การให้ความสำคัญ และรับผิดชอบต่อการป้องกันตนเอง...New Normal
ย่อมเป็นการป้องกันผู้อื่นไปด้วยในคราวเดียวกัน...
พึงตระหนักว่า...ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
บุคลากรทางการแพทย์เป็นทัพหน้าของวิกฤตครั้งนี้
ทุ่มเทแรงกาย และแรงใจเต็มกำลังความสามารถ
ในขณะที่คนส่วนใหญ่พักผ่อนอยู่ในที่พัก
พร้อมเครื่องเคียงต่างๆรอบกาย
แต่เขาเหล่านั้นไม่มีเวลาพักผ่อนเหมือนคนส่วนใหญ่
เมื่อมาตรการผ่อนคลายเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด
การติดเขื้อก็จะมีมากขึ้นหากทุกคนผ่อนคลายพฤติกรรมตามไปด้วย
ดังนั้น...
การมีวินัยแบบ New Normal
ก็เป็นการช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์
ได้มีเวลาหายใจหายคอได้บ้าง
เพื่อเตรียมรับศึกหนักในคลื่นลูกต่อไปที่จะทยอยตามมาในไม่ช้า...
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
●● บุคลากรทางการแพทย์ไทยคงต้องเหนื่อยไปอีกนาน!...
“4 wave” ระบบสาธารณสุขไทย กับผลกระทบระยะยาวจาก “โควิด-19” ●●
( โดย ...ปริตตา หวังเกียรติ )
แม้ดูเหมือนว่าสถานการณ์การระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 คลี่คลายลง
ด้วยการพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพียงหลักหน่วยต่อวันในประเทศไทย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบของโควิด-19
จะอยู่กับเราไปอีกนาน ไม่ว่าจะในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และระบบสาธารณสุข
การรับมือกับผลกระทบในระยะยาวจากการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นประเด็นสำคัญที่พูดถึงในระหว่าง
การประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงาน การป้องกัน ควบคุมการระบาด และการรักษาผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Monitoring & Controlling Covid-19 Committee : MCC) ณ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา
ในระหว่างการประชุม นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อดีตอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ถอดบทเรียนจาก
ต่างประเทศ* โดยเสนอว่าประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับผลกระทบระยะยาวจาก
โรคโควิด-19 โดยแบ่งเป็นคลื่น 4 ลูก ดังนี้
คลื่นลูกที่ 1...
คือ ช่วง 1-3 เดือนแรกที่เริ่มมีโรคระบาด และอาจยาวนานถึง 9 เดือน หากมีการกลับมาระบาดซ้ำ
เป็นช่วงที่สร้างผลกระทบกับสุขภาพของคนและขีดความสามารถของโรงพยาบาล เพราะพบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต
ต่อเนื่อง ต้องใช้ทรัพยากรสาธารณสุขในการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มข้น และอาจต้องเลื่อนนัดผู้ป่วยที่ไม่ได้
ติดเชื้อโควิด-19 ไปก่อน
คลื่นลูกที่ 2...
คือ ช่วง 2-4 เดือนหลังเริ่มมีโรคระบาด
เป็นช่วงที่ผู้ป่วยเร่งด่วนที่ไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 เช่น ผู้ป่วยผ่าตัดที่รอได้ ผู้ป่วยโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคมะเร็ง โรคระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ ต้องได้รับการดูแลหลังจากชะลอการพบแพทย์ไปก่อนหน้านี้
และอาจกลับมาสู่หน่วยบริการแบบ “ล้นทะลัก (Influx)” คาดการณ์ว่าผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในกลุ่มนี้ หายไปจากโรงพยาบาลประมาณร้อยละ 20-50
คลื่นลูกที่ 3...
คือ ช่วง 4-9 เดือนหลังเริ่มมีโรคระบาด
เป็นช่วงที่ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคความดัน เบาหวาน เอชไอวี/เอดส์ และโรคจิตเวชเรื้อรัง ซึ่งให้อยู่รักษา
ที่บ้านหรือรับยาผ่านไปรษณีย์ในช่วงก่อนหน้านี้ ต้องกลับมาโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์หรือรับการรักษา
คลื่นลูกที่ 4 ...
คือช่วง 1-3 ปี หลังมีโรคระบาด
เกิดผลกระทบระยะยาวใน 3 ด้าน ได้แก่
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (Economic injury) ซึ่งส่งผลลูกโซ่มายังผลกระทบด้านสุขภาพจิต เช่น คนมีความเครียด
ซึมเศร้า หรือฆ่าตัวตาย
นอกจากนี้ การให้บริการในภาวะวิกฤติมาอย่างยาวนานยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของบุคลากรทางการแพทย์
ซึ่งอาจมีภาวะเหนื่อยล้าและหมดไฟ โดยผลกระทบใน 3 ด้านมีความรุนแรงที่ “ขึ้นเร็ว” และ “ลงช้า”
“ประเทศไทยยังอยู่ในขาลงของคลื่นลูกที่ 1 และกำลังจะเข้าลูกที่ 2 3 และ 4” นพ.วชิระ กล่าว
“เราอาจต้องกลับมาออกแบบระบบบริการให้รับมือวิกฤติได้ในอนาคต”
สำหรับผลกระทบในคลื่นลูกที่ 2 และ 3 นั้น ทำให้ต้องกลับมาทบทวนระบบบริการสุขภาพรายจังหวัดและรายเขต
โดยออกแบบระบบบริการที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้ในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้ป่วยวิกฤต
ผู้ป่วยเฉียบพลัน และผู้ป่วยเรื้อรัง โดยต้องสามารถให้บริการโดย “ไม่หยุดชะงัก”
สำหรับผลกระทบในคลื่นลูกที่ 3 ต่อเนื่องมาคลื่นลูกที่ 4 นั้น ระบบปฐมภูมิมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชาชน
เพราะผลกระทบจากโรคระบาดส่งผลต่อหน่วยทางสังคมทุกระดับ ได้แก่ บุคคล ครอบครัว และชุมชน
นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนเยียวยาจิตใจ สังคม ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และลดภาวะหมดไฟของบุคลากร
ทางการแพทย์
* หมายเหตุ: ถอดบทเรียนจากการเผยแพร่ความรู้ของ UPWELL Collective สถาบันการแพทย์ในออสเตรเลีย, Jesse O'Shea แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ และ Victor Tseng แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา ทั้ง 2 อาศัยในสหรัฐอเมริกา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใส่ข้อความ
Cr. :
https://www.hfocus.org/content/2020/04/19160
●● บุคลากรทางการแพทย์ไทยคงต้องเหนื่อยไปอีกนาน!... “4 wave” ระบบสาธารณสุขไทย กับผลกระทบระยะยาวจาก “โควิด-19” ●●
ย่อมเป็นการป้องกันผู้อื่นไปด้วยในคราวเดียวกัน...
พึงตระหนักว่า...ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
บุคลากรทางการแพทย์เป็นทัพหน้าของวิกฤตครั้งนี้
ทุ่มเทแรงกาย และแรงใจเต็มกำลังความสามารถ
ในขณะที่คนส่วนใหญ่พักผ่อนอยู่ในที่พัก
พร้อมเครื่องเคียงต่างๆรอบกาย
แต่เขาเหล่านั้นไม่มีเวลาพักผ่อนเหมือนคนส่วนใหญ่
เมื่อมาตรการผ่อนคลายเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด
การติดเขื้อก็จะมีมากขึ้นหากทุกคนผ่อนคลายพฤติกรรมตามไปด้วย
ดังนั้น...
การมีวินัยแบบ New Normal
ก็เป็นการช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์
ได้มีเวลาหายใจหายคอได้บ้าง
เพื่อเตรียมรับศึกหนักในคลื่นลูกต่อไปที่จะทยอยตามมาในไม่ช้า...
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
●● บุคลากรทางการแพทย์ไทยคงต้องเหนื่อยไปอีกนาน!...
“4 wave” ระบบสาธารณสุขไทย กับผลกระทบระยะยาวจาก “โควิด-19” ●●
( โดย ...ปริตตา หวังเกียรติ )
แม้ดูเหมือนว่าสถานการณ์การระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 คลี่คลายลง
ด้วยการพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพียงหลักหน่วยต่อวันในประเทศไทย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบของโควิด-19
จะอยู่กับเราไปอีกนาน ไม่ว่าจะในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และระบบสาธารณสุข
การรับมือกับผลกระทบในระยะยาวจากการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นประเด็นสำคัญที่พูดถึงในระหว่าง
การประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงาน การป้องกัน ควบคุมการระบาด และการรักษาผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Monitoring & Controlling Covid-19 Committee : MCC) ณ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา
ในระหว่างการประชุม นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อดีตอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ถอดบทเรียนจาก
ต่างประเทศ* โดยเสนอว่าประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับผลกระทบระยะยาวจาก
โรคโควิด-19 โดยแบ่งเป็นคลื่น 4 ลูก ดังนี้
คลื่นลูกที่ 1...
คือ ช่วง 1-3 เดือนแรกที่เริ่มมีโรคระบาด และอาจยาวนานถึง 9 เดือน หากมีการกลับมาระบาดซ้ำ
เป็นช่วงที่สร้างผลกระทบกับสุขภาพของคนและขีดความสามารถของโรงพยาบาล เพราะพบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต
ต่อเนื่อง ต้องใช้ทรัพยากรสาธารณสุขในการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มข้น และอาจต้องเลื่อนนัดผู้ป่วยที่ไม่ได้
ติดเชื้อโควิด-19 ไปก่อน
คลื่นลูกที่ 2...
คือ ช่วง 2-4 เดือนหลังเริ่มมีโรคระบาด
เป็นช่วงที่ผู้ป่วยเร่งด่วนที่ไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 เช่น ผู้ป่วยผ่าตัดที่รอได้ ผู้ป่วยโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคมะเร็ง โรคระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ ต้องได้รับการดูแลหลังจากชะลอการพบแพทย์ไปก่อนหน้านี้
และอาจกลับมาสู่หน่วยบริการแบบ “ล้นทะลัก (Influx)” คาดการณ์ว่าผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในกลุ่มนี้ หายไปจากโรงพยาบาลประมาณร้อยละ 20-50
คลื่นลูกที่ 3...
คือ ช่วง 4-9 เดือนหลังเริ่มมีโรคระบาด
เป็นช่วงที่ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคความดัน เบาหวาน เอชไอวี/เอดส์ และโรคจิตเวชเรื้อรัง ซึ่งให้อยู่รักษา
ที่บ้านหรือรับยาผ่านไปรษณีย์ในช่วงก่อนหน้านี้ ต้องกลับมาโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์หรือรับการรักษา
คลื่นลูกที่ 4 ...
คือช่วง 1-3 ปี หลังมีโรคระบาด
เกิดผลกระทบระยะยาวใน 3 ด้าน ได้แก่
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (Economic injury) ซึ่งส่งผลลูกโซ่มายังผลกระทบด้านสุขภาพจิต เช่น คนมีความเครียด
ซึมเศร้า หรือฆ่าตัวตาย
นอกจากนี้ การให้บริการในภาวะวิกฤติมาอย่างยาวนานยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของบุคลากรทางการแพทย์
ซึ่งอาจมีภาวะเหนื่อยล้าและหมดไฟ โดยผลกระทบใน 3 ด้านมีความรุนแรงที่ “ขึ้นเร็ว” และ “ลงช้า”
“ประเทศไทยยังอยู่ในขาลงของคลื่นลูกที่ 1 และกำลังจะเข้าลูกที่ 2 3 และ 4” นพ.วชิระ กล่าว
“เราอาจต้องกลับมาออกแบบระบบบริการให้รับมือวิกฤติได้ในอนาคต”
สำหรับผลกระทบในคลื่นลูกที่ 2 และ 3 นั้น ทำให้ต้องกลับมาทบทวนระบบบริการสุขภาพรายจังหวัดและรายเขต
โดยออกแบบระบบบริการที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้ในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้ป่วยวิกฤต
ผู้ป่วยเฉียบพลัน และผู้ป่วยเรื้อรัง โดยต้องสามารถให้บริการโดย “ไม่หยุดชะงัก”
สำหรับผลกระทบในคลื่นลูกที่ 3 ต่อเนื่องมาคลื่นลูกที่ 4 นั้น ระบบปฐมภูมิมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชาชน
เพราะผลกระทบจากโรคระบาดส่งผลต่อหน่วยทางสังคมทุกระดับ ได้แก่ บุคคล ครอบครัว และชุมชน
นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนเยียวยาจิตใจ สังคม ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และลดภาวะหมดไฟของบุคลากร
ทางการแพทย์
* หมายเหตุ: ถอดบทเรียนจากการเผยแพร่ความรู้ของ UPWELL Collective สถาบันการแพทย์ในออสเตรเลีย, Jesse O'Shea แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ และ Victor Tseng แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา ทั้ง 2 อาศัยในสหรัฐอเมริกา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Cr. : https://www.hfocus.org/content/2020/04/19160