตรวจโควิด-19 ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่เห็นพ้อง แจ้งว่าไม่เข้าเกณฑ์ จึงไม่ให้รหัสส่งตรวจ PCR
ทารกอายุ 2 เดือนนับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ต่อให้ผลเอกซเรย์บิดามารดาปกติจะบอกว่าไม่ใช่โควิดได้ไหม เรื่องวัดไข้ไม่ขึ้น หมอที่ไหนการันตีอุณหภูมิร่างกายว่าไม่มีไข้แปลว่าไม่ป่วย
ทั้งนี้ นพ.อุสาห์ ระบุถึงปัญหาในการทำงาน ที่คนไม่เห็นคนไข้กำหนดการทำงานของคนที่มีความเสี่ยงหน้างานและรู้เรื่องอาการคนไข้มากกว่า ให้คนที่รักษาโรคไม่เป็นมากำหนดการดูแลรักษาโรค กระบวนการทำงานที่ให้อำนาจคนที่ไม่รู้เรื่องโรคมาเพิ่มแรงกดดันด้านหลังของหมอ พยาบาล ส่วนคนไข้และสังคมก็กดดันจากด้านหน้า จะมีใครรู้บ้างว่าคนทำงานโดนกดดันเช่นนี้อยู่
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ยืนยันว่าเด็กจะติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ แต่ถ้าหากรายนี้เป็นโควิด-19 จะเป็นการส่งสัญญาณว่าระลอกสองกำลังมา หากระลอกสองมาจริง และการสนับสนุนหน้างานยังเป็นเช่นนี้ หมอพยาบาล อาจสิ้นหวังขอกักตัวเองอยู่บ้าน
.
.
.
จริง ๆ ก็ยังมีอีกสองข่าว
ถ้าเคยลงในกระทู้ให้แล้วก็เลิกลงให้แล้ว
.
.
.
คือ พวกไม่ออกอาการ กะ เวลาฟักเชื้อที่น่าจะเริ่มเยอะกว่าเก่า
สรุปเป็นสี่เรื่อง
ส่งท้าย
ถ้าผ่านก็คงผ่าน
เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
กลับไปที่แต่ละจังหวัดแจ้งยอด หวังว่าจะไม่มีการจัดตัวเลขจากศบค. ที่ทำให้ไม่ทันกับการระบาด ถ้าเกิดนะ
สองเคสนี้จะมีไหม
https://www.sanook.com/news/8110986/
นักวิจัยเผย “ไวรัสโคโรนา” ยังหลงเหลืออยู่ในปอดได้ แม้จะหายป่วยแล้ว
30 เม.ย. 63 (14:44 น.)
นักวิจัยชาวจีนพบว่า ผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่หายป่วยและออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังมีเชื้อไวรัสหลงเหลืออยู่ในปอด ซึ่งไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการแบบเดิม
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Cell Research เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา อธิบายถึงสาเหตุที่ผู้ที่หายป่วยจากโรค COVID-19 หลายคนกลับมามีผลตรวจที่เป็นบวกอีกครั้ง โดย ดร. Bian Xiuwu จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์กองทัพ ในเมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน กล่าวว่า มีการพบเชื้อไวรัสตกค้างอยู่ในปอดของผู้ป่วยที่มีผลตรวจเป็นลบทั้ง 3 ครั้ง และการค้นพบครั้งนี้ส่งผลให้ต้องมีการปรับปรุงแนวทางในการควบคุมเชื้อไวรัสและการจัดการโรค
การศึกษาดังกล่าวมีที่มาจากการชันสูตรศพของหญิงวัย 78 ปี ที่เสียชีวิตจากโรค COVID-19 ที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล Three Gorges Central ในเมืองฉงชิ่ง เมื่อวันที่ 27 มกราคม โดยผลตรวจร่างกายเป็นบวก ก่อนที่จะแสดงอาการ และหลังจากที่ได้รับการรักษาตัว จนมีผลตรวจร่างกาย 3 ครั้ง เป็นลบ จนกระทั่งพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธอกลับประสบกับภาวะหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิต โดยไม่พบร่องรอยของเชื้อไวรัสโคโรนาในตับ หัวใจ ลำไส้ ผิว หรือไขกระดูก แต่กลับพบร่องรอยของไวรัสในเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกลงไปในปอดของเธอ
ร่องรอยดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดอาการใดๆ เนื้อเยื่อในปอดที่ได้รับความเสียหายมักจะมาจากการติดเชื้อไวรัส แต่การที่ไม่พบเชื้อไวรัสในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้ยาก เนื่องจากวิธีการตรวจตามปกติไม่ได้ใช้ตัวอย่างจากส่วนลึกของปอด
ดังนั้น ทีมนักวิจัยจึงแนะนำให้ล้างปอดของผู้ป่วยก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาล โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า bronchoalveolar lavage (BAL) ซึ่งเป็นการนำของเหลว ฉีดลงในทางเดินหายใจส่วนล่างและดูดกลับคืนในระยะเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้มีความซับซ้อน กินเวลา และมีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งผู้ป่วยอาจจะบอบช้ำมาก และไม่ได้การันตีว่าจะได้ผลเที่ยงตรง 100%
ด้านองค์การอนามัยโลกเองก็กำลังวิเคราะห์หาสาเหตุของการที่ผู้ที่หายป่วยแล้วกลับมาป่วยซ้ำ พร้อมทั้งเตือนว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสจะไม่กลับมาติดเชื้ออีก นอกจากนี้ ในขณะที่มีผู้ที่หายจากโรค COVID-19 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ปรากฏการณ์ที่มีคนป่วยซ้ำ ก็ส่งผลต่อนโยบายในการควบคุมโรคและการพัฒนาวัคซีน
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :South China Morning Post
ภาพ :AFP
.
.
.
https://www.sanook.com/news/8111042/
มอโพสต์อัดอั้น ทารกเข้าข่ายโควิด-19 แต่ทางจังหวัดไม่ให้ส่งตรวจ หวั่นระบาดรอบสอง
30 เม.ย. 63 (14:28 น.)
(30 เม.ย. 63) เฟซบุ๊ก Usah Pruttijirawong ของ นพ.อุสาห์ พฤฒิจิระวงศ์ ได้โพสต์เรื่องราวของ ทารกเพศชาย อายุ 2 เดือน มีไข้ 3 วัน ไอมีเสมหะ 4 วัน มาหาหมอด้วยอาการไอมีเสมหะ ตรวจร่างกาย น้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม วัดปรอททางรักแร้ 37.2 องศาเซลเซียส หายใจ 48 ครั้งต่อนาที ชีพจร 152 ครั้งต่อนาที เสียงปอดมีเสมหะเปรอะๆ ทั้งสองข้าง เสียงหัวใจปกติ ภาพเอกซเรย์ปอดมหาเปรอะ หัวใจปกติ หากเป็นโควิดก็อธิบายได้ เพราะเด็กอายุ 2 เดือนยังเดินเล่นไม่ได้ ส่วนมากอยู่ท่านอน ส่วนเด็กโตกับผู้ใหญ่อยู่ในแกนวาย แนวตั้งมากกว่าแนวนอน ปอดโควิดจึงพบกลีบล่างมากกว่ากลีบบน
ทารกรายนี้เลี้ยงนมแม่ร่วมกับนมขวด มารดาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอยู่บ้าน บิดาทำงานในหน้าที่นับตู้คอนเทนเนอร์ในเรือสินค้าที่มาจากต่างประเทศ
ปัญหา คือ ขอส่งตรวจโควิด-19 ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่เห็นพ้อง แจ้งว่าไม่เข้าเกณฑ์ จึงไม่ให้รหัสส่งตรวจ PCR
ทารกอายุ 2 เดือนนับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ต่อให้ผลเอกซเรย์บิดามารดาปกติจะบอกว่าไม่ใช่โควิดได้ไหม เรื่องวัดไข้ไม่ขึ้น หมอที่ไหนการันตีอุณหภูมิร่างกายว่าไม่มีไข้แปลว่าไม่ป่วย
ทั้งนี้ นพ.อุสาห์ ระบุถึงปัญหาในการทำงาน ที่คนไม่เห็นคนไข้กำหนดการทำงานของคนที่มีความเสี่ยงหน้างานและรู้เรื่องอาการคนไข้มากกว่า ให้คนที่รักษาโรคไม่เป็นมากำหนดการดูแลรักษาโรค กระบวนการทำงานที่ให้อำนาจคนที่ไม่รู้เรื่องโรคมาเพิ่มแรงกดดันด้านหลังของหมอ พยาบาล ส่วนคนไข้และสังคมก็กดดันจากด้านหน้า จะมีใครรู้บ้างว่าคนทำงานโดนกดดันเช่นนี้อยู่
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ยืนยันว่าเด็กจะติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ แต่ถ้าหากรายนี้เป็นโควิด-19 จะเป็นการส่งสัญญาณว่าระลอกสองกำลังมา หากระลอกสองมาจริง และการสนับสนุนหน้างานยังเป็นเช่นนี้ หมอพยาบาล อาจสิ้นหวังขอกักตัวเองอยู่บ้าน
.
.
.
จริง ๆ ก็ยังมีอีกสองข่าว
ถ้าเคยลงในกระทู้ให้แล้วก็เลิกลงให้แล้ว
.
.
.
คือ พวกไม่ออกอาการ กะ เวลาฟักเชื้อที่น่าจะเริ่มเยอะกว่าเก่า
สรุปเป็นสี่เรื่อง
ส่งท้าย
ถ้าผ่านก็คงผ่าน
เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ