เรื่องผีหรือวิญญาณเนี่ยเป็นเรื่องแปลก และไม่น่าเชื่อว่าจะมีจริงในโลกใบนี้ แต่บางครั้งก็จำป็นต้องเชื่อเมื่อเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดกับคนใกล้ตัว
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อปีที่แล้ว(พ.ศ.2562) ช่วงเดือนตุลาคม ผมกับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย และพี่น้อยลูกชายป้าผม รวมทั้งหมด8คน(พี่น้อยเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก) ได้ไปเที่ยววนอุทยานเขาใหญ่ด้วยกัน เนื่องจากกลุ่มเราชอบธรรมชาติ
โดยครั้งนี้ ได้กางเต้นท์นอนในป่า 2หลัง ใกล้ลำธารเล็กๆ ยามค่ำคืนก็ได้มีการดื่มเหล้าสังสรรค์กันตามประสาผู้ชาย มีการก่อกองไฟร้องเพลงกันสนุกสนาน เนื่องด้วยพวกเราเวลาดื่มเหล้าแล้ว มักจะปวดฉี่บ่อย แต่ก็ไม่อยากเดินไปเข้าห้องน้ำของอุทยาน เพราะมันมืดมากและอันตราย ก็เลยพากันฉี่บริเวณพื้นที่ใกล้ๆเต้นท์
ระหว่างที่กำลังนั่งดื่มเฮฮาอยู่นั้น ผมก็ได้ยินพี่โนชย์ตะโกนบอกพี่น้อยที่กำลังจะเดินไปฉี่ว่า อย่าเดินไปไกลเต้นท์นัก มันอันตราย แล้วเวลาจะฉี่ก็ไหว้บอกเจ้าที่เจ้าทางขออนุญาตให้เรียบร้อย
แต่พี่น้อยนี้เกิดอายหรืออย่างไรไม่ทราบ ไม่ยอมฉี่บริเวณใกล้ๆที่กางเต้นท์ แกดันเดินไปฉี่ตรงเนินโขดหิน ข้างๆต้นไม้ใหญ่ใกล้ลำธาร ที่มีผ้าสามสีผูกไว้
เมื่อพี่โนชย์เห็นก็ร้องห้าม แต่พี่น้อยเขาไม่ฟัง แถมพี่น้อยยังพูดว่า “ผีเผออะไร? กูไม่กลัวดอก มันเจอฉี่กูก็หนีแล้ว”
พวกเราหัวเราะสนุกสนานไม่คิดอะไร ส่วนผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดพี่น้อยเช่นกัน เพราะรู้ว่าแกเมาได้ที่แล้ว
แต่พี่โนชย์นี่สิ ดูจะโมโหพี่น้อยมาก แกพูดขึ้นมาว่า “
ไม่ฟังกูเลย” แล้วพี่น้อยก็เดินมานั่งดื่มต่อ
ขณะนั้นลมพัดมาวูบใหญ่ ทุกคนนิ่งสนิทอากาศมันเย็นขึ้นจนทุกคนรู้สึกได้
อยู่ๆมีเสียงหมือนของตกจากที่สูงดัง “ตุ๊บ” เมื่อหันไปมองต้นตอของเสียง ก็ไม่เห็นมีอะไร?
ทุกคนเริ่มรู้สึกไม่ดี ผมเห็นพี่โนชย์ยกมือไหว้ขอขมา แล้วพี่โนชน์ก็ชวนทุกคนเข้าเต้นท์นอน
ขณะที่กำลังจะเข้าเต้นท์นั้น ผมเห็นพี่น้อยมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่แกไปยืนฉี่อยู่ข้างๆ แล้วร้องโวยวายเสียงดัง
พวกเราเข้าใจว่าแกคงเมาหนักจนได้ที่แล้ว จึงพากันดึงพี่น้อยเข้าเต้นท์ ปลอบใจให้แกนอน
เมื่อทุกคนเริ่มหลับสนิทด้วยฤทธิ์ของเหล้า และความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
ขณะนั้นเวลาประมาณตี3 ได้เกิดลมแรงพัดจนเต้นท์โยก ผมได้ยินเสียงคล้ายต้นไม้ใหญ่หักโค่นเสียงดังมาก ผม,พี่โนชย์,พี่ฤทธิ์ และเจ้าศักดิ์ ตกใจตื่นขึ้นมา พวกเรา 4คนอยู่เต้นท์เดียวกัน ในเสียงลมนั้น พวกเราได้ยินเสียงคล้ายผู้หญิงหัวเราะ และคำรามในลำคอ ด้วยบรรยากาศและแรงลมขนาดนี้ ทำเอาพวกเรารู้สึกกลัวมาก
พี่โนชย์เห็นท่าไม่ดี ด้วยแกเป็นนักปฏิบัติธรรมและชอบทำบุญ เพื่อนในสายบุญของพี่โนชย์เคยมอบ สีผึ้งเทวะกุมาร ของชมรมสู่ร่มโพธิญาณ ให้เป็นของขวัญวันเกิด แล้วแกก็มีโชคและสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตหลายอย่างตั้งแต่ได้สีผึ้งเทวะกุมารนี้มา แกจึงมั่นใจในความขลังของ เทวะกุมาร อย่างยิ่ง
พี่โนชย์จึงบอกให้ทุกคนอยู่อย่างสงบ แล้วภาวนาพุทโธเข้าไว้ แล้วแกก็อัญเชิญสีผึ้งเทวะกุมารในกระเป๋า ออกมาท่องคาถาสักครู่ แล้วจึงชูสร้อยกำไลเทวะกุมารโบกไปมาเหนือหัว
น่าอัศจรรย์มาก เพียงครู่เดียวลมที่แรงขนาดที่จะพัดเต๊นท์ที่ยึดด้วยสมอบกจนแทบปลิว กลับค่อยๆสงบลง บรรยากาศเข้าสู่ภาวะปกติ
ทุกคนเริ่มเบาใจ แต่ไม่มีใครกล้าออกจากเต็นท์แม้ปวดฉี่มากก็ตาม จากนั้นพวกเราก็พยายามข่มตาหลับ ถึงจะหลับไม่ค่อยสนิทนัก แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกอุ่นใจ
วันรุ่งขึ้นพี่น้อยตัวร้อนมาก และบ่นว่าปวดหัว ทุกคนใจคอไม่ดี ในกลุ่มเต้นท์ที่พี่น้อยนอน พวกพี่โก้ และพี่แทน ฝันเหมือนกันว่า
มีผู้หญิงใส่ชุดนอนเสื้อผ้าขาด ผูกคอตายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่พี่น้อยไปฉี่ใส่
ในฝันเห็นศพสาวคนนั้นเน่าขึ้นอืด แล้วพูดว่ากูจะให้พวกมาอยู่เป็นเพื่อนกู ใต้ต้นไม้ก็มีผีผู้ชายและผู้หญิงเดินไปมามากมาย
แล้วในฝันก็เห็นรัศมีสีทองจากเต็นท์ของผม สาดแสงสว่างออกมา ทำเอาเหล่าภูตผีหายไป น่าแปลกที่2คนฝันเห็นเหมือนกัน
ส่วนพี่น้อยและพี่ยุทธนอนหลับสนิท
พี่น้อยได้ยินดังนั้น ก็ว่าพวกเรางมงายคิดมากเลยฝัน แต่พี่ยุทธฟังแล้วนิ่งๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่าพี่ยุทธก็รู้สึกหน้าเสียเหมือนกัน
ตอนเช้าพวกเรามองหาต้นไม้ใหญ่หรือกิ่งไม้ที่โดนลมหักโค่น ที่ได้ยินเสียงเมื่อคืนก็ไม่มี แล้วเสียงที่เราได้ยินเมื่อคืนคืออะไร?
ทุกคนมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ริมลำธารที่มีผ้าสามสีผูก แม้ยามเช้าบรรยากาศบริเวณต้นไม้ใหญ่นั้น ยังดูอึมครึมน่าขนลุกชอบกล
พวกเราใจคอไม่ดี จึงลงความเห็นกันว่า กลับกันเถอะทริปนี้ไม่ค่อยสนุกแล้ว
พวกเราพาพี่น้อยมาส่งถึงบ้าน แต่แกยังมีอาการไข้สูง จึงตัดสินใจพาเข้าโรงพยาลใกล้ๆบ้านพี่น้อย
ต่อมาพ่อพี่น้อย โทรมาบอกว่า พี่น้อยอาการแย่ลง กลางคืนจะมีอาการเพ้อตาขวาง ดิ้นอาละวาด ส่วนกลางวันนอนหลับแบบสนิท
หมอบอกว่าพี่น้อยเป็นไข้มาเลเรียขึ้นสมอง โอกาสรอดยาก
ทุกคนเห็นท่าไม่ดี จึงเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวนอุทยานให้พ่อพี่น้อยฟัง พ่อพี่น้อยได้ฟังแล้ว ท่านก็บ่นว่า “ไอ้น้อยมันดื้อไม่เชื่อก็ไม่น่าไปลบหลู่”
ทุกคนเริ่มใจเสีย แม่พี่น้อยแกเป็นห่วงพี่น้อยมาก ด้วยความที่แม่พี่น้อยเป็นคนอุทัยธานีแต่เดิม เมื่อแกแต่งงานแล้วจึงมาอยู่ จ.ชลบุรี แกนับถือหลวงปู่เคลือบ วัดหนองกระดี่ จ.อุทัยธานี มาก แกจึงตั้งใจจะไปไหว้ขอพรและบน หลวงปู่เคลือบ ให้ช่วยพี่น้อยให้หายเป็นปกติ แม่พี่น้อยจึงวานให้ผมขับรถให้แกไป จ.อุทัยธานี
วันที่ออกเดินทางแม่พี่น้อยได้ชวนป้านี พี่สาวคนโตของสามี(พ่อพี่น้อย)ไปเป็นเพื่อนด้วย
ระหว่างเดินทางแม่พี่น้อยได้เล่าประวัติหลวงปู่เคลือบให้ฟัง ผมรู้สึกศรัทธาอย่างมาก เมื่อขับรถถึงวัดหนองกระดี่ ผม แม่พี่น้อย และป้านี เข้ากราบไหว้ขอพรและบนหลวงปู่เคลือบ ให้เมตตาช่วยพี่น้อยให้หายเป็นปกติ เสร็จแล้วพวกเราก็พากันไปบูชาผ้ายันต์และรูปหลวงปู่เคลือบติดตัวมาด้วย
ระหว่างเดินทางกลับ ป้านีได้ชวนไปไหว้ขอพรพระอาจารย์จี้กง ป้านีเล่าประวัติพระอาจารย์จี้กงให้ฟัง พวกเราก็ว่าประวัติหลวงปู่เคลือบ กับพระอาจารย์จึ้กงคล้ายกันมาก มีความรู้สึกเหมือนว่าพระอาจารย์จี้กง จะกลับชาติมาเกิดเป็นหลวงปู่เคลือบเลย
เมื่อเดินทางถึงสมาคมเต็กก่า ขณะนั้นมีการประทับทรงไม้กีพอดี โชคดีมากวันนั้น ท่านอาจารย์มิ้งค์ (คุณธำรงค์ ปัทมภาส)อยู่ในพิธีนั้นด้วย
(มารู้จักและทราบเรื่องราวของท่านในภายหลัง ในขณะนั้นยังไม่ทราบว่าท่านคือใคร) ด้วยความอยากรู้ของผม ผมจึงอธิษฐานในใจ โดยที่ไม่บอกใครมาก่อนว่า ถ้าพระอาจารย์จี้กง กลับชาติมาจุติเป็นหลวงปู่เคลือบจริงๆ ขอให้ไม้กีนี้ มาเจิมที่ถุงผ้าที่บรรจุผ้ายันต์และรูปหลวงปู่เคลือบ ก่อนที่จะเจิมบนศีรษะพวกเราเหมือนคนอื่นๆที่กำลังเจิมอยู่
และในถุงผ้าของผมนี้หนาพอสมควร ไม่มีใครรู้แน่ๆว่าในถุงผ้านี้มีอะไร และอีกประการคือกลุ่มเราไม่กล้านำวัตถุมงคลออกมาเพราะ หลวงปู่เคลือบ เป็นพระทางเถรวาท ส่วนพระอาจารย์จี้กงเป็นทางจีนมหายาน กลัวจะโดนตำหนิเอา
พอถึงคิวเรา ไม้กีก็เจิมลงที่ถุงวัตถุมงคลทันที โดยที่ผมมิได้บอกกล่าว และไม่ได้ยกขึ้นมาขอให้ท่านเจิม
ทำให้รู้สึกอึ้งในความศักดิ์สิทธิ์ของทาง เต็กก่า มากเลยครับ
เท่าที่สังเกตเห็น
ข่วงที่ไม้กีเจิมถุงที่บรรจุผ้ายันต์และรูปเหมือน หลวงปู่เคลือบ เห็นท่านหลับตาพริ้มครู่หนึ่งแล้วเฮียมิ้งค์จ้องเขม็งที่ถุงผ้านี้
ราวกับจิตเฮียท่านทราบถึงพลังอิทธิบารมีของ หลวงปู่เคลือบ และคำอธิษฐานจริงๆ
พวกเราทุกคนรู้สึกขนลุกเลยครับ
ผมเชื่อแน่ๆว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านรับทราบทุกสิ่งทุกอย่างครับ
และเมื่อกลุ่มเราขอให้ท่านเมตตาช่วยพี่น้อย ร่างประทับทรงท่านถามวัน เดือน ปีเกิด แล้วท่านก็พยากรณ์ว่า “โดนวิญญาณทำเอา” ท่านให้ฮู้ผ้าและฮู้กระดาษมาจำนวนหนึ่ง พร้อมแนะนำวิธีการให้ไปทำพิธีที่บ้าน
เมื่อมาถึงบ้าน แม่พี่น้อยรีบจุดธูปเผาฮู้กระดาษทำน้ำมนต์ตามที่ท่านสั่ง แล้วรีบนำน้ำมนต์ไปโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลก็เจอเจ้าศักดิ์เพื่อนผมมาเยี่ยมพี่น้อย พอดี
เมื่อคุยกันสักพัก จึงรู้ว่าเจ้าศักดิ์มันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวิชา วัดชอนทุเรียน จ.นครสวรรค์ ท่านเป็นพระเถระผู้ทรงอภิญญาวิทยาคมขลังเชี่ยวชาญด้านวิปัสนากรรมฐาน เชื่อว่าท่านบรรลุอริยะมรรคผลแล้ว
ท่านมีความเมตตาสูงอีกทั้งยังทรงภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนโบราณยิ่งนัก ยาของท่านสามารถรักษาโรคร้ายที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้ แต่ยาท่านสามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป พี่เขายังบอกว่า ยาหลวงพ่อวิชานี้น่าจะรักษาโรคระบาดที่แพร่ระบาดอยู่นี้ได้ดีด้วยครับ
เจ้าศักดิ์ได้นำผ้ายันต์ รุ่นมงคลโภคทรัพย์เจ้าสัว มาให้ด้วย
มันบอกว่าผ้ายันต์รุ่นนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก น่าแปลกผ้ายันต์รุ่นนี้มีรูปพระอาจารย์จี้กงอยู่ด้วย ผมเห็นผ้ายันต์ของหลวงพ่อวิชาแล้วรู้สึกศรัทธามากเลยครับ
แม่พี่น้อยจึงเอาผ้ายันต์ทั้ง3ผืน คือ ผ้ายันต์หลวงปู่เคลือบ ผ้ายันต์หลวงพ่อวิชา และฮู้ผ้าของสมาคมเต็กก่า ไว้ใต้หมอนพี่น้อยซึ่งเวลานี้พี่น้อยอยู่ห้องไอซียู แม่พี่น้อยเอาน้ำมนต์เช็ดตัวพี่น้อย พร้อมเอาน้ำมนต์กรอกปากพี่น้อยเพียงจิบนิดๆเท่านั้น
ในช่วงนั้นพี่น้อยมีอาการไม่รู้สึกตัวและมีอาการผวาเป็นระยะๆ
พวกเราคิดว่าคงหมดหวังแล้ว แต่นี่คงเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่เราพอจะช่วยได้ ก็ต้องลองดูครับ
เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว จึงรีบออกมาเพราะหมอไม่อนุญาตให้อยู่นาน
รุ่งเช้ามีข่าวดี หมอแจ้งว่าอาการตัวร้อนลดลง กลางคืนไม่ละเมอและหลับสนิท
รู้สึกตัวดีขึ้น ไม่ต้องมัดไว้บนเตียงเหมือน2คืนก่อน เริ่มมีสติมากขึ้นการตอบสนองดีขึ้นแต่ยังเพลียๆหลับๆตื่นๆด้วยฤทธิ์ยา
วันต่อมาเริ่มทานอาหารอ่อนๆได้ พูดคุยได้ปกติจึงย้ายมาอยู่ห้องพิเศษเพื่อรอดูอาการ
หมอบอกว่าคนไข้อาการดีขึ้นจนน่าแปลกใจ จากนั้นหมออนุญาตให้กลับบ้านได้
พี่น้อยเมื่อกลับบ้านแล้วเล่าให้ฟังว่า ในคืนที่อยู่ในวนอุทยานก่อนจะเข้าเต็นท์นอน ได้เห็นผู้หญิงผูกคอตาย แต่ร่างนั้นเอามือชี้มาที่พี่น้อย แล้วหัวเราะเสียงเยือกเย็นน่ากลัว
รุ่งเช้าแกคิดว่าแกตาฝาดด้วยฤทธิ์เหล้าและอุปทาน กลางคืนนอนก็เหมือนหญิงคนนั้นมานอนข้างๆแต่เช้ามาไม่มีจึงคิดว่าหลอนไปเอง
จนกลับบ้านก็ฝันเห็น ผีสาวตนนั้นพร้อมผีอีกมากมาย มาลากตัวแกไป แกเริ่มกลัวมาก พี่น้อยคิดว่าไม่สบายแล้วกังวลใจคิดไปเอง เลยไม่สนใจประกอบกับอาการหนักขึ้นจึงเข้าโรงพยาลหาหมอ
แต่เมื่ออยู่โรงพยาบาลกลับเจอผีมากมายกว่าเก่า ผีสาวตนนั้นลากพี่น้อยจะพาไปอยู่ด้วย แกก็ดิ้นรนขัดขืนแต่ไม่อาจทานแรงพวกผีได้ จึงโดนลากให้เดินออกไปทางหน้าต่างชั้นบนของตึกที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ แต่พยาบาลเจอก่อนจึงช่วยกันจับตัวไว้แล้วมัดไว้ที่เตียงจึงรอดตาย
แล้วพี่น้อยเล่าว่าสุดท้ายคล้ายๆฝัน โดนผีสาวจูงไปที่ต้นไม้ใหญ่ ที่แกไปยืนฉี่อยู่ข้างๆ ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในสภาพโดนแขวนคออยู่ในชุดนอนเสื้อผ้าขาดวิ่น สภาพเป็นศพเริ่มขึ้นอืด เดี๊ยวหัวเราะเดี๊ยวร้องไห้
เธอมองเขม็งมาที่พี่น้อย พี่น้อยกลัวมากนั่งชันเข่า แล้วกอดเข่าเอาหน้าซบบนเข่า ด้วยไม่อยากมอง แต่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างบรรยากาศหนาวเย็นวังเวง ไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องเลย ใต้ต้นไม้ฝูงผีมากมายเดินไปมา
ผีสาวตนนั้นบางคราวมานั่งใกล้ๆ แวบเดียวก็ไปแขวนคอที่ใต้ต้นไม้แบบเดิม สลับไปมาแบบนี้เรื่อยๆ
ผีสาวตนนั้นเล่าว่า เธอเป็นเด็กสาวใจแตกมาเที่ยวกับแฟน ต่างคนต่างเสพยากันแล้วก็มีเซ็กกัน
บังเอิญมีกลุ่มขายฉกรรจ์8คนผ่านมาพบ จึงเข้าทำร้ายแฟนเธอจนเขาหนีเตลิดไป จากนั้นเธอก็โดนรุมข่มขืนเมื่อเสร็จสมแล้วก็จากไป
เธอเมื่อสร่างจากฤทธิ์ยาแล้ว เธอทั้งโกรธ เสียใจ และกลัวมาก เธอหลับไหลใต้ต้นไม้ใหญ่กลางคืนเธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งชวนเธอมาอยู่ด้วย เธอจึงปีนขึ้นต้นไม้แล้วใช้ผ้าผูกคอตัวเองตาย
เธอจึงต้องอยู่เฝ้าที่นี่ เธอบอกพี่น้อยว่ามาอยู่ด้วยกันนะ
แล้วอยู่ๆในตอนนั้น พี่น้อยก็เห็นแสงสีทองสุกสว่างพุ่งมาจากหมอนที่ร่างของพี่น้อยที่หนุนอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลแล้วมารวมตัวสุกสกาวอยู่เบื้องหน้า จากนั้นแสงสว่างเจิดจ้าก็ค่อยๆจางลง แล้วก็เห็นชายชราสวมหมวกมีประคำเส้นโต ถือน้ำเต้ามีกลิ่นเหล้าหอมหวลโชยมา
บารมีและเมตตาธรรม พระอาจารย์จี้กง แห่งสมาคมเต็กก่า จีจินเกาะ
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อปีที่แล้ว(พ.ศ.2562) ช่วงเดือนตุลาคม ผมกับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย และพี่น้อยลูกชายป้าผม รวมทั้งหมด8คน(พี่น้อยเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก) ได้ไปเที่ยววนอุทยานเขาใหญ่ด้วยกัน เนื่องจากกลุ่มเราชอบธรรมชาติ
โดยครั้งนี้ ได้กางเต้นท์นอนในป่า 2หลัง ใกล้ลำธารเล็กๆ ยามค่ำคืนก็ได้มีการดื่มเหล้าสังสรรค์กันตามประสาผู้ชาย มีการก่อกองไฟร้องเพลงกันสนุกสนาน เนื่องด้วยพวกเราเวลาดื่มเหล้าแล้ว มักจะปวดฉี่บ่อย แต่ก็ไม่อยากเดินไปเข้าห้องน้ำของอุทยาน เพราะมันมืดมากและอันตราย ก็เลยพากันฉี่บริเวณพื้นที่ใกล้ๆเต้นท์
ระหว่างที่กำลังนั่งดื่มเฮฮาอยู่นั้น ผมก็ได้ยินพี่โนชย์ตะโกนบอกพี่น้อยที่กำลังจะเดินไปฉี่ว่า อย่าเดินไปไกลเต้นท์นัก มันอันตราย แล้วเวลาจะฉี่ก็ไหว้บอกเจ้าที่เจ้าทางขออนุญาตให้เรียบร้อย
แต่พี่น้อยนี้เกิดอายหรืออย่างไรไม่ทราบ ไม่ยอมฉี่บริเวณใกล้ๆที่กางเต้นท์ แกดันเดินไปฉี่ตรงเนินโขดหิน ข้างๆต้นไม้ใหญ่ใกล้ลำธาร ที่มีผ้าสามสีผูกไว้
เมื่อพี่โนชย์เห็นก็ร้องห้าม แต่พี่น้อยเขาไม่ฟัง แถมพี่น้อยยังพูดว่า “ผีเผออะไร? กูไม่กลัวดอก มันเจอฉี่กูก็หนีแล้ว”
พวกเราหัวเราะสนุกสนานไม่คิดอะไร ส่วนผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดพี่น้อยเช่นกัน เพราะรู้ว่าแกเมาได้ที่แล้ว
แต่พี่โนชย์นี่สิ ดูจะโมโหพี่น้อยมาก แกพูดขึ้นมาว่า “ไม่ฟังกูเลย” แล้วพี่น้อยก็เดินมานั่งดื่มต่อ
ขณะนั้นลมพัดมาวูบใหญ่ ทุกคนนิ่งสนิทอากาศมันเย็นขึ้นจนทุกคนรู้สึกได้
อยู่ๆมีเสียงหมือนของตกจากที่สูงดัง “ตุ๊บ” เมื่อหันไปมองต้นตอของเสียง ก็ไม่เห็นมีอะไร?
ทุกคนเริ่มรู้สึกไม่ดี ผมเห็นพี่โนชย์ยกมือไหว้ขอขมา แล้วพี่โนชน์ก็ชวนทุกคนเข้าเต้นท์นอน
ขณะที่กำลังจะเข้าเต้นท์นั้น ผมเห็นพี่น้อยมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่แกไปยืนฉี่อยู่ข้างๆ แล้วร้องโวยวายเสียงดัง
พวกเราเข้าใจว่าแกคงเมาหนักจนได้ที่แล้ว จึงพากันดึงพี่น้อยเข้าเต้นท์ ปลอบใจให้แกนอน
เมื่อทุกคนเริ่มหลับสนิทด้วยฤทธิ์ของเหล้า และความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
ขณะนั้นเวลาประมาณตี3 ได้เกิดลมแรงพัดจนเต้นท์โยก ผมได้ยินเสียงคล้ายต้นไม้ใหญ่หักโค่นเสียงดังมาก ผม,พี่โนชย์,พี่ฤทธิ์ และเจ้าศักดิ์ ตกใจตื่นขึ้นมา พวกเรา 4คนอยู่เต้นท์เดียวกัน ในเสียงลมนั้น พวกเราได้ยินเสียงคล้ายผู้หญิงหัวเราะ และคำรามในลำคอ ด้วยบรรยากาศและแรงลมขนาดนี้ ทำเอาพวกเรารู้สึกกลัวมาก
พี่โนชย์เห็นท่าไม่ดี ด้วยแกเป็นนักปฏิบัติธรรมและชอบทำบุญ เพื่อนในสายบุญของพี่โนชย์เคยมอบ สีผึ้งเทวะกุมาร ของชมรมสู่ร่มโพธิญาณ ให้เป็นของขวัญวันเกิด แล้วแกก็มีโชคและสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตหลายอย่างตั้งแต่ได้สีผึ้งเทวะกุมารนี้มา แกจึงมั่นใจในความขลังของ เทวะกุมาร อย่างยิ่ง
พี่โนชย์จึงบอกให้ทุกคนอยู่อย่างสงบ แล้วภาวนาพุทโธเข้าไว้ แล้วแกก็อัญเชิญสีผึ้งเทวะกุมารในกระเป๋า ออกมาท่องคาถาสักครู่ แล้วจึงชูสร้อยกำไลเทวะกุมารโบกไปมาเหนือหัว
น่าอัศจรรย์มาก เพียงครู่เดียวลมที่แรงขนาดที่จะพัดเต๊นท์ที่ยึดด้วยสมอบกจนแทบปลิว กลับค่อยๆสงบลง บรรยากาศเข้าสู่ภาวะปกติ
ทุกคนเริ่มเบาใจ แต่ไม่มีใครกล้าออกจากเต็นท์แม้ปวดฉี่มากก็ตาม จากนั้นพวกเราก็พยายามข่มตาหลับ ถึงจะหลับไม่ค่อยสนิทนัก แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกอุ่นใจ
วันรุ่งขึ้นพี่น้อยตัวร้อนมาก และบ่นว่าปวดหัว ทุกคนใจคอไม่ดี ในกลุ่มเต้นท์ที่พี่น้อยนอน พวกพี่โก้ และพี่แทน ฝันเหมือนกันว่า
มีผู้หญิงใส่ชุดนอนเสื้อผ้าขาด ผูกคอตายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่พี่น้อยไปฉี่ใส่
ในฝันเห็นศพสาวคนนั้นเน่าขึ้นอืด แล้วพูดว่ากูจะให้พวกมาอยู่เป็นเพื่อนกู ใต้ต้นไม้ก็มีผีผู้ชายและผู้หญิงเดินไปมามากมาย
แล้วในฝันก็เห็นรัศมีสีทองจากเต็นท์ของผม สาดแสงสว่างออกมา ทำเอาเหล่าภูตผีหายไป น่าแปลกที่2คนฝันเห็นเหมือนกัน
ส่วนพี่น้อยและพี่ยุทธนอนหลับสนิท
พี่น้อยได้ยินดังนั้น ก็ว่าพวกเรางมงายคิดมากเลยฝัน แต่พี่ยุทธฟังแล้วนิ่งๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่าพี่ยุทธก็รู้สึกหน้าเสียเหมือนกัน
ตอนเช้าพวกเรามองหาต้นไม้ใหญ่หรือกิ่งไม้ที่โดนลมหักโค่น ที่ได้ยินเสียงเมื่อคืนก็ไม่มี แล้วเสียงที่เราได้ยินเมื่อคืนคืออะไร?
ทุกคนมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ริมลำธารที่มีผ้าสามสีผูก แม้ยามเช้าบรรยากาศบริเวณต้นไม้ใหญ่นั้น ยังดูอึมครึมน่าขนลุกชอบกล
พวกเราใจคอไม่ดี จึงลงความเห็นกันว่า กลับกันเถอะทริปนี้ไม่ค่อยสนุกแล้ว
พวกเราพาพี่น้อยมาส่งถึงบ้าน แต่แกยังมีอาการไข้สูง จึงตัดสินใจพาเข้าโรงพยาลใกล้ๆบ้านพี่น้อย
ต่อมาพ่อพี่น้อย โทรมาบอกว่า พี่น้อยอาการแย่ลง กลางคืนจะมีอาการเพ้อตาขวาง ดิ้นอาละวาด ส่วนกลางวันนอนหลับแบบสนิท
หมอบอกว่าพี่น้อยเป็นไข้มาเลเรียขึ้นสมอง โอกาสรอดยาก
ทุกคนเห็นท่าไม่ดี จึงเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวนอุทยานให้พ่อพี่น้อยฟัง พ่อพี่น้อยได้ฟังแล้ว ท่านก็บ่นว่า “ไอ้น้อยมันดื้อไม่เชื่อก็ไม่น่าไปลบหลู่”
ทุกคนเริ่มใจเสีย แม่พี่น้อยแกเป็นห่วงพี่น้อยมาก ด้วยความที่แม่พี่น้อยเป็นคนอุทัยธานีแต่เดิม เมื่อแกแต่งงานแล้วจึงมาอยู่ จ.ชลบุรี แกนับถือหลวงปู่เคลือบ วัดหนองกระดี่ จ.อุทัยธานี มาก แกจึงตั้งใจจะไปไหว้ขอพรและบน หลวงปู่เคลือบ ให้ช่วยพี่น้อยให้หายเป็นปกติ แม่พี่น้อยจึงวานให้ผมขับรถให้แกไป จ.อุทัยธานี
วันที่ออกเดินทางแม่พี่น้อยได้ชวนป้านี พี่สาวคนโตของสามี(พ่อพี่น้อย)ไปเป็นเพื่อนด้วย
ระหว่างเดินทางแม่พี่น้อยได้เล่าประวัติหลวงปู่เคลือบให้ฟัง ผมรู้สึกศรัทธาอย่างมาก เมื่อขับรถถึงวัดหนองกระดี่ ผม แม่พี่น้อย และป้านี เข้ากราบไหว้ขอพรและบนหลวงปู่เคลือบ ให้เมตตาช่วยพี่น้อยให้หายเป็นปกติ เสร็จแล้วพวกเราก็พากันไปบูชาผ้ายันต์และรูปหลวงปู่เคลือบติดตัวมาด้วย
ระหว่างเดินทางกลับ ป้านีได้ชวนไปไหว้ขอพรพระอาจารย์จี้กง ป้านีเล่าประวัติพระอาจารย์จี้กงให้ฟัง พวกเราก็ว่าประวัติหลวงปู่เคลือบ กับพระอาจารย์จึ้กงคล้ายกันมาก มีความรู้สึกเหมือนว่าพระอาจารย์จี้กง จะกลับชาติมาเกิดเป็นหลวงปู่เคลือบเลย
เมื่อเดินทางถึงสมาคมเต็กก่า ขณะนั้นมีการประทับทรงไม้กีพอดี โชคดีมากวันนั้น ท่านอาจารย์มิ้งค์ (คุณธำรงค์ ปัทมภาส)อยู่ในพิธีนั้นด้วย
(มารู้จักและทราบเรื่องราวของท่านในภายหลัง ในขณะนั้นยังไม่ทราบว่าท่านคือใคร) ด้วยความอยากรู้ของผม ผมจึงอธิษฐานในใจ โดยที่ไม่บอกใครมาก่อนว่า ถ้าพระอาจารย์จี้กง กลับชาติมาจุติเป็นหลวงปู่เคลือบจริงๆ ขอให้ไม้กีนี้ มาเจิมที่ถุงผ้าที่บรรจุผ้ายันต์และรูปหลวงปู่เคลือบ ก่อนที่จะเจิมบนศีรษะพวกเราเหมือนคนอื่นๆที่กำลังเจิมอยู่
และในถุงผ้าของผมนี้หนาพอสมควร ไม่มีใครรู้แน่ๆว่าในถุงผ้านี้มีอะไร และอีกประการคือกลุ่มเราไม่กล้านำวัตถุมงคลออกมาเพราะ หลวงปู่เคลือบ เป็นพระทางเถรวาท ส่วนพระอาจารย์จี้กงเป็นทางจีนมหายาน กลัวจะโดนตำหนิเอา
พอถึงคิวเรา ไม้กีก็เจิมลงที่ถุงวัตถุมงคลทันที โดยที่ผมมิได้บอกกล่าว และไม่ได้ยกขึ้นมาขอให้ท่านเจิม
ทำให้รู้สึกอึ้งในความศักดิ์สิทธิ์ของทาง เต็กก่า มากเลยครับ
เท่าที่สังเกตเห็น
ข่วงที่ไม้กีเจิมถุงที่บรรจุผ้ายันต์และรูปเหมือน หลวงปู่เคลือบ เห็นท่านหลับตาพริ้มครู่หนึ่งแล้วเฮียมิ้งค์จ้องเขม็งที่ถุงผ้านี้
ราวกับจิตเฮียท่านทราบถึงพลังอิทธิบารมีของ หลวงปู่เคลือบ และคำอธิษฐานจริงๆ
พวกเราทุกคนรู้สึกขนลุกเลยครับ
ผมเชื่อแน่ๆว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านรับทราบทุกสิ่งทุกอย่างครับ
และเมื่อกลุ่มเราขอให้ท่านเมตตาช่วยพี่น้อย ร่างประทับทรงท่านถามวัน เดือน ปีเกิด แล้วท่านก็พยากรณ์ว่า “โดนวิญญาณทำเอา” ท่านให้ฮู้ผ้าและฮู้กระดาษมาจำนวนหนึ่ง พร้อมแนะนำวิธีการให้ไปทำพิธีที่บ้าน
เมื่อมาถึงบ้าน แม่พี่น้อยรีบจุดธูปเผาฮู้กระดาษทำน้ำมนต์ตามที่ท่านสั่ง แล้วรีบนำน้ำมนต์ไปโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลก็เจอเจ้าศักดิ์เพื่อนผมมาเยี่ยมพี่น้อย พอดี
เมื่อคุยกันสักพัก จึงรู้ว่าเจ้าศักดิ์มันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวิชา วัดชอนทุเรียน จ.นครสวรรค์ ท่านเป็นพระเถระผู้ทรงอภิญญาวิทยาคมขลังเชี่ยวชาญด้านวิปัสนากรรมฐาน เชื่อว่าท่านบรรลุอริยะมรรคผลแล้ว
ท่านมีความเมตตาสูงอีกทั้งยังทรงภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนโบราณยิ่งนัก ยาของท่านสามารถรักษาโรคร้ายที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้ แต่ยาท่านสามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป พี่เขายังบอกว่า ยาหลวงพ่อวิชานี้น่าจะรักษาโรคระบาดที่แพร่ระบาดอยู่นี้ได้ดีด้วยครับ
เจ้าศักดิ์ได้นำผ้ายันต์ รุ่นมงคลโภคทรัพย์เจ้าสัว มาให้ด้วย
มันบอกว่าผ้ายันต์รุ่นนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก น่าแปลกผ้ายันต์รุ่นนี้มีรูปพระอาจารย์จี้กงอยู่ด้วย ผมเห็นผ้ายันต์ของหลวงพ่อวิชาแล้วรู้สึกศรัทธามากเลยครับ
แม่พี่น้อยจึงเอาผ้ายันต์ทั้ง3ผืน คือ ผ้ายันต์หลวงปู่เคลือบ ผ้ายันต์หลวงพ่อวิชา และฮู้ผ้าของสมาคมเต็กก่า ไว้ใต้หมอนพี่น้อยซึ่งเวลานี้พี่น้อยอยู่ห้องไอซียู แม่พี่น้อยเอาน้ำมนต์เช็ดตัวพี่น้อย พร้อมเอาน้ำมนต์กรอกปากพี่น้อยเพียงจิบนิดๆเท่านั้น
ในช่วงนั้นพี่น้อยมีอาการไม่รู้สึกตัวและมีอาการผวาเป็นระยะๆ
พวกเราคิดว่าคงหมดหวังแล้ว แต่นี่คงเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่เราพอจะช่วยได้ ก็ต้องลองดูครับ
เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว จึงรีบออกมาเพราะหมอไม่อนุญาตให้อยู่นาน
รุ่งเช้ามีข่าวดี หมอแจ้งว่าอาการตัวร้อนลดลง กลางคืนไม่ละเมอและหลับสนิท
รู้สึกตัวดีขึ้น ไม่ต้องมัดไว้บนเตียงเหมือน2คืนก่อน เริ่มมีสติมากขึ้นการตอบสนองดีขึ้นแต่ยังเพลียๆหลับๆตื่นๆด้วยฤทธิ์ยา
วันต่อมาเริ่มทานอาหารอ่อนๆได้ พูดคุยได้ปกติจึงย้ายมาอยู่ห้องพิเศษเพื่อรอดูอาการ
หมอบอกว่าคนไข้อาการดีขึ้นจนน่าแปลกใจ จากนั้นหมออนุญาตให้กลับบ้านได้
พี่น้อยเมื่อกลับบ้านแล้วเล่าให้ฟังว่า ในคืนที่อยู่ในวนอุทยานก่อนจะเข้าเต็นท์นอน ได้เห็นผู้หญิงผูกคอตาย แต่ร่างนั้นเอามือชี้มาที่พี่น้อย แล้วหัวเราะเสียงเยือกเย็นน่ากลัว
รุ่งเช้าแกคิดว่าแกตาฝาดด้วยฤทธิ์เหล้าและอุปทาน กลางคืนนอนก็เหมือนหญิงคนนั้นมานอนข้างๆแต่เช้ามาไม่มีจึงคิดว่าหลอนไปเอง
จนกลับบ้านก็ฝันเห็น ผีสาวตนนั้นพร้อมผีอีกมากมาย มาลากตัวแกไป แกเริ่มกลัวมาก พี่น้อยคิดว่าไม่สบายแล้วกังวลใจคิดไปเอง เลยไม่สนใจประกอบกับอาการหนักขึ้นจึงเข้าโรงพยาลหาหมอ
แต่เมื่ออยู่โรงพยาบาลกลับเจอผีมากมายกว่าเก่า ผีสาวตนนั้นลากพี่น้อยจะพาไปอยู่ด้วย แกก็ดิ้นรนขัดขืนแต่ไม่อาจทานแรงพวกผีได้ จึงโดนลากให้เดินออกไปทางหน้าต่างชั้นบนของตึกที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ แต่พยาบาลเจอก่อนจึงช่วยกันจับตัวไว้แล้วมัดไว้ที่เตียงจึงรอดตาย
แล้วพี่น้อยเล่าว่าสุดท้ายคล้ายๆฝัน โดนผีสาวจูงไปที่ต้นไม้ใหญ่ ที่แกไปยืนฉี่อยู่ข้างๆ ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในสภาพโดนแขวนคออยู่ในชุดนอนเสื้อผ้าขาดวิ่น สภาพเป็นศพเริ่มขึ้นอืด เดี๊ยวหัวเราะเดี๊ยวร้องไห้
เธอมองเขม็งมาที่พี่น้อย พี่น้อยกลัวมากนั่งชันเข่า แล้วกอดเข่าเอาหน้าซบบนเข่า ด้วยไม่อยากมอง แต่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างบรรยากาศหนาวเย็นวังเวง ไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องเลย ใต้ต้นไม้ฝูงผีมากมายเดินไปมา
ผีสาวตนนั้นบางคราวมานั่งใกล้ๆ แวบเดียวก็ไปแขวนคอที่ใต้ต้นไม้แบบเดิม สลับไปมาแบบนี้เรื่อยๆ
ผีสาวตนนั้นเล่าว่า เธอเป็นเด็กสาวใจแตกมาเที่ยวกับแฟน ต่างคนต่างเสพยากันแล้วก็มีเซ็กกัน
บังเอิญมีกลุ่มขายฉกรรจ์8คนผ่านมาพบ จึงเข้าทำร้ายแฟนเธอจนเขาหนีเตลิดไป จากนั้นเธอก็โดนรุมข่มขืนเมื่อเสร็จสมแล้วก็จากไป
เธอเมื่อสร่างจากฤทธิ์ยาแล้ว เธอทั้งโกรธ เสียใจ และกลัวมาก เธอหลับไหลใต้ต้นไม้ใหญ่กลางคืนเธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งชวนเธอมาอยู่ด้วย เธอจึงปีนขึ้นต้นไม้แล้วใช้ผ้าผูกคอตัวเองตาย
เธอจึงต้องอยู่เฝ้าที่นี่ เธอบอกพี่น้อยว่ามาอยู่ด้วยกันนะ
แล้วอยู่ๆในตอนนั้น พี่น้อยก็เห็นแสงสีทองสุกสว่างพุ่งมาจากหมอนที่ร่างของพี่น้อยที่หนุนอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลแล้วมารวมตัวสุกสกาวอยู่เบื้องหน้า จากนั้นแสงสว่างเจิดจ้าก็ค่อยๆจางลง แล้วก็เห็นชายชราสวมหมวกมีประคำเส้นโต ถือน้ำเต้ามีกลิ่นเหล้าหอมหวลโชยมา