Black Shark ได้เปิดตัวเกมมิ่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทั้ง Black Shark 3 และ 3 Pro ที่ประเทศจีนอย่างที่เคยโดยรุ่นPro จะเป็นรุ่นสูงสุดจอเทพกว่าใหญ่กว่าครับ จะมีหน้าจอขนาด 7.1 นิ้ว ใหญโตมากครับ และมี ความละเอียด 2K HDR10+ จะมีรีเฟรชเรท 90 Hz และความถี่การตอบสนองหน้าจอ 270 Hz ซึ่งถือว่ามากที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน โดยมันจะมีดีเลย์การตอบสนองเพียง 0.028 วินาทีเท่านั้น อีกทั้งยังรองรับการตอบสนองน้ำหนักการกดหน้าจออีกด้วย และในรุ่น Pro นั้นมาพร้อม Pop-up Trigger 2 ปุ่มด้านข้างตัวเครื่อง ใช้ในการเล่นเกมได้ ยิงจัดเต็มมากๆ ใช้เป็นชิปเซต Snapdragon 865 ที่มาพร้อม Ram LPDDR5 12GB แต่ตัว RAM 8 จะเป็น LPDDR4 นะครับ และมีระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling ประกบแหล่งที่ผลิตความร้อนเป็นลักษณะคล้ายกับแซนด์วิช ทำให้อัตราการกระจายความร้อนถึง 2 เท่าและระบายความร้อนเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนด้วย ถือว่าเป็นรุ่นที่เปิดตัวมาสำหรับสายเกมจัดๆและรองรับการใช้งานที่ดีขึ้นพร้อม Hi-res Audio ด้วยครับผม เราเลยมาลองพรีวิวกันก่อนว่าจะใช้งานเป็นยังไงกันบ้างสำหรับ Blackshark ตระกูลนี้เราไม่เคยพลาดแน่นอนครับสายเกม
อกจากนี้มันยังมีเทคโนโลยี BlackShark GameEngine และ SolarCore ที่ช่วยเร่งความเร็วในการโหลดของเกม อีกทั้งยังทำให้มันทำงานได้ลื่นไหลขึ้นโดยใช้พลังงานที่น้อยที่สุดด้วย กล้องหลังของมันจะมีด้วยกัน 3 ตัวประกอบด้วยเลนส์ 64MP + เลนส์กว้าง 120° 13MP + เลนส์ตรวจจับความลึก 5MP และกล้องหน้ามีความละเอียด 20MP นอกจากนั้นมันตัวกล้องยังรองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW Super Night mode ได้ แบตเตอรี่ของ Black Shark 3 Pro จะมีความจุ 5,000 mAh ที่ชาร์จเร็ว 65W ที่สามารถชาร์จแบต 50% ได้ในเวลา 15นาทีและใช้เวลา 38 นาทีในการชาร์จแบต 100% นอกจากนี้มันยังรองรับการชาร์จโดยใช้แท่นแม่เหล็กที่ความเร็ว 18W
Xiaomi Blackshark 3 Pro ในไทยยังไม่ได้เข้ามาแบบเป็นทางการครับ เราจึงต้องพึ่งเครื่องหิ้วกันไปก่อน ตัวที่รีวิวเป็นรุ่น Ram8, 256GB สีเงินแบบในภาพ ราคา 26,500 บาท
UNBOX
สำหรับตัวกล่องนั้นยังคงเป็นการออกแบบธีมสีดำแบบเดิมพร้อมขนาดกล่องที่ไม่ได้ต่างจากรุ่น 3 มากนักครับแน่นอนว่าอุปกรณ์ที่ให้มาก็ยังคงให้มาเพียงพอต่อการใช้งานแต่พวกมือถือ Xiaomi อะไรแนวๆนี้จะไม่ค่อยมีหูฟังให้เท่าไรนักกครับ ส่วนตัวเคส ฟิล์มอะไรมีติดเครื่องมาให้เรียบร้อยกันเลยแหละ พร้อมที่ชาร์จให้มา 65W นะถือว่าจัดหนักจัดเต็มมากกว่ารุ่น 3ครับ และ ตัวเคสดูดีกว่ารุ่น 3 เยอะมาก +สติกเกอร์อะไรแถมมาให้แล้วนะครับ และ รู 3.5 กลับมาแล้ว
- มือถือ BLACKSHARK 3 Pro
- เคส TPU สีดำหนาแข็งแรง
- สาย USB-C ไป USB-A
- ที่ชาร์จ Adaptor 65W
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
ทางด้านหัวชาร์จในรุ่นนี้เป็นตัว 65W ที่แถมมาครับมาพร้อมกับการรองรับการใช้งานสูงสุดทันทีจะมากกว่าตัว 3 ที่แถมมาแค่ 30W นั้นเองถือว่าเป็นจุดแตกต่างกันหลักๆสำหรับรุ่นนี้ และ รุ่น 3 แต่ที่เห็นชัดๆคือตัวเคสแถมที่ดูดีมากๆ
เคสรุ่นนี้เป็นจุดที่แตกต่างกับรุ่น 3 ชัดเจนเลยเหมือนคนละรุ่นกันครับแน่นอนว่าตัวเคสนั้นจะเป็นเคสที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนมือถือทั่วไปมากขึ้นเป็นสีดำล้วนทั้งหมด ดำด้านและปิดโลโก้ที่มีไฟไปได้ทั้งหมดเลยอันนี้แอบเสียดายมากๆครับ และ แน่นอนว่าส่วนการปกป้องนั้นค่อนข้างทำได้ดีมากทั้งหน้าและหลัง มีการเว้นส่วนลำโพงไว้บ้างนิดหน่อย ตรงบนขอบบนและขอบล่าง และมีความสูงขึ้นปกป้องได้ดีและหนามากๆ วัสดุก็ดูมีความแข็งเรงหนาดีกว่าแบบเดิม
จะเห็นความหนาของตัวเคสและการออกแบบของมันครับ ปกป้องด้านหลังได้ดีมากๆ ด้านหลังนั้นจะเว้าในส่วนของกล้องลงไปทั้งหมดและเปิดพื้นที่แค่ตรง 3 เหลี่ยมอันนี้จะเป็นจุดแตกต่างกันหลักๆกับรุ่น 3 เพราะเหมือนตัว Pro จะแน่นหนากว่าเยอะพอสมควร และวัสดุคงละแบบกัน ส่วนด้านหน้าก็มีการเสริมมุมเครื่องให้มีความหนาขึ้นเวลาตกกระแทก และมีนูนปกป้องหน้าจอนิดหน่อยด้วยเช่นกันครับโดยรวมประทับใจตัวเคสรุ่นนี้มากกว่ารุ่น 3 เยอะเลยครับ
DESIGN
งานออกแบบในรุ่นนี้ใช้ดีไซน์รวมถึงการวางอะไรทุกอย่างแบบเดียวกับรุ่น 3ครับผม ต้องบอกว่ามันอิงจากรุ่นก่อนๆมาและพัฒนาขึ้นเยอะพอสมควรเลยครับ แน่นอนว่ามันลงตัวขึ้นเยอะและชอบการวางกล้อง และดีไซน์มันดูดีและไม่เหมือนใครจริงๆมีเอกลักษณ์ของตัวเองและการใช้วัสดุเงินเงาผสมกับพลาสติกยังเป็นดีไซน์แนวทางที่คุ้นเคยดีแต่ไม่ชัวร์ว่าอุปกรณ์เสริมจะใช้งานได้ไหมกับรุ่นก่อน แต่ก็ไม่น่าได้ครับเท่าที่ลองๆดู ส่วนงานประกอบอะไรดูดีเนียนขึ้นและขอบต่างๆสวยสีโอเคขึ้นครับ และในด้านหน้ายังคงมีลำโพงคู่ จอไม่มีติ่งและมีพื้นที่วางนิ้วอยู่บ้างชอบที่ยังวางลำโพงไว้ด้านหน้าครับ และน้ำหนักขนาดกำลังดีไม่หนาหนักเกินไปด้วย แต่ถ้าใครชอบเรียบๆสีดำนั้นอาจจะทำได้ดีกว่าครับ
ทางด้านหน้าจอ มาในขนาด 7.1 นิ้วไม่มีติ่งหน้าจอ และ ยังมีขอบเครื่องอยู่ทั้งบนและล่าง (2400 × 1080 นิ้ว) 2K อัตราส่วน 20:9 ที่มีรีเฟรชเรท 90Hz ทัช 270Hz , HDR 10+, 105% DCI – P3 color gamut, ความสว่าง 500 nits, เทคโนโลยี MEMC ที่เพิ่มความลื่นไหลให้หน้าจอด้วยเช่นกันครับ
ขอบด้านล่างอันนี้น่าตกใจคือทำได้บางมากแม้จะมีลำโพงอยู่ในส่วนของด้านหน้าครับ อันนี้คือน่าสนใจมากๆเลยยังมีลำโพงและขอบบางครับถือว่าเป็นจุดที่ดีเพราะหลายๆคนยังคงชอบลำโพงแบบนี้ และปุ่มควบคุมมีให้เหมือนเดิม หรือใช้งานเต็มหน้าจอได้ครับ ตัวกระจกหน้าจอเรียบๆไม่โค้งนะครับ
ขอบด้านบนแอบหนากว่านิดหน่อยเพราะต้องมีกล้องหน้า ลำโพง และเซนเซอร์ต่างๆเลยทำให้มีขนาดนิดหน่อยครับ และยังคงขอบไว้ให้สายเกมไว้ใช้งานมันถนัดกว่าแบบไร้ขอบเยอะเลยนะ และจะเห็นว่าลำโพงช่องข้างบนเล็กกว่านิดๆ
ด้านขวานั้นจะเป็นที่อยู่ของ ไมค์ ปุ่ม Power และ ปุ่มเลื่อนสำหรับเข้า Shark Space ครับในส่วนล่างเครื่องหรือมุมซ้ายของภาพ และจะเห็นขอบเครื่องเป็นโลหะทั้งหมดและและเส้นเสาสัญญาณทั้ง 2 จุดครับผม และในรุ่นนี้พิเศษจะเป็นปุ่ม L/R ที่จะ PopUp ขึ้นมาสำหรับการเล่นเกมครับ แต่ชอบงานออกแบบมันตัดขอบสวยงามเลย
Trigger L/R แบบ Pop-up
ตัวนี้ถือว่าเป็นจุดชูโรงสำหรับรุ่นนี้เป็นปุ่มที่เป็นแบบ แมคคานิคครับไม่ใช่ระบบรับแรงกดแบบรุ่นอื่นๆและทำให้มันมีความรู้สึกในการใช้งานได้แตกต่างกับแบบทั่วไปมากๆหลายคนอาจจะชอบแบบนี้มากกว่าเพราะมันแตะได้ง่าย วางนิ้วมือได้โดยที่ไม่เป็นการสั่งงานครับและความนูนระยะของมันทำได้ดีมากๆ โดยมันมีความสูงของปุ่มเพียง 1.5mm เท่านั้น และสามารถกดได้ถึง 1 ล้านครั้ง อีกทั้งมันจะเด้งขึ้นมาขณะใช้งาน โดยสามารถเปิดปิดตัวปุ่มได้ถึง 3 แสนครั้ง อีกทั้งตัวเครื่องยังมีรูปแบบการสั่นขณะเล่นเกมมากกว่า 150 รูปแบบ ถือว่าทำได้ดีและพัฒนาขึ้นพอสมควร ถ้าบอกความรู้สึกของปุ่มเอาจริงๆมันเหมือนการกดปุ่ม Power ในรุ่นอื่นๆแต่มีระยะลึกขึ้นและเด้งรับมือได้ดีกว่าเดิมครับ
ในด้านซ้าย จะเป็นปุ่มเพิ่ม ลดเสียงครับพร้อมกับถาดซิม 2 ซิมรองรับใช้งานได้ Nanosim และ มีซีลยางกันน้ำด้วยส่วนปุ่มอื่นๆไม่มีครับในด้านนี้วางการออกแบบทั้งหมดเอาจริงๆคือแบบเดียวกับรุ่น 3 ทั้งหมดเลยนั้นเองครับตัวนี้
ในส่วนของขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะเป็น USB-C พร้อมกับรูไมค์ รวมถึงช่องลำโพงเป็นแนวยาวตามขอบเครื่องครับ
ทางด้านบนมันมีรู 3.5 มม. กลับมาแล้วครับพร้อมใช้งานและและตัวรับสัญญาณอีก 2 จุดด้านบนคือจัดเต็มมาก ส่วนรูไมค์ตัดเสียงอะไรนั้น จะไปอยู่ข้างๆแทนนะครับ และตรงกล้องหลัง ถือว่าให้ไมค์มาเยอะพอสมควรเลยแหละ
ฝาหลังงานออกแบบจริงๆนั้นถือว่าสวยเพราะมีการออกแบบของตัวเองไม่เหมือนใคร สมมาตรดีครับและกล้องหลังวางได้ลงตัวกว่ารุ่น 2 เยอะเลยครับ ส่วนดีไซน์ตัว 3-3Pro นั้นใช้งานแบบเดียวกันเลยแต่ขนาดจะแตกต่างกันเยอะครับในครั้งนี้จะเป็นสีเงินพร้อมกับแถบฟ้าแน่นอนว่ายังคงมีไฟด้านหลัง RGB ปรับแต่งได้ 3 จุดหลักๆครับแต่ไม่มีไฟขอบเครื่องแล้วอันนี้น่าเสียดาย ส่วนตรงข้างล่างจะเป็นพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมและที่ชาร์จต่างๆเสริมฝาหลังโค้งลงเล็กน้อยทำให้จับถนัดมือและเป็นกระจกทั้งหมดแล้วจากที่รุ่นก่อนๆจะเป็นอลูมิเนียมเป็นหลักครับ
กล้องหลัง 3 ตัววางมุมทแยงกัน 3 ตำแหน่งพร้อมไมค์อัดเสียงและไฟแฟลช รวมถึงมีไฟ RGB ขีดๆเล็กแทรกเข้ามาให้เข้ากับสายเกมนิดหน่อย กล้องหลังนั้นมาพร้อมกับ กล้องหลัง 64MP (f/1.8), แฟลช LED, เลนส์ Ultra wide 120° 13MP (f/2.25), เลนส์สำหรับถ่าย portrait 5MP (f/2.2) คุณภาพเท่าที่ลองนั้นใช้งานได้ดีเลยแหละ
SPEC
- หน้าจอขนาด 7.1 นิ้ว (3120 × 1440 พิกเซล) Quad HD+ 19.5:9 ที่มีรีเฟรชเรท 90Hz, 483PPI, HDR 10+, 97% DCI – P3 color gamut, ความสว่าง 500 nits, เทคโนโลยี MEMC ที่เพิ่มความลื่นไหลให้หน้าจอ
- ชิปเซต Snapdragon 865 7nm ที่ใช้การ์ดจอ Adreno 650
- RAM LPDDR5 8GB พร้อม storage (UFS 3.0) 128GB / 256GB
- Android 10
- ซิมคู่ (nano + nano)
- กล้องหลัง 64MP (f/1.8), แฟลช LED, เลนส์ Ultrawide 120° 13MP (f/2.25), เลนส์สำหรับถ่าย portrait 5MP (f/2.2)
- กล้องหน้า 20MP (f/2.2)
- เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
- รูแจ็ค 3.5mm, ลำโพงคู่ 1217 super linear speakers
- ขนาดตัวเครื่อง Black Shark 3 PRO 177.79× 83.29x 10.1mm; น้ำหนัก: 253g
- 5G SA / NSA, Dual 4G VoLTE, WiFi 802.11ax (2×2 MU-MIMO ), Bluetooth 5, GPS/GLONASS/Beidou, USB Type-C
- แบตเตอรี่ 5,000 mAh ที่ชาร์จเร็ว 65W
[CR] พรีวิว Blackshark 3 PRO จอใหญ่ 2K 7.1 นิ้ว 90Hz พร้อมปุ่ม Trigger L/R แบบ Pop-up !!
Black Shark ได้เปิดตัวเกมมิ่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทั้ง Black Shark 3 และ 3 Pro ที่ประเทศจีนอย่างที่เคยโดยรุ่นPro จะเป็นรุ่นสูงสุดจอเทพกว่าใหญ่กว่าครับ จะมีหน้าจอขนาด 7.1 นิ้ว ใหญโตมากครับ และมี ความละเอียด 2K HDR10+ จะมีรีเฟรชเรท 90 Hz และความถี่การตอบสนองหน้าจอ 270 Hz ซึ่งถือว่ามากที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน โดยมันจะมีดีเลย์การตอบสนองเพียง 0.028 วินาทีเท่านั้น อีกทั้งยังรองรับการตอบสนองน้ำหนักการกดหน้าจออีกด้วย และในรุ่น Pro นั้นมาพร้อม Pop-up Trigger 2 ปุ่มด้านข้างตัวเครื่อง ใช้ในการเล่นเกมได้ ยิงจัดเต็มมากๆ ใช้เป็นชิปเซต Snapdragon 865 ที่มาพร้อม Ram LPDDR5 12GB แต่ตัว RAM 8 จะเป็น LPDDR4 นะครับ และมีระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling ประกบแหล่งที่ผลิตความร้อนเป็นลักษณะคล้ายกับแซนด์วิช ทำให้อัตราการกระจายความร้อนถึง 2 เท่าและระบายความร้อนเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนด้วย ถือว่าเป็นรุ่นที่เปิดตัวมาสำหรับสายเกมจัดๆและรองรับการใช้งานที่ดีขึ้นพร้อม Hi-res Audio ด้วยครับผม เราเลยมาลองพรีวิวกันก่อนว่าจะใช้งานเป็นยังไงกันบ้างสำหรับ Blackshark ตระกูลนี้เราไม่เคยพลาดแน่นอนครับสายเกม
อกจากนี้มันยังมีเทคโนโลยี BlackShark GameEngine และ SolarCore ที่ช่วยเร่งความเร็วในการโหลดของเกม อีกทั้งยังทำให้มันทำงานได้ลื่นไหลขึ้นโดยใช้พลังงานที่น้อยที่สุดด้วย กล้องหลังของมันจะมีด้วยกัน 3 ตัวประกอบด้วยเลนส์ 64MP + เลนส์กว้าง 120° 13MP + เลนส์ตรวจจับความลึก 5MP และกล้องหน้ามีความละเอียด 20MP นอกจากนั้นมันตัวกล้องยังรองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW Super Night mode ได้ แบตเตอรี่ของ Black Shark 3 Pro จะมีความจุ 5,000 mAh ที่ชาร์จเร็ว 65W ที่สามารถชาร์จแบต 50% ได้ในเวลา 15นาทีและใช้เวลา 38 นาทีในการชาร์จแบต 100% นอกจากนี้มันยังรองรับการชาร์จโดยใช้แท่นแม่เหล็กที่ความเร็ว 18W
Xiaomi Blackshark 3 Pro ในไทยยังไม่ได้เข้ามาแบบเป็นทางการครับ เราจึงต้องพึ่งเครื่องหิ้วกันไปก่อน ตัวที่รีวิวเป็นรุ่น Ram8, 256GB สีเงินแบบในภาพ ราคา 26,500 บาท
UNBOX
สำหรับตัวกล่องนั้นยังคงเป็นการออกแบบธีมสีดำแบบเดิมพร้อมขนาดกล่องที่ไม่ได้ต่างจากรุ่น 3 มากนักครับแน่นอนว่าอุปกรณ์ที่ให้มาก็ยังคงให้มาเพียงพอต่อการใช้งานแต่พวกมือถือ Xiaomi อะไรแนวๆนี้จะไม่ค่อยมีหูฟังให้เท่าไรนักกครับ ส่วนตัวเคส ฟิล์มอะไรมีติดเครื่องมาให้เรียบร้อยกันเลยแหละ พร้อมที่ชาร์จให้มา 65W นะถือว่าจัดหนักจัดเต็มมากกว่ารุ่น 3ครับ และ ตัวเคสดูดีกว่ารุ่น 3 เยอะมาก +สติกเกอร์อะไรแถมมาให้แล้วนะครับ และ รู 3.5 กลับมาแล้ว
- มือถือ BLACKSHARK 3 Pro
- เคส TPU สีดำหนาแข็งแรง
- สาย USB-C ไป USB-A
- ที่ชาร์จ Adaptor 65W
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
ทางด้านหัวชาร์จในรุ่นนี้เป็นตัว 65W ที่แถมมาครับมาพร้อมกับการรองรับการใช้งานสูงสุดทันทีจะมากกว่าตัว 3 ที่แถมมาแค่ 30W นั้นเองถือว่าเป็นจุดแตกต่างกันหลักๆสำหรับรุ่นนี้ และ รุ่น 3 แต่ที่เห็นชัดๆคือตัวเคสแถมที่ดูดีมากๆ
เคสรุ่นนี้เป็นจุดที่แตกต่างกับรุ่น 3 ชัดเจนเลยเหมือนคนละรุ่นกันครับแน่นอนว่าตัวเคสนั้นจะเป็นเคสที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนมือถือทั่วไปมากขึ้นเป็นสีดำล้วนทั้งหมด ดำด้านและปิดโลโก้ที่มีไฟไปได้ทั้งหมดเลยอันนี้แอบเสียดายมากๆครับ และ แน่นอนว่าส่วนการปกป้องนั้นค่อนข้างทำได้ดีมากทั้งหน้าและหลัง มีการเว้นส่วนลำโพงไว้บ้างนิดหน่อย ตรงบนขอบบนและขอบล่าง และมีความสูงขึ้นปกป้องได้ดีและหนามากๆ วัสดุก็ดูมีความแข็งเรงหนาดีกว่าแบบเดิม
จะเห็นความหนาของตัวเคสและการออกแบบของมันครับ ปกป้องด้านหลังได้ดีมากๆ ด้านหลังนั้นจะเว้าในส่วนของกล้องลงไปทั้งหมดและเปิดพื้นที่แค่ตรง 3 เหลี่ยมอันนี้จะเป็นจุดแตกต่างกันหลักๆกับรุ่น 3 เพราะเหมือนตัว Pro จะแน่นหนากว่าเยอะพอสมควร และวัสดุคงละแบบกัน ส่วนด้านหน้าก็มีการเสริมมุมเครื่องให้มีความหนาขึ้นเวลาตกกระแทก และมีนูนปกป้องหน้าจอนิดหน่อยด้วยเช่นกันครับโดยรวมประทับใจตัวเคสรุ่นนี้มากกว่ารุ่น 3 เยอะเลยครับ
DESIGN
งานออกแบบในรุ่นนี้ใช้ดีไซน์รวมถึงการวางอะไรทุกอย่างแบบเดียวกับรุ่น 3ครับผม ต้องบอกว่ามันอิงจากรุ่นก่อนๆมาและพัฒนาขึ้นเยอะพอสมควรเลยครับ แน่นอนว่ามันลงตัวขึ้นเยอะและชอบการวางกล้อง และดีไซน์มันดูดีและไม่เหมือนใครจริงๆมีเอกลักษณ์ของตัวเองและการใช้วัสดุเงินเงาผสมกับพลาสติกยังเป็นดีไซน์แนวทางที่คุ้นเคยดีแต่ไม่ชัวร์ว่าอุปกรณ์เสริมจะใช้งานได้ไหมกับรุ่นก่อน แต่ก็ไม่น่าได้ครับเท่าที่ลองๆดู ส่วนงานประกอบอะไรดูดีเนียนขึ้นและขอบต่างๆสวยสีโอเคขึ้นครับ และในด้านหน้ายังคงมีลำโพงคู่ จอไม่มีติ่งและมีพื้นที่วางนิ้วอยู่บ้างชอบที่ยังวางลำโพงไว้ด้านหน้าครับ และน้ำหนักขนาดกำลังดีไม่หนาหนักเกินไปด้วย แต่ถ้าใครชอบเรียบๆสีดำนั้นอาจจะทำได้ดีกว่าครับ
ทางด้านหน้าจอ มาในขนาด 7.1 นิ้วไม่มีติ่งหน้าจอ และ ยังมีขอบเครื่องอยู่ทั้งบนและล่าง (2400 × 1080 นิ้ว) 2K อัตราส่วน 20:9 ที่มีรีเฟรชเรท 90Hz ทัช 270Hz , HDR 10+, 105% DCI – P3 color gamut, ความสว่าง 500 nits, เทคโนโลยี MEMC ที่เพิ่มความลื่นไหลให้หน้าจอด้วยเช่นกันครับ
ขอบด้านล่างอันนี้น่าตกใจคือทำได้บางมากแม้จะมีลำโพงอยู่ในส่วนของด้านหน้าครับ อันนี้คือน่าสนใจมากๆเลยยังมีลำโพงและขอบบางครับถือว่าเป็นจุดที่ดีเพราะหลายๆคนยังคงชอบลำโพงแบบนี้ และปุ่มควบคุมมีให้เหมือนเดิม หรือใช้งานเต็มหน้าจอได้ครับ ตัวกระจกหน้าจอเรียบๆไม่โค้งนะครับ
ขอบด้านบนแอบหนากว่านิดหน่อยเพราะต้องมีกล้องหน้า ลำโพง และเซนเซอร์ต่างๆเลยทำให้มีขนาดนิดหน่อยครับ และยังคงขอบไว้ให้สายเกมไว้ใช้งานมันถนัดกว่าแบบไร้ขอบเยอะเลยนะ และจะเห็นว่าลำโพงช่องข้างบนเล็กกว่านิดๆ
ด้านขวานั้นจะเป็นที่อยู่ของ ไมค์ ปุ่ม Power และ ปุ่มเลื่อนสำหรับเข้า Shark Space ครับในส่วนล่างเครื่องหรือมุมซ้ายของภาพ และจะเห็นขอบเครื่องเป็นโลหะทั้งหมดและและเส้นเสาสัญญาณทั้ง 2 จุดครับผม และในรุ่นนี้พิเศษจะเป็นปุ่ม L/R ที่จะ PopUp ขึ้นมาสำหรับการเล่นเกมครับ แต่ชอบงานออกแบบมันตัดขอบสวยงามเลย
Trigger L/R แบบ Pop-up
ตัวนี้ถือว่าเป็นจุดชูโรงสำหรับรุ่นนี้เป็นปุ่มที่เป็นแบบ แมคคานิคครับไม่ใช่ระบบรับแรงกดแบบรุ่นอื่นๆและทำให้มันมีความรู้สึกในการใช้งานได้แตกต่างกับแบบทั่วไปมากๆหลายคนอาจจะชอบแบบนี้มากกว่าเพราะมันแตะได้ง่าย วางนิ้วมือได้โดยที่ไม่เป็นการสั่งงานครับและความนูนระยะของมันทำได้ดีมากๆ โดยมันมีความสูงของปุ่มเพียง 1.5mm เท่านั้น และสามารถกดได้ถึง 1 ล้านครั้ง อีกทั้งมันจะเด้งขึ้นมาขณะใช้งาน โดยสามารถเปิดปิดตัวปุ่มได้ถึง 3 แสนครั้ง อีกทั้งตัวเครื่องยังมีรูปแบบการสั่นขณะเล่นเกมมากกว่า 150 รูปแบบ ถือว่าทำได้ดีและพัฒนาขึ้นพอสมควร ถ้าบอกความรู้สึกของปุ่มเอาจริงๆมันเหมือนการกดปุ่ม Power ในรุ่นอื่นๆแต่มีระยะลึกขึ้นและเด้งรับมือได้ดีกว่าเดิมครับ
ในด้านซ้าย จะเป็นปุ่มเพิ่ม ลดเสียงครับพร้อมกับถาดซิม 2 ซิมรองรับใช้งานได้ Nanosim และ มีซีลยางกันน้ำด้วยส่วนปุ่มอื่นๆไม่มีครับในด้านนี้วางการออกแบบทั้งหมดเอาจริงๆคือแบบเดียวกับรุ่น 3 ทั้งหมดเลยนั้นเองครับตัวนี้
ในส่วนของขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะเป็น USB-C พร้อมกับรูไมค์ รวมถึงช่องลำโพงเป็นแนวยาวตามขอบเครื่องครับ
ทางด้านบนมันมีรู 3.5 มม. กลับมาแล้วครับพร้อมใช้งานและและตัวรับสัญญาณอีก 2 จุดด้านบนคือจัดเต็มมาก ส่วนรูไมค์ตัดเสียงอะไรนั้น จะไปอยู่ข้างๆแทนนะครับ และตรงกล้องหลัง ถือว่าให้ไมค์มาเยอะพอสมควรเลยแหละ
ฝาหลังงานออกแบบจริงๆนั้นถือว่าสวยเพราะมีการออกแบบของตัวเองไม่เหมือนใคร สมมาตรดีครับและกล้องหลังวางได้ลงตัวกว่ารุ่น 2 เยอะเลยครับ ส่วนดีไซน์ตัว 3-3Pro นั้นใช้งานแบบเดียวกันเลยแต่ขนาดจะแตกต่างกันเยอะครับในครั้งนี้จะเป็นสีเงินพร้อมกับแถบฟ้าแน่นอนว่ายังคงมีไฟด้านหลัง RGB ปรับแต่งได้ 3 จุดหลักๆครับแต่ไม่มีไฟขอบเครื่องแล้วอันนี้น่าเสียดาย ส่วนตรงข้างล่างจะเป็นพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมและที่ชาร์จต่างๆเสริมฝาหลังโค้งลงเล็กน้อยทำให้จับถนัดมือและเป็นกระจกทั้งหมดแล้วจากที่รุ่นก่อนๆจะเป็นอลูมิเนียมเป็นหลักครับ
กล้องหลัง 3 ตัววางมุมทแยงกัน 3 ตำแหน่งพร้อมไมค์อัดเสียงและไฟแฟลช รวมถึงมีไฟ RGB ขีดๆเล็กแทรกเข้ามาให้เข้ากับสายเกมนิดหน่อย กล้องหลังนั้นมาพร้อมกับ กล้องหลัง 64MP (f/1.8), แฟลช LED, เลนส์ Ultra wide 120° 13MP (f/2.25), เลนส์สำหรับถ่าย portrait 5MP (f/2.2) คุณภาพเท่าที่ลองนั้นใช้งานได้ดีเลยแหละ
SPEC
- หน้าจอขนาด 7.1 นิ้ว (3120 × 1440 พิกเซล) Quad HD+ 19.5:9 ที่มีรีเฟรชเรท 90Hz, 483PPI, HDR 10+, 97% DCI – P3 color gamut, ความสว่าง 500 nits, เทคโนโลยี MEMC ที่เพิ่มความลื่นไหลให้หน้าจอ
- ชิปเซต Snapdragon 865 7nm ที่ใช้การ์ดจอ Adreno 650
- RAM LPDDR5 8GB พร้อม storage (UFS 3.0) 128GB / 256GB
- Android 10
- ซิมคู่ (nano + nano)
- กล้องหลัง 64MP (f/1.8), แฟลช LED, เลนส์ Ultrawide 120° 13MP (f/2.25), เลนส์สำหรับถ่าย portrait 5MP (f/2.2)
- กล้องหน้า 20MP (f/2.2)
- เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
- รูแจ็ค 3.5mm, ลำโพงคู่ 1217 super linear speakers
- ขนาดตัวเครื่อง Black Shark 3 PRO 177.79× 83.29x 10.1mm; น้ำหนัก: 253g
- 5G SA / NSA, Dual 4G VoLTE, WiFi 802.11ax (2×2 MU-MIMO ), Bluetooth 5, GPS/GLONASS/Beidou, USB Type-C
- แบตเตอรี่ 5,000 mAh ที่ชาร์จเร็ว 65W
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้