คาดว่าหลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์แล้ว หลายธุรกิจน่าจะสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ ภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยของผู้ซื้อและผู้ขายเป็นหลัก โดยเฉพาะมาตรการรักษาระยะห่าง Social Distancing ที่ยังคงจะต้องถือปฏิบัติกันต่อไป จะทำให้เกิดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการประกอบธุรกิจอย่างแน่นอน ยกตัวอย่าง เช่น
- ร้านอาหาร จะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการต้องจัดหาวัสดุฉากกั้นไม่ให้คนนั่งทานใกล้ชิดกันเกินไป หรือแม้กระทั่งโต๊ะ เก้าอี้ ในร้านที่เดิมเน้นให้นั่งได้เยอะ ๆ ก็น่าจะต้องปรับรูปแบบการจัดใหม่ให้นั่งห่าง ๆ กัน ภาพที่เราเคยเห็นคนเบียด ๆ กัน หรือยืนต่อคิวกินร้านอร่อยน่าจะแทบไม่ได้เห็น นั่นก็ย่อมส่งผลต่อรายได้ของผู้ขายที่ลดลงจากการจำกัดปริมาณคนมานั่งทานในร้าน แม้จะมีการขายออนไลน์มาเสริม แต่ก็คงไม่สามารถทดแทนยอดขายที่หายไปได้แน่ ๆ
- สายการบิน / รถทัวร์ / รถไฟ / คนขนส่งสาธารณะ จะมีต้นทุนเพิ่มจากการต้องจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ปลอดภัยได้มาตรฐานสำหรับพนักงานไว้สวมใส่ในการให้บริการ รวมถึงการทำความสะอาดยานพาหนะที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่น้อย ขณะที่การจัดที่นั่งแบบต้องรักษาระยะห่าง ก็ย่อมส่งผลให้ต้นทุนต่อที่นั่งสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ร้านตัดผม / เสริมสวย จะมีต้นทุนเพิ่มจากการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์สำหรับสวมใส่ของช่างทำผม การทำความสะอาดเครื่องมือ และอุปกรณ์ที่จะต้องเพิ่มความถี่มากขึ้น ขณะที่กิจกรรมที่มีอัตราค่าบริการสูงและใช้เวลานาน เช่น ทำสีผม ก็ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ จะทำให้รายได้ที่ได้รับลดลงจากเดิมแน่นอน
และเมื่อต้นทุนในการทำธุรกิจสูงขึ้น สวนทางกับรายได้ที่ลดลง ย่อมทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นลูกโซ่มาถึงผู้บริโภคย่างเรา ๆ ที่จะต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นของการใช้ชีวิตในวิถีแบบเดิม ๆ ยกตัวอย่าง เช่น ราคาเที่ยวบินเชียงใหม่ - กรุงเทพฯ ของสายการบินโลว์คอสต์รายหนึ่ง ในช่วงต้นเดือน พ.ค. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท/เที่ยว สูงกว่าราคาเริ่มต้นเดิมเกือบหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียว และคาดว่าธุรกิจอื่น ๆ ที่จะกลับมาเปิดให้บริการในช่วงเดียวกันนี้ก็คงจะต้องบวกต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมานี่ให้กับผู้บริโภคอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าเมื่อผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์แล้ว จะกลับไปใช้ชีวิตแบบวิถีเดิม ๆ ก็คงต้องชั่งใจให้ดี ว่าจะสามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ได้หรือเปล่า
รับได้ไหม กับต้นทุนการใช้ชีวิตแบบวิถีเดิม ๆ ที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้น หลังจากคลายมาตรการล็อคดาวน์แล้ว
- ร้านอาหาร จะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการต้องจัดหาวัสดุฉากกั้นไม่ให้คนนั่งทานใกล้ชิดกันเกินไป หรือแม้กระทั่งโต๊ะ เก้าอี้ ในร้านที่เดิมเน้นให้นั่งได้เยอะ ๆ ก็น่าจะต้องปรับรูปแบบการจัดใหม่ให้นั่งห่าง ๆ กัน ภาพที่เราเคยเห็นคนเบียด ๆ กัน หรือยืนต่อคิวกินร้านอร่อยน่าจะแทบไม่ได้เห็น นั่นก็ย่อมส่งผลต่อรายได้ของผู้ขายที่ลดลงจากการจำกัดปริมาณคนมานั่งทานในร้าน แม้จะมีการขายออนไลน์มาเสริม แต่ก็คงไม่สามารถทดแทนยอดขายที่หายไปได้แน่ ๆ
- สายการบิน / รถทัวร์ / รถไฟ / คนขนส่งสาธารณะ จะมีต้นทุนเพิ่มจากการต้องจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ปลอดภัยได้มาตรฐานสำหรับพนักงานไว้สวมใส่ในการให้บริการ รวมถึงการทำความสะอาดยานพาหนะที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่น้อย ขณะที่การจัดที่นั่งแบบต้องรักษาระยะห่าง ก็ย่อมส่งผลให้ต้นทุนต่อที่นั่งสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ร้านตัดผม / เสริมสวย จะมีต้นทุนเพิ่มจากการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์สำหรับสวมใส่ของช่างทำผม การทำความสะอาดเครื่องมือ และอุปกรณ์ที่จะต้องเพิ่มความถี่มากขึ้น ขณะที่กิจกรรมที่มีอัตราค่าบริการสูงและใช้เวลานาน เช่น ทำสีผม ก็ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ จะทำให้รายได้ที่ได้รับลดลงจากเดิมแน่นอน
และเมื่อต้นทุนในการทำธุรกิจสูงขึ้น สวนทางกับรายได้ที่ลดลง ย่อมทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นลูกโซ่มาถึงผู้บริโภคย่างเรา ๆ ที่จะต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นของการใช้ชีวิตในวิถีแบบเดิม ๆ ยกตัวอย่าง เช่น ราคาเที่ยวบินเชียงใหม่ - กรุงเทพฯ ของสายการบินโลว์คอสต์รายหนึ่ง ในช่วงต้นเดือน พ.ค. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท/เที่ยว สูงกว่าราคาเริ่มต้นเดิมเกือบหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียว และคาดว่าธุรกิจอื่น ๆ ที่จะกลับมาเปิดให้บริการในช่วงเดียวกันนี้ก็คงจะต้องบวกต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมานี่ให้กับผู้บริโภคอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าเมื่อผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์แล้ว จะกลับไปใช้ชีวิตแบบวิถีเดิม ๆ ก็คงต้องชั่งใจให้ดี ว่าจะสามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ได้หรือเปล่า