ช่วงนี้มีเวลาเยอะ เลยหยิบทริปเมื่อปีที่แล้วมาเขียน เป็นทริปที่คุณแม่ request มาคะ นางเป็นคนเลือกสถานที่เที่ยว ส่วนเราเป็นคนนำทาง พาแม่หลง!! ทริปนี้ไปทั้งหมด 6 วัน ไปเมือง โตเกียว ชิบะ ยามานาชิ
การมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง แต่เป็นครั้งแรกที่เที่ยวกันเอง และเป็นครั้งแรกของแม่ด้วยคะ
ก่อนจะเดินทางมีความกังวลมากในเรื่องของการขึ้นรถ ต่อรถไฟ ขึ้นรถบัส อะไรพวกนี้ เพราะการขนส่งสาธารณะของญี่ปุ่นเยอะมาก รถไฟอะไรเนี่ย เยอะแยะไปหมด เคยเปิดแผนที่ มึนมาก อ่านข้อมูลจนงง ไปหมด ทั้งหาข้อมูลการเดินทางเผื่อๆไว้จดๆ เซฟๆไว้ (พอเอาจริง ที่จดๆไว้ไม่ได้ใช้หรอกแก)
ทำไมพอเวลาจริงๆถึงไม่ได้ใช้ เพราะ ใช้ GPS ของ Google Map อะ มันง่ายมาก นางบอกหมดว่าขึ้นสถานที่ไหน ออกประตูไหน เดินไปอีกกี่เมตร อะไรประมาณเนี่ย ไม่ต้องโหลดแอพอื่นเลย ที่เค้าชอบบอกๆกันว่า เดินทางในญี่ปุ่น ให้โหลดแอพนี่นะๆ ยิ่งเพิ่มความมึนหัวหนักไปใหญ่ ใช้มันนี้แหละ Google Map แอพเดียวจบ
ตอนนั้นซื้อโทรศัพท์มาใหม่ด้วย รูปส่วนใหญ่ในทริป ถ่ายด้วย Samsung Galaxy S 10+ ลื่นไหล สะดวกไปหมด ทั้งกล้อง ทั้ง Google Map
ทริปนี้ไม่ได้ต่อรถไฟอย่างเดียว เราเช่ารถขับด้วย ใช้การต่อรถไฟ หรือรถบัสในการข้ามจังหวัด และเช่ารถขับไปรอบๆเมืองนั้น เพื่อนที่อยากสะดวกสบาย เช่ารถก็เป็นทางเลือกนึงที่น่าสนใจ ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย ขับไม่ยากด้วยคะ
ทริปนี้ ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง
1. ถ้าจะเช่ารถขับที่สำคัญต้องมีใบขับขี่ international ด้วยนะคะ สามารถไปทำที่ขนส่ง ต่อเป็นปีต่อปี ครั้งละ 500 บาท 1-2 วันก็ได้มาแล้วคะ(เราทำที่ภุเก็ต)
2. อีกอย่างที่ควรซื้อมาก่อน พวกบัตรโดยสาร อันนี้ใช้บริการจาก Klook Travel เป็นประจำ อยากได้บัตรอะไร ตั๋วอะไร ก็ซื้อไปเลยแล้วไปรับบัตรจริงที่ประเทศนั่นๆ หรือยื่นด้วยตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ แล้วแต่เงื่อนที่เค้าระบุไว้ ที่เราซื้อไปจะมีบัตรซุยกะ (สำคัญมาก อะไรอะไรก็ซุยกะ รถไฟ ซื้อขนม อะไรส่วนใหญ่ใช้ซุยกะ แทนเป็นเงินสดเลยประมาณนั้น)
3. หัดใช้ และสังเกตฟังก์ชั่นการทำงานของ Google Map แล้วชีวิตจะง่ายขึ้นมาก
4. ถ่ายรูปกระเป๋าเดินทางก่อนขึ้นเครื่อง อันนี้สำคัญ (เราเคยโดนของทริปบาหลี สายการบินทำกระเป๋าหายที่มาเลเซีย แล้วขอดูรูป ดีนะที่มีรูปให้ มีแท็กพร้อม) ตอนนั้นทำประกันกระเป๋าช้าไว้ด้วย (ถ้าเจอเคสแบบนี้ ให้เก็บบิลที่ใช้ในการซื้อของใช้จำเป็นไว้ แล้วก็ เก็บหลักฐานใบแจ้งกระเป๋าหายจากสนามบิน และหลักฐานการมาส่งกระเป๋าให้เราช้าไปกี่วันยังไง)
5. ทำประกันการเดินทางด้วย แนะนำให้ทำชัวร์กว่า คุณแม่ซื้อไว้ 2 อย่าง ของ AIA และของTune Protect Travel (ตอนที่เคลม AIA จ่ายเงินให้เยอะกว่า Tune แต่เราจำค่าเบี้ยประกันไม่ได้แล้ว) คุ้มครองไว้เยอะมาก ** อยากให้เพื่อนๆอ่านเงื่อนไขก่อนออกเดินทางเราจะได้ทราบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องหาเอกสารหรือหลักฐานอะไรบ้างในการใช้เบิกประกัน (ประสบการณ์ตรงเลย กระเป๋าเสียหาย จากสายการบิน Air Asia สุดที่รัก) มาฟังกันนิดนึงว่าต้องทำอะไรบ้าง
- เริ่มจาก ตอนรับกระเป๋า เช็คกระเป๋าก่อนเลย แล้วก็เจอว่ามันแตก (แต่เวรเจ้ากรรม หันไปทางไหน ไม่เห็นจะมีเจ้าหน้าที่ของสายการบิน แอร์เอเชียเลย) เราก็ต้องลากไอกระเป๋าเจ้ากรรม ไปหาเจ้าหน้าที่ที่เคาเตอร์เช็คอิน
- เจ้าหน้าที่ก็ขอดูรูป กระเป๋าก่อนเดินทางด้วย
- เจ้าหน้าที่ออกเอกสารรับประกันกระเป๋าเสียหาย จากสภาพกระเป๋า ตั๋วเครื่องบิน หรือ บอร์ดดิ้งพาส ** เก็บให้ดีๆนะ อย่าเผลอ ขยำทิ้งไป
- ถ่ายรูปสภาพกระเป๋าที่แตก พร้อมกับเอกสารที่สายการบินออกให้ ถ้าใครต้องซื้อใบใหม่ ก็ให้เก็บใบเสร็จเอาไว้ด้วย ทั้งหมดนี้เอาไปใช้ในการเคลมประกันคะ
เราออกเดินทางจากภูเก็ต คืนวันที่ 24 พ.ค. 19 ตอนห้าทุ่ม แวะ ดอนเมือง บินอีกทีตอน 05.00 น. ไปถึงสนามบินนาริตะวันที่ 25 ตอน บ่ายโมงนิดๆ
ลงมาจากเครื่องก็จะงงๆ หน่อย สิ่งที่ต้องมีคือ บัตรซุยกะที่ได้ทำการซื้อทางออนไลน์ กับ Klool Travel แล้ว (อ่านดูเงื่อนไขในตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ เค้าบอกว่า ถ้ารับที่สนามบินนาริตะ ให้ไปรับที่ เคาร์เตอร์ Easygo ทางทิศใต้บริเวณล็อบบี้โดยสารชั้น 1)
เอาจริงๆ ไม่รู้หรอกไหนทิศใต้ ถ้ากวาดตาแล้ว งง มากหาไม่เจอ ให้วิ่งไปที่จุด Information ซึ่งมีหลายจุดมากในสนามบินนาริตะ แล้วถามเค้าได้เลย Easygo Counter พูดสั้นๆ เอาเป็นว่ารู้เรื่องกัน เค้าอาจจะชี้ให้เห็น ถ้ามันอยู่ใกล้ ถ้ามันไกล เค้าจะกางแผนที่ออกมาอธิบาย ว่าต้องไปยังไง
หาตั้งนาน EasyGo เพื่อนๆเห็นไหม ป้ายเล็กๆบนเคาเตอร์ ไอเราก็ แหงนหน้าหาแต่ป้ายใหญ่ๆ (ไม่แน่ใจย้ายที่รึยังนะ)หลังจากได้บัตรซุยกะแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ ไปซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองกัน
เราเลือก Narita Sky Access Line ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่า Skyliner หน่อย แต่ถูกกว่า ถ้าไม่ได้รีบขนาดนั้นก็เซฟตังไปได้ระดับนึง
Narita Sky Access Line ขึ้นที่ไลน์ส้มแบบนี้ แสดงว่าชัวร์และใช่จร้า
อธิบายให้ฟังก่อน การนำทาง พาแม่หลง ก็ไม่ทั้งทริปหรอก ไปฟังการใช้งาน Google Map แบบง่ายๆ
เข้าไปที่ Google Map ในมือถือทำได้เน็อะ (ถ้าหาในคอม สามารถกดส่งเข้าโทรศัพท์ได้ด้วย) ใส่สถานที่ที่ต้องการไป เราใส่จาก สนามบินนาริตะ ไปยัง Green Hotel กดสัญลักษณ์ รถสาธารณะ Google Map จะมีเส้นทางมาให้เราเลือกเยอะมาก ถ้าคลิกเบาๆ ก็จะมีราคาเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ต้องเดินต่ออีกกี่นาที และทุกๆ 20 นาที คือ รถไฟจะออกทุกๆ 20 นาที
เราเลือกอันที่สอง สีส้มๆ คลิกครั้งที่ สาม มันจะขึ้นรายละเอียดของการเดินทางไว้ ให้เราแคปหน้าจอนี้เอาไว้ ฉุกเฉินเวลาไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ในสถานีรถไฟฟ้า
Google Map บอกเราว่า นั่ง Skyliner จากสนามบิน มาลงที่สถานี Keisei Ueno จากนั้นเดินต่อประมาณ 5 นาที (เดินไปทางไหน สังเกตป้ายเอาว่าเราจะไปสายไหน เราไปสายสีส้ม ชื่อ Ginza Line) เดินมั่วๆเอา ตื่นเต้นดี!!
พอมาถึง Ginza Line “G16”ให้ดูว่าเราจะไปสถานีไหนต่อ ที่แผนที่แถวๆนั้น ซึ่ง Google Map บอกอยู่แล้วว่าต้องไปลง Inaricho “G17”
สถานีส่วนใหญ่ ใช้บัตรซุยกะ แตะได้ มีบางเส้นที่ใช้ไม่ได้ ง่ายๆถ้าใช้ไม่ได้ก็ไม่ผ่านตั้งแต่เข้าประตูแล้ว ให้ไปหยอดบัตรเอาที่ตู้แทนคะ
พอหาเจอดูรอบๆเช็คเพื่อความชัวร์ (เราว่านั่งง่ายกว่า กทม. อีก ดูแค่รหัส) หันไปดูเสาสักนิด ตรงนี้คือG16 ไปจนถึง G19 (เราลงก่อนที่ G17) ชัวร์แล้วก็ยื่นรอตรงนี้แหละ
มาถึงแล้ว ที่พักคืนแรกของเรา Green Hotel ห้องค่อนข้างเล็กหน่อย ห้องน้ำเล็กมาก (นึกว่าเข้าห้องน้ำเด็ก) เครื่องอาบน้ำให้ขวดใหญ่ ใช้ซะใจดี มีระเบียงหน้าห้อง เตียงนุ่มสบาย เสียบปลั๊กไทยได้เลย ที่นี่ดีนะใกล้สถานีมากๆ เดินนิดเดียว ไม่ทันเหนื่อย (แต่ แอบ งงตอนใช้ GPS เดินเท้านี่แหละ งงทิศ! ต้องเดินไปไกล ถึงจะรู้ว่าหลง เพราะมันกระตึบช้ากว่านั่งรถ)
ตอนที่จองไปได้ราคา 4,268 บาท ในราคาสามคน ตกคนละ 1,422 บาท
เอากระเป๋ามาเก็บเสร็จแล้ว ไปเที่ยวกันต่อเลย เก็บรูปสักหน่อยให้รู้ว่ามาถึงแล้วนะ
ไปกินข้าวกันที่ Ichiran Ramen หรือ ราเมงข้อสอบ ไม่ต้องอธิบายแล้วเนอะว่ามายังไง ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานี Ueno เดินเลาะมานิดเดียว ร้านอยู่ริมถนนเลยคะ เป็นร้านดังในญี่ปุ่น มีหลายสาขา ทำไมถึงชื่อราเม็งข้อสอบก็เพราะดีไซน์ของร้าน คือเป็นช่องๆแบบต่างคนต่างกิน แต่เราว่ามันเหมือนราเมงคูหาหรือราเมงเลือกตั้งมากกว่า -*-
มาถึงก็ต้องต่อแถวก่อน แถวค่อนข้างยาว เค้าก็จะแจกข้อสอบให้ เอ่ยไม่ใช่ แจกกระดาษสำหรับสั่งอาหาร จริงๆมันคือกระดาษที่เราเลือกรสชาติ (Dashi คือความเข้มข้นของน้ำซุป Richness ระดับความมัน Garlic ปริมาณกระเทียม Green Onion ประเภทต้นหอม Chashu ใส่หมูชาชูหรือไม่ Spicy Red Sauce ความเผ็ด Noodle Texture ความนุ่มแข็งของเส้น) เลือกเสร็จ ก็ไปกดเงินซื้อ ข้าว เส้นราเมง และก็อื่นๆที่ตู้เอาจร้า
เลือกมามั่วๆ ได้มาทั้งข้าวทั้งเส้น ที่รู้ๆคือหมูนุ่มอร่อยมากๆ น้ำดื่มก็เปิดจากก๊อกทีติดตั้งไว้ได้เลย
ที่นี่เปิด 24 ชม. ถ้าหิวตอนตี 3 ก็ค่อยมากินอีกรอบละกัน!
ใกล้ๆกันจะเป็น สวนอูเอโนะ กว่าเราจะกินเสร็จ หลงเสร็จ ก็มืดแล้ว ในสวนมีวัดหลายๆวัด เลย แต่ปิดหมดแล้ว
แต่ยังมีพื้นที่อื่นที่ยังเปิดไฟ พอให้เดินชมบรรยากาศทั่วๆได้จร้า
ใกล้ๆกัน เป็นตลาดอะเมโยโก Ameyoko บางร้านยังคงเปิดอยู่ แต่ก็มีหลายร้านที่ทยอยปิดร้านไป แต่เรายังได้ช็อปปิ้งพอได้ซื้อขนม ของฝากติดไม้ติดมือไปนิดหน่อย
ก่อนกลับ เห็นขนมปังร้านนี้เยอะดี เข้าไปดูหน่อยสิ หาอะไรไว้กินแก้หิว
ร้าน Lotteria ขนมปังน่ารักๆทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกเลย ต้องเดาเอาๆ
[CR] Japan in May - เมื่อแม่อยากเที่ยวญี่ปุ่นเดือนพฤษภาคม
ช่วงนี้มีเวลาเยอะ เลยหยิบทริปเมื่อปีที่แล้วมาเขียน เป็นทริปที่คุณแม่ request มาคะ นางเป็นคนเลือกสถานที่เที่ยว ส่วนเราเป็นคนนำทาง พาแม่หลง!! ทริปนี้ไปทั้งหมด 6 วัน ไปเมือง โตเกียว ชิบะ ยามานาชิ
การมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง แต่เป็นครั้งแรกที่เที่ยวกันเอง และเป็นครั้งแรกของแม่ด้วยคะ
ก่อนจะเดินทางมีความกังวลมากในเรื่องของการขึ้นรถ ต่อรถไฟ ขึ้นรถบัส อะไรพวกนี้ เพราะการขนส่งสาธารณะของญี่ปุ่นเยอะมาก รถไฟอะไรเนี่ย เยอะแยะไปหมด เคยเปิดแผนที่ มึนมาก อ่านข้อมูลจนงง ไปหมด ทั้งหาข้อมูลการเดินทางเผื่อๆไว้จดๆ เซฟๆไว้ (พอเอาจริง ที่จดๆไว้ไม่ได้ใช้หรอกแก)
ทำไมพอเวลาจริงๆถึงไม่ได้ใช้ เพราะ ใช้ GPS ของ Google Map อะ มันง่ายมาก นางบอกหมดว่าขึ้นสถานที่ไหน ออกประตูไหน เดินไปอีกกี่เมตร อะไรประมาณเนี่ย ไม่ต้องโหลดแอพอื่นเลย ที่เค้าชอบบอกๆกันว่า เดินทางในญี่ปุ่น ให้โหลดแอพนี่นะๆ ยิ่งเพิ่มความมึนหัวหนักไปใหญ่ ใช้มันนี้แหละ Google Map แอพเดียวจบ
ตอนนั้นซื้อโทรศัพท์มาใหม่ด้วย รูปส่วนใหญ่ในทริป ถ่ายด้วย Samsung Galaxy S 10+ ลื่นไหล สะดวกไปหมด ทั้งกล้อง ทั้ง Google Map
ทริปนี้ไม่ได้ต่อรถไฟอย่างเดียว เราเช่ารถขับด้วย ใช้การต่อรถไฟ หรือรถบัสในการข้ามจังหวัด และเช่ารถขับไปรอบๆเมืองนั้น เพื่อนที่อยากสะดวกสบาย เช่ารถก็เป็นทางเลือกนึงที่น่าสนใจ ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย ขับไม่ยากด้วยคะ
ทริปนี้ ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง
1. ถ้าจะเช่ารถขับที่สำคัญต้องมีใบขับขี่ international ด้วยนะคะ สามารถไปทำที่ขนส่ง ต่อเป็นปีต่อปี ครั้งละ 500 บาท 1-2 วันก็ได้มาแล้วคะ(เราทำที่ภุเก็ต)
2. อีกอย่างที่ควรซื้อมาก่อน พวกบัตรโดยสาร อันนี้ใช้บริการจาก Klook Travel เป็นประจำ อยากได้บัตรอะไร ตั๋วอะไร ก็ซื้อไปเลยแล้วไปรับบัตรจริงที่ประเทศนั่นๆ หรือยื่นด้วยตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ แล้วแต่เงื่อนที่เค้าระบุไว้ ที่เราซื้อไปจะมีบัตรซุยกะ (สำคัญมาก อะไรอะไรก็ซุยกะ รถไฟ ซื้อขนม อะไรส่วนใหญ่ใช้ซุยกะ แทนเป็นเงินสดเลยประมาณนั้น)
3. หัดใช้ และสังเกตฟังก์ชั่นการทำงานของ Google Map แล้วชีวิตจะง่ายขึ้นมาก
4. ถ่ายรูปกระเป๋าเดินทางก่อนขึ้นเครื่อง อันนี้สำคัญ (เราเคยโดนของทริปบาหลี สายการบินทำกระเป๋าหายที่มาเลเซีย แล้วขอดูรูป ดีนะที่มีรูปให้ มีแท็กพร้อม) ตอนนั้นทำประกันกระเป๋าช้าไว้ด้วย (ถ้าเจอเคสแบบนี้ ให้เก็บบิลที่ใช้ในการซื้อของใช้จำเป็นไว้ แล้วก็ เก็บหลักฐานใบแจ้งกระเป๋าหายจากสนามบิน และหลักฐานการมาส่งกระเป๋าให้เราช้าไปกี่วันยังไง)
5. ทำประกันการเดินทางด้วย แนะนำให้ทำชัวร์กว่า คุณแม่ซื้อไว้ 2 อย่าง ของ AIA และของTune Protect Travel (ตอนที่เคลม AIA จ่ายเงินให้เยอะกว่า Tune แต่เราจำค่าเบี้ยประกันไม่ได้แล้ว) คุ้มครองไว้เยอะมาก ** อยากให้เพื่อนๆอ่านเงื่อนไขก่อนออกเดินทางเราจะได้ทราบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องหาเอกสารหรือหลักฐานอะไรบ้างในการใช้เบิกประกัน (ประสบการณ์ตรงเลย กระเป๋าเสียหาย จากสายการบิน Air Asia สุดที่รัก) มาฟังกันนิดนึงว่าต้องทำอะไรบ้าง
- เริ่มจาก ตอนรับกระเป๋า เช็คกระเป๋าก่อนเลย แล้วก็เจอว่ามันแตก (แต่เวรเจ้ากรรม หันไปทางไหน ไม่เห็นจะมีเจ้าหน้าที่ของสายการบิน แอร์เอเชียเลย) เราก็ต้องลากไอกระเป๋าเจ้ากรรม ไปหาเจ้าหน้าที่ที่เคาเตอร์เช็คอิน
- เจ้าหน้าที่ก็ขอดูรูป กระเป๋าก่อนเดินทางด้วย
- เจ้าหน้าที่ออกเอกสารรับประกันกระเป๋าเสียหาย จากสภาพกระเป๋า ตั๋วเครื่องบิน หรือ บอร์ดดิ้งพาส ** เก็บให้ดีๆนะ อย่าเผลอ ขยำทิ้งไป
- ถ่ายรูปสภาพกระเป๋าที่แตก พร้อมกับเอกสารที่สายการบินออกให้ ถ้าใครต้องซื้อใบใหม่ ก็ให้เก็บใบเสร็จเอาไว้ด้วย ทั้งหมดนี้เอาไปใช้ในการเคลมประกันคะ
เราออกเดินทางจากภูเก็ต คืนวันที่ 24 พ.ค. 19 ตอนห้าทุ่ม แวะ ดอนเมือง บินอีกทีตอน 05.00 น. ไปถึงสนามบินนาริตะวันที่ 25 ตอน บ่ายโมงนิดๆ
ลงมาจากเครื่องก็จะงงๆ หน่อย สิ่งที่ต้องมีคือ บัตรซุยกะที่ได้ทำการซื้อทางออนไลน์ กับ Klool Travel แล้ว (อ่านดูเงื่อนไขในตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ เค้าบอกว่า ถ้ารับที่สนามบินนาริตะ ให้ไปรับที่ เคาร์เตอร์ Easygo ทางทิศใต้บริเวณล็อบบี้โดยสารชั้น 1)
เอาจริงๆ ไม่รู้หรอกไหนทิศใต้ ถ้ากวาดตาแล้ว งง มากหาไม่เจอ ให้วิ่งไปที่จุด Information ซึ่งมีหลายจุดมากในสนามบินนาริตะ แล้วถามเค้าได้เลย Easygo Counter พูดสั้นๆ เอาเป็นว่ารู้เรื่องกัน เค้าอาจจะชี้ให้เห็น ถ้ามันอยู่ใกล้ ถ้ามันไกล เค้าจะกางแผนที่ออกมาอธิบาย ว่าต้องไปยังไง
หาตั้งนาน EasyGo เพื่อนๆเห็นไหม ป้ายเล็กๆบนเคาเตอร์ ไอเราก็ แหงนหน้าหาแต่ป้ายใหญ่ๆ (ไม่แน่ใจย้ายที่รึยังนะ)หลังจากได้บัตรซุยกะแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ ไปซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองกัน
เราเลือก Narita Sky Access Line ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่า Skyliner หน่อย แต่ถูกกว่า ถ้าไม่ได้รีบขนาดนั้นก็เซฟตังไปได้ระดับนึง
Narita Sky Access Line ขึ้นที่ไลน์ส้มแบบนี้ แสดงว่าชัวร์และใช่จร้า
อธิบายให้ฟังก่อน การนำทาง พาแม่หลง ก็ไม่ทั้งทริปหรอก ไปฟังการใช้งาน Google Map แบบง่ายๆ
เข้าไปที่ Google Map ในมือถือทำได้เน็อะ (ถ้าหาในคอม สามารถกดส่งเข้าโทรศัพท์ได้ด้วย) ใส่สถานที่ที่ต้องการไป เราใส่จาก สนามบินนาริตะ ไปยัง Green Hotel กดสัญลักษณ์ รถสาธารณะ Google Map จะมีเส้นทางมาให้เราเลือกเยอะมาก ถ้าคลิกเบาๆ ก็จะมีราคาเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ต้องเดินต่ออีกกี่นาที และทุกๆ 20 นาที คือ รถไฟจะออกทุกๆ 20 นาที
เราเลือกอันที่สอง สีส้มๆ คลิกครั้งที่ สาม มันจะขึ้นรายละเอียดของการเดินทางไว้ ให้เราแคปหน้าจอนี้เอาไว้ ฉุกเฉินเวลาไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ในสถานีรถไฟฟ้า
Google Map บอกเราว่า นั่ง Skyliner จากสนามบิน มาลงที่สถานี Keisei Ueno จากนั้นเดินต่อประมาณ 5 นาที (เดินไปทางไหน สังเกตป้ายเอาว่าเราจะไปสายไหน เราไปสายสีส้ม ชื่อ Ginza Line) เดินมั่วๆเอา ตื่นเต้นดี!!
พอมาถึง Ginza Line “G16”ให้ดูว่าเราจะไปสถานีไหนต่อ ที่แผนที่แถวๆนั้น ซึ่ง Google Map บอกอยู่แล้วว่าต้องไปลง Inaricho “G17”
สถานีส่วนใหญ่ ใช้บัตรซุยกะ แตะได้ มีบางเส้นที่ใช้ไม่ได้ ง่ายๆถ้าใช้ไม่ได้ก็ไม่ผ่านตั้งแต่เข้าประตูแล้ว ให้ไปหยอดบัตรเอาที่ตู้แทนคะ
พอหาเจอดูรอบๆเช็คเพื่อความชัวร์ (เราว่านั่งง่ายกว่า กทม. อีก ดูแค่รหัส) หันไปดูเสาสักนิด ตรงนี้คือG16 ไปจนถึง G19 (เราลงก่อนที่ G17) ชัวร์แล้วก็ยื่นรอตรงนี้แหละ
มาถึงแล้ว ที่พักคืนแรกของเรา Green Hotel ห้องค่อนข้างเล็กหน่อย ห้องน้ำเล็กมาก (นึกว่าเข้าห้องน้ำเด็ก) เครื่องอาบน้ำให้ขวดใหญ่ ใช้ซะใจดี มีระเบียงหน้าห้อง เตียงนุ่มสบาย เสียบปลั๊กไทยได้เลย ที่นี่ดีนะใกล้สถานีมากๆ เดินนิดเดียว ไม่ทันเหนื่อย (แต่ แอบ งงตอนใช้ GPS เดินเท้านี่แหละ งงทิศ! ต้องเดินไปไกล ถึงจะรู้ว่าหลง เพราะมันกระตึบช้ากว่านั่งรถ)
ตอนที่จองไปได้ราคา 4,268 บาท ในราคาสามคน ตกคนละ 1,422 บาท
เอากระเป๋ามาเก็บเสร็จแล้ว ไปเที่ยวกันต่อเลย เก็บรูปสักหน่อยให้รู้ว่ามาถึงแล้วนะ
ไปกินข้าวกันที่ Ichiran Ramen หรือ ราเมงข้อสอบ ไม่ต้องอธิบายแล้วเนอะว่ามายังไง ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานี Ueno เดินเลาะมานิดเดียว ร้านอยู่ริมถนนเลยคะ เป็นร้านดังในญี่ปุ่น มีหลายสาขา ทำไมถึงชื่อราเม็งข้อสอบก็เพราะดีไซน์ของร้าน คือเป็นช่องๆแบบต่างคนต่างกิน แต่เราว่ามันเหมือนราเมงคูหาหรือราเมงเลือกตั้งมากกว่า -*-
มาถึงก็ต้องต่อแถวก่อน แถวค่อนข้างยาว เค้าก็จะแจกข้อสอบให้ เอ่ยไม่ใช่ แจกกระดาษสำหรับสั่งอาหาร จริงๆมันคือกระดาษที่เราเลือกรสชาติ (Dashi คือความเข้มข้นของน้ำซุป Richness ระดับความมัน Garlic ปริมาณกระเทียม Green Onion ประเภทต้นหอม Chashu ใส่หมูชาชูหรือไม่ Spicy Red Sauce ความเผ็ด Noodle Texture ความนุ่มแข็งของเส้น) เลือกเสร็จ ก็ไปกดเงินซื้อ ข้าว เส้นราเมง และก็อื่นๆที่ตู้เอาจร้า
เลือกมามั่วๆ ได้มาทั้งข้าวทั้งเส้น ที่รู้ๆคือหมูนุ่มอร่อยมากๆ น้ำดื่มก็เปิดจากก๊อกทีติดตั้งไว้ได้เลย
ที่นี่เปิด 24 ชม. ถ้าหิวตอนตี 3 ก็ค่อยมากินอีกรอบละกัน!
ใกล้ๆกันจะเป็น สวนอูเอโนะ กว่าเราจะกินเสร็จ หลงเสร็จ ก็มืดแล้ว ในสวนมีวัดหลายๆวัด เลย แต่ปิดหมดแล้ว
แต่ยังมีพื้นที่อื่นที่ยังเปิดไฟ พอให้เดินชมบรรยากาศทั่วๆได้จร้า
ใกล้ๆกัน เป็นตลาดอะเมโยโก Ameyoko บางร้านยังคงเปิดอยู่ แต่ก็มีหลายร้านที่ทยอยปิดร้านไป แต่เรายังได้ช็อปปิ้งพอได้ซื้อขนม ของฝากติดไม้ติดมือไปนิดหน่อย
ก่อนกลับ เห็นขนมปังร้านนี้เยอะดี เข้าไปดูหน่อยสิ หาอะไรไว้กินแก้หิว
ร้าน Lotteria ขนมปังน่ารักๆทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกเลย ต้องเดาเอาๆ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้