แชร์ประสบการณ์เที่ยวอิหร่านเอง 6 วัน พร้อมลูก 2 ขวบ ไม่ยากอย่างที่คิด

เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาเ เราได้มีโอกาสไปเที่ยวอิหร่านกันสามคนพ่อแม่และลูกน้อยวัย 2 ขวบ 4 เดือน ประทับใจมากจนคันมืออยากเขียนรีวิวขึ้นมา แต่เวลาไม่เอื้อ แล้วพอถึงเดือนมกรา อิหร่านกับอเมริกาก็มาแฮ่มๆจะรบกันซะอีก เห็นจังหวะไม่ดีก็ว่าจะรอต่อไป  มาตอนนี้ก็อย่างที่รู้ๆกัน ว่าสถานการณ์โควิดมันคงไม่จบง่ายๆ เราคงไม่ได้เที่ยวกันอีกนาน เลยขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้บอกเล่า เผื่อใครที่มีประเทศอิหร่านเป็น bucket list เหมือนเรา แต่มีลูกเล็ก กล้วนู่นนี่ จะเก็บกระทู้นี้ไว้พิจารณา นี่เป็นรีวิวแรกของเรา ขอใช้ภาษาสบายๆเหมือนเล่าให้เพื่อนฟังละกันนะคะ รายละเอียดคงไม่เยอะพอที่จะครบจบในคราวเดียว เพราะอย่างที่บอกว่ากลับมาแล้วถึงได้เริ่มคิดว่าจะตั้งกระทู้ ข้อมูลบางอย่างเลยไม่ครบและคงจะเปลี่ยนแปลงไปอีกหลังจากนี้

ทำไมพาลูกเที่ยวอิหร่าน?
ถ้าจะบอกว่าประเทศนี้เที่ยวเองได้ไม่ยาก คุณจะเชื่อมั้ย แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะที่เที่ยวตามเมืองหลักๆจะกระจุกตัวเหมือนในยุโรป ถ้าแบ่งความยากง่ายในการเที่ยวเป็น 3 ระดับ เราให้อิหร่านที่ระดับ 2 คือปานกลาง เอาว่าเราต้องมีประสบการณ์ในการเที่ยวเองที่ต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับตัองระวังตัวแจเหมือนหลายๆประเทศ ทั้งอาหารการกินและผู้คนก็ดูเอื้อต่อการพาลูกไปมาก ที่พีคสุดคือสนามเด็กเล่นค่ะ ที่อิหร่านมีสนามเด็กเล่นสาธารณะ ที่สวย อลังการ สะอาด ไฮโซกว่าในยุโรปอีก เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา มัวแต่จ้องลูก แต่ไปค้นในเน็ตเจอ เห็นว่าใกล้เคียงกับที่ไปเล่นมาค่ะ


ที่ลงนี่ไม่ได้จะบอกว่าไปเพื่อไปเล่นสนามเด็กเล่นนะ ใจเย็นก่อน (ถึงความจริง ไอ้สนามเด็กเล่นนี่จะทำให้พ่อกับแม่อดไปเที่ยวสวน Eram Garden ก็ตาม เพราะลูกติดลม ร้องห้ายย ชีวิตคนเป็นพ่อแม่ก็แบบนี้แหละค่ะคู้ณ) อีกข้อคือที่นี่ไม่ขายแอลกอฮออล์ ไม่มีที่อโคจร ทำให้คุณสามารถอุ้มลูกเข้าไปในบาร์ชิคๆได้เลย ไม่มีที่ๆเด็กเข้าไม่ได้ (ยกเว้นที่พิพิธภัณฑ์โคตรเพชร ซึ่งดิชั้นว่าเค้าคงกลัวเด็กใจแตก ขนาดแม่เห็นแล้วหัวใจจะวาย อลังมาก ลูกเอ๊ย) ข้อเสียคือเรื่องบุหรี่ เพราะคนสูบบุหรี่กันเยอะ (แต่ไม่แย่เท่าที่เวียนนานะ อย่างน้อยเค้าก็ไม่สูบในอาคาร) เราก็ใช้วิธีเดินเลี่ยงเอา 

แผนการเที่ยว 6 วันของเรา
Day 1 Bangkok-Dubai-Shiraz-Persepolis
Day 2 Shiraz (Pink Mosque, Vakil Bazaar, Karim Khan fort, Eram Garden)
Day 3 Esfahan 
Day 4 Esfahan (Imam Square, Chechel Sotoun Palace)
Day 5 Tehran (Tabiat bridge) 
Day 6 Tehran (Golestan Palace, Grand Bazaar, National Jewelry Museum) 
Day 7 Tehran-Dubai

สภาพอากาศ
เดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วง Shoulder Season ของที่นั่น อากาศอุ่นสุดอยู่ที่ประมาณ 12 องศา ถือว่าสบายในวันที่แดดออก แต่อย่าให้เจอฝนนะฮะ หนาวสะท้านเลย ส่วนวันที่อุณภูมิต่ำสุดคือที่เตหะราน จะอยู่ที่ 2-3 องศา มีเจอหิมะบ้างประปราย แต่ยังไม่เจอที่ตกใส่หัวจริงๆจังๆ

การแต่งกาย
เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงจะต้องไม่รัดรูป คลุมสะโพก แต่สามารถใส่การเกงเลคกิ้งได้ (จัดไปค่ะแม่) มีผ้าคลุมผม จะปล่อยให้เห็นไรผมได้ครึ่งหัวตามแฟชั่นสมัยนิยม เห็นสาวๆบางคนแค่แปะผ้าไว้บนหัวเฉยๆก็มี ที่ขาดไม่ได้คือเมคอัพ ไปอิหร่านหน้าห้ามโล้นเด็ดขาด สาวๆที่นี่หน้าเป๊ะมาก สีสันเสื้อผ้าจัดเต็มได้เลย ถ้าไปฤดูร้อนจะทรมานมากเพราะต้องแต่งตัวมิดชิด คลุมหัว แต่พอหนาวๆเรากลับทนหนาวได้ดีกว่าผู้ชาย เพราะเรามีผ้าคลุมหัวเนี่ยแหละ
 
เราบินโดยใช้ตั๋วแลกไมล์จากการบินไทย ไปลงที่ดูไบตอน 3 ทุ่ม นอนที่โรงแรมในสนามบิน 1 คืนแล้วต่อเครื่องของ fly dubai ไปลงที่  Shiraz เลย ทีนี้มันมีเรื่องระทึกใจนิดหน่อยก่อนจะไปถึงชีราซ เรื่องแรกคือตอนเราจะเช็คอืนขึ้นเครื่องที่กรุงเทพ เพื่อนที่อยู่ดูไบก็โทรมาด้วยน้ำเสียงอันสะพรึงว่าให้ดูข่าวที่ส่งมาให้ในไลน์เดี๋ยวนี้เลย เราเปิดดูก็เจอเลยค่ะ อิหร่านมีประท้วงครับท่านผู้ชม! (ภาพข่าวมีไฟลุกพรึ่บพร้อมผู้ชุมนุมแถวกองไฟ) สาเหตุมาจากรัฐบาลประกาศขึ้นราคาน้ำมันและค่าครองชีพเป็น 3 เท่าภายในชั่วข้ามคืน เออค่ะ! เราก็มองหน้ากันว่าเอาไงดี จะไปอยู่มั้ย? ลองโทรติดต่อโรงแรมที่จองไว้ที Shiraz ทางนู้นบอกว่าแถวโรงแรมปลอดภัยดี และไม่ได้ชุมนุมบริเวณสถานที่ท่องเที่ยว เว็บไซต์ท่องเที่ยวของอังกฤษก็ยังไม่ประกาศเตือนอะไรที่มันดูน่าตกใจ เพียงแต่บอกให้เลี่ยงจุดที่มีชุมนุมประท้วง เราก็ตกลงว่าจะบินไปที่ดูไบก่อนละกัน ถ้าเห็นท่าไม่ดียังไงก็แหมะอยู่ที่ดูไบแหละ (ระทึกมาก ทริปเดี๊ยน)

ถึงดูไบก็นั่งอัพเดทสถานการณ์ตลอดเวลา จนมาสรุปว่าไป เอานาทีสุดท้ายเลย (คิดถูกมาก เพราะถ้าวันนั้นไม่ไป ก็ไม่รู้จะได้ไปอีกเมื่อไหร่) เครื่องออกจากดูไบประมาณ 10 โมง บินประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง พอบินไปถึง Shiraz แล้ว เราเลือกทำ Visa on Arrival ค่อนข้างสะดวก เพราะสนามบินเล็กมาก (มีแค่อาคารเดียว) แอบใจแป้วนิดนึงเพราะไม่เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นเลยยยย มีแค่เรา 3 หน่อ สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับวีซ่าคือ
1. พาสปอร์ต
2. ใบจองโรงแรม (ไม่จำเป็น แต่ควรมี)
3. ประกันการเดินทาง ต้องระบุชื่อประเทศอิหร่านไว้ด้วย
4. เงิน 75 ยูโร

ขนาดเรามีกันแค่นี้ยังใช้เวลารอตั้ง 40 นาที ใครจะไปขอ VOA อาจจะต้องเผื่อเวลาไว้ซักหน่อย ทีนี้ก็มาถึงเรื่องระทึกเรื่องที่ 2 นั่นคือกระเป๋าที่ส่งมาจากกรุงเทพยังติดอยู่ที่ดูไบค่า! แม่เจ้า กระเป๋าที่มีอยู่นี่มีแต่เสื้อผ้าลูกทั้งหมดและของตัวเองแค่ 3 วัน ส่วนสามีก็เอากระเป๋าcarry on มาพอสำหรับตัวเอง แต่ไอ้ใบใหญ่นั่นนะ ชั้นเตรียมชุดมาเปลี่ยนแบบไม่ซ้ำวันเลยนะยะ! เสื้อกันหนาวก็อยู่ในนั้น ทำไมทำกันแบบนี้!! สรุปว่ากว่าจะได้ออกจากสนามบิน ต้องเสียเวลาไปอีก 1ชั่วโมงเพื่อติดตามกระเป๋า และทางสายการบินจะตามไปส่งให้ที่โรงแรมใน Esfahan อีก 2 วัน มาตรงนี้ ให้ทุกคนจำเป็นบทเรียนเลยนะว่าในกระเป๋า carry on ต้องมีเสื้อผ้าเตรียมไปพอ 3 วันเสมอ 

Day 1 - Persepolis
วันแรกเราจ้าง Local Guide พร้อมรถไปเที่ยวมรดกโลก Persepolis กัน อยู่ห่างจากตัวเมืองชีราซไปประมาณ 1 ชั่วโมง วันนั้นฝนตก นอกเรื่องแป๊บ ขอบอกว่าไกด์ที่มารับ.. น้องงานดีมาก ใครชอบแบบฝรั่งเข้มๆ แขกขาวๆ มาทางนี้ น้องใส่แว่น ตัวสูง เดินเข้ามาแนะนำตัว แม่นี่อารมณ์ดีขึ้นมาเลยจากที่หงุดหงิดเรื่องกระเป๋า(หันไปมองพ่อของลูก) เสียดายไม่ได้ร่วมเฟรมกัน เลยไม่มีรูปมาฝาก 

ในส่วนของ  Persepolis นั้น.. น่าเสียดายในวันที่เราไปฝนดันตกพอดี (ซึ่งไม่ค่อยตกในรอบปี) ถ้ามีแดดคงสวยกว่านี้

มันก็จะดูมินิมอลๆ หน่อย เพราะเมืองเป็นสีขาว สื่งที่เราเห็นคือซากปรักหักพังอันยิ่งใหญ่มากๆ ใครอยากเห็นความอลังการงดงามของอาณาจัรเปอร์เซีย แต่ไม่สะดวกไปอิหร่าน ให้ไปชมที่ Met Museum in New York ที่นั่นมีทั้งผนัง โบราณวัตถุสำคัญต่างๆ ที่สวยจนเราอยากมาเห็นสถานที่จริง 


เค้าบอกว่าภาพสิงโตกินวัวนี่เป็นสัญลักษณ์บอกการมาถึงของฤดูใบไม้ผลินะฮะ (นี่ก็มองว่าภาพห่วงโซ่อาหารเฉยๆ แต่ไม่ช่ายยย) วัวคือฤดูหนาว สิงโตคือฤดูใบไม้ผลิ เราว่าใครเป็นแฟนหนังเรื่อง 300 หรือประวัติของอเล็กซานเดอร์มหาราช ต้องไม่พลาด และควรจ้างไกด์ท้องถิ่นพาชม คุณจะได้ฟังประวัติศาสตร์จากอีกมุม แล้วได้ฟังเกร็ดต่างๆด้วย แน่นอนว่าตัวร้ายในเรื่องที่มาจากฝั่งกรีก จะเป็นพระเอกของฝั่งเปอร์เซีย 

ค่าตั๋วที่จ่ายไปสำหรับ Persepolis คือ  150,000 rial เป็นค่าตั๋วที่อัพเดทล่าสุด แบบสุดจริงๆ (ควรดีใจมั้ย) เพราะเพื่อนสมาชิกที่ไปเที่ยวกันมา จ่ายแค่ 50,000 เรียล แต่เนื่องจากรัฐบาลอิหร่านเพิ่งประกาศเพิ่มค่าครองชีพไปเมื่อ 2 วันก่อน ทำให้ราคาในวันนั้นอัพเกรดขึ้นเป็นแสนห้า (ประมาณ 160 บาท) แบบงงๆ แต่ก็ถือว่าเป็นค่าเข้าชมมรดกโลกที่ถูกที่สุดอยู่ดี คิดดูว่าถ้าจองตั๋วเร็วขึ้นสัก 1 สัปดาห์ เราจะได้เที่ยวถูกลงกว่านี้

ขากลับเราให้ไกด์หาที่แลกเงินกับซิมการ์ดให้ ได้เรทดีกว่าโรงแรมและไกด์บอกว่าไม่ควรหาที่แลกเงินเอง (พวกตลาดมืด) เพราะมีโอกาสสูงที่จะโดนหลอกเอาแบงก์ปลอมปนมา ส่วนที่ไกด์หามาให้ น้องคงได้ค่าคอมนิดๆหน่อยๆ แต่เพราะเห็นน้องหล่อพี่จะทำไม่รู้ไม่ชี้ละกันนะ อ้อ! น้องบอกด้วยว่าเพิ่งโดนลูกค้ายุโรปเทไปหลายเจ้าเลย จากที่ตารางจองเต็มเอี๊ยดกลายเป็นลูกค้ายกเลิกไม่มาเพราะเห็นข่าวการประท้วง มีแต่พี่ไทยกับคนฮ่องกงที่ยืนยันว่าจะมา (น้องขา.. พี่มาจากกรุงเทพ พี่จำได้ว่าการประท้วงเป็นยังไง นักท่องเที่ยวเที่ยวได้สบายแฮ) ส่วนคนฮ่องกงพี่แน่ใจว่าที่บ้านเค้าหนักกว่าที่อิหร่าน (ยิ้มอ่อน กระพริบตาถี่ๆ)

เราพักที่ Shiraz Hotel 2 คืน เป็นโรงแรม 4 ดาวขนาดใหญ่ ลงความเห็นตรงกันว่าดีที่สุดในทริปนี้ ห้องกว้าง ค่อนข้างใหม่ หน้าต่างใหญ่ วิวดี ที่มองเห็นจากหน้าต่างก็ประมาณนี้ ตอนจอง จองผ่านเว็บไซต์โรงแรมโดยตรงเลยค่า เป็นโรงแรมเดียวที่ให้จ่ายบัตรเครดิตก่อน โรงแรมในอิหร่านจะไม่สามารถจองผ่านพวก Booking หรือ Agoda ได้นะคะ ใช้วิธีดั้งเดิม คือจองผ่านอีเมล์ ส่งเมล์ยืนยันแล้วก็รอลุ้นเอา ตกประมาณคืนละ หกพันนิดๆ


Day 2 Shiraz
วันนี้เราเที่ยวเองวันแรก ใช้เรียกแท็กซี่เอา แท็กซี่ที่นี่ต้องต่อรองราคาก่อนซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวก็แพงกว่าคนพื้นที่เยอะอยู่ เราว่าอิหร่านเหมาะแก่การเช่ารถขับมากเพราะที่เที่ยวมีหลายเมืองและแต่ละเมืองก็ห่างกันเป็นชั่วโมง แต่พอเห็นลีลาการขับรถของคนที่นี่ พี่ว่าอย่าเพิ่งเลย  

เราเฉลี่ยไว้ว่าค่ารถไม่ควรเกิน 200,000 เรียลต่อเที่ยว อาหารเช้าที่โรงแรมนี้ดีมาก ห้องอาหารจะเห็นววิวเมือง Shiraz แบบ 270 องศา แต่ต้องลงมาเช้าหน่อยเพราะทัวร์จีนเค้าจะตื่นเช้ากว่าเราแล้วจองโต๊ะที่วิวดีๆหมดเลย 555 พอทุกคนกินข้าวเช้าเสร็จก็จะแย่งกันขึ้นรถทัวร์เพื่อไปถึง Pink Mosque (เรียกแบบนักท่องเที่ยวเลยละกัน) ในเวลาเดี๋ยวกัน เชื่อชั้นว่าไม่ว่าคุณจะไปด้วยวิธีได คุณจะไปเจอทุกคนที่คนเจอเมื่อเช้าที่มัสยิดแห่งนี้ตอน 9 โมง เพราะอะไรน่ะเหรอ

เพราะเค้าอยากไปถ่ายภาพนี้ แล้วต้องรอเวลา 9-10 โมงเท่านั้น ที่แสงมันจะลงมาสวยๆแบบนี้พอดี๊ พอดี ชั้นดีใจมากที่ตอนนั้นเรายังไม่เจอเชื้อโควิด-19 เพราะถ้ามีใครคนนึงติดเชื้อล่ะก็ นักท่องเที่ยวทั้งหมดในเมือง Shiraz คงได้ติดจากที่นี่แหละ ไหนจะห้องปิด ไหนจะพื้นพรม ไหนจะคนจะไม่ Social distancing กันขั้นรุนแรง ทุกคนอาจจะเคยเห็นสถานที่นี้จากในภาพท่องเที่ยวประเทศอิหร่าน ของจริงก็สวยดังภาพเนี่ยแหละค่ะ แต่เข้าใจว่าทุกคนก็อยากได้ภาพที่ไม่ติดคนกันทั้งนั้น ซึ่งนักท่องเที่ยวที่นี่ก็จะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แบ่งกันถ่ายคนละล็อค แล้วก็ใช้สายตากดดันกัน ใครใคร่โพสก็โพสไป สงสารก็แต่หนุ่มๆฝรั่งที่แบกกล้องอย่างดี เลนส์Wideอันเบ้อเริ่ม มารอถ่ายภาพห้องโล่งๆแบบในโปสการ์ด แต่รอเท่าไหร่ตลาดก็ยังไม่วายซักกะที มีแต่แสงอาทิตย์จะวายก่อนนะคะ ประมาณ 10.30 แสงในห้องนี้จะเริ่มหดละ คนที่สนุกที่สุดคงหนีไม่พ้นเด็กล่ะ ตื่นเต้นกับสีสันบนพื้นมาก ได้รูปไปเยอะอยู่ 

ห้องนี้ไม่ได้มีดีแค่กระจกสีอย่างเดียวนะ แต่ลวดลายกระเบื่องบนผนังที่นี่ยังสวยต่างจากที่อื่น เราอยู่ในนี้ 2 ชั่วโมงไม่เบื่อเลย 

สถานที่ต่อไปคือ Naranjestan เป็นคฤหาสน์ของชนชั้นสูงที่เราไปแล้วรู้สึกเฉยๆ เราไปทานข้าวที่ Vakil Bazaar แล้วเดินต่อไปที่ป้อม Karim Khan 

มันใหญ่โตมากจนเป็นแลนด์มาร์กได้เลยว่าเรามาถึงใจกลางเมืองแล้ว เมืองนี้เล็กจนเราเดินชนกับกรุ๊ปทัวร์ที่เจอกันเมื่อเช้าตลอดเวลา เราเดินซื้อพิสตาชิโอมากินเล่นกันแล้วก็ตั้งใจจะไปชม Eram Garden ที่เป็นมรดกโลกของยูเนสโก แต่ลูกสาวดันไปเจอสนามเด็กเล่นซะก่อน เราเลยต้องตามใจนาง ให้เล่นจนพอใจ เพราะถือว่าตามใจแม่มาเยอะแล้ว แล้วสนามเด็กเล่นเค้าก็ดีจริงนั่นแหละ 

เดี

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่