A hypothesis that may not be proven?


ความเลวร้ายในเรื่องการไม่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนของจีนคอมมินิสต๋ ยังคงมีปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้
https://www.hrw.org/world-report/2019/country-chapters/china-and-tibet

ไม่มีอะไรที่จะหนักยิ่งไปกว่า  การถูกกักต้วอยู่ ในค่ายกักกันของจีนคอมมิวนิสต์ในขณะที่เชื้อไวรัสที่ร้ายแรงกำลังระบาดอยู่ทั่วในประเทศจีนในขณะที่
หวู่ฮั่นโคโรนาไวรัส ระบาดแพร่กระจายไปทั่วประเทศจีนนั้น ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าได้พบว่ามีการติดเชื้อหวู่ฮั่นโคโรนาไวรัส ในจังหวัด
ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซินเจียง, ที่ซึ่งมีชาวมุสลิมประมาณ 1 ล้านคน ถูกกักกันอยู่ในค่ายอบรมเพื่อ ล้างสมองโดยพรรคคอมมิวนิสต์  แต่ว่า
ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าไวรัส แพร่กระจายเข้าไปติดผู้ใดในค่ายกักกัน, ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ถ้าเหตุการณ์เช่นนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว มันอาจจะเพิ่มความ
ทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ความตายนับพัน

อดีตผู้ที่ถูกกักกันส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มน้อยของประเทศ ได้รายงานว่าในค่ายกักกันนั้น อยู่กันอย่างหนาแน่น และไม่ถูกสุขลักษณะ 
และถ้าไวรัสแพร่กระจายเข้าไปได้ มันจะติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งจนทั่วทุกๆคนได้อย่างง่ายดาย,  เจมส์มิลวาร์ดศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์
จีนที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ผู้ติดตามค่ายซินเจียงอย่างใกล้ชิด โดยTwitterเขียน ว่า;“การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างแออัด ขาดสุขพลานามัยที่ดี  ความ
หนาวเย็น,ระบบภูมิคุ้มกันที่ตรึงเครียดสภาวะเช่นนี้ อาจจะเป็นเหตุให้เกิดหายนะครั้งใหญ่”  
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การถูกกดขี่ของชาว ในซินเจียงนั้น เป็นหนึ่งในสิ่งที่บาดใจที่สุด, และยังเป็นหนึ่งในวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่ถูกทอดทิ้งมากที่สุดในโลกใน
ปัจจุบัน เช่นเดียวกับที่ นาย Adrian Zenz หนึ่งในนักวิจัยชั้นนำเกี่ยวกับระบบกักกันมวลชนของจีน ได้กล่าวว่า“coronavirus สามารถเพิ่มมิติใหม่ให้กับ
วิกฤตกาลในซินเจียงได้ ” ชาวอุยกูร์ที่อยู่ในจีนมีความวิตกกังวล ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ก็จะเพิ่มความทุกข์ทรมานของผู้ต้องขัง, (พวกเขาทวีตความกลัวภายใต้ hashtag #VirusThreatInCamps.)

Dolkun Isa ประธานรัฐสภาโลกอุยกูร์กล่าว ว่า;
“ จีนควรทำทุกอย่างภายใต้อำนาจของจีน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสหวู่ฮั่นไปยังค่ายใด ๆ เพราะผลที่ตามมาจะเป็นความหายนะ
ในการทำให้เกิดการเสียชีวิตของชาวอุยกูร์เป็นหมื่นหมื่นในช่วงสามปีที่ผ่านมา”

บางคนวิตกกังวลว่าหากมีการระบาดภายในค่าย เกิดขึ้น, ทหารคอมมิวนิสต์อาจจะปกปิดปัญหานั้น,​มากกว่าที่จะทำงานอย่างรวดเร็วและโปร่งใสเพื่อช่วยชีวิตผู้ถูกกักกัน,  รัฐบาลอาจมีการเซ็นเซอร์ในขั้นต้นหรืออย่างน้อยก็ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับ coronavirus เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโรค SARS ในปี 2546 ยิ่งไปกว่านั้นพรรคคอมมิวนิสต์มองว่าชาวอุยกูร์เป็นคนแบ่งแยกดินแดนและดังนั้นจึงพยายามที่จะปกปิดการเคลื่อนไหวภายในค่ายกักกัน

นาย Tim Grose ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเทคโนโลยีแห่ง Rose Hulman กล่าวว่า; หากไวรัสมาถึงค่ายในซินเจียงเขาไม่สามารถที่จะจินตนาการได้ว่าเจ้าหน้าที่จีนคอมมิวนิสต์จะเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณชน เขาไม่เห็นว่ามันจะเป็นไปได้ เนื่องจากพวกเขาพยายามที่ทำให้ค่ายกักกันนี้ดูเสมือน มีมนุษยธรรมอย่างที่สุด  สิ่งหนึ่งที่อาจเป็นไปได้ในการทำให้การประชาสัมพันเสียรูปไป คือถ้าเกิดมีคนป่วยด้วยโรคที่ร้ายแรงพวกเขาไม่รู้วิธีการรักษาอย่างแน่นอน”

จีนเล็งเห็นถึงความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคในค่ายกักกัน ซึ่งจีนได้ประสพกับการระบาดของโรคไวรัส มาแล้วในปีพ. ศ. 2546 ซึ่งเป็นต้นเหตุ  ของการระบาดของโรค SARS และประชาคมระหว่างประเทศได้ประโคมข่าวเรื่องการตรวจสอบข้อมูลที่มีผู้รายงานไม่เพียงพอและทำให้ไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคได้

ในปี 2560 เมื่อเจ้าหน้าที่ของจีนเริ่มจัดตั้งค่ายกักกันในซินเจียงพวกเขาได้ร่างคู่มือเกี่ยวกับวิธีการกำหนดกฏปฏิบัติและการบริหารงาน แนวทางแรกประกอบด้วยคำเตือนที่ว่า“ ไม่ยอมให้มีการหลบหนี, ไม่ยอมให้มีปัญหายุ่งยากจากผูถูกกักกัน, ไม่ยอมให้มีการต่อต้านเจ้าหน้าที่,ไม่ยอมให้มีการเสียชีวิตอย่างผิดปกติ, ไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ใดๆ ต่อความปลอดภัยทางด้านอาหารและการเกิดโรคระบาดที่รุนแรง ายในค่าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่