จากการที่ไม่ได้ออกไปไหน เพราะต้องทำตามมาตราการควบคุมการระบาดของCovid-19 ทำให้ผมสามารถแต่งนิทานปรัมปราได้หนึ่งเรื่อง เลยอยากจะเอามาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันเพลินๆในระหว่างที่ต้องอุดอู้อยู่ที่บ้านครับ แก้เบื่อ555+ ลองอ่านดูนะครับ เรื่องนี้สั้นๆ อ่านแป๊ปเดียวก็จบแล้ว
เรื่อง เป็งละมากับลานนาจตุคต
ภูริภพ เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาชั้นปริญญาโทสาขาวิชาฟิสิกส์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
วันหนึ่งเขาต้องไปทำการสำรวจถ้ำกับคณะเดินทางภาควิชาธรณีวิทยา และอยู่ๆเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อภายในถ้ำที่พวกเขากำลังสำรวจอยู่ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงและก่อให้เกิดการทรุดตัวของหินที่อยู่บนเพดานถ้ำ
ทุกคนต่างพากันวิ่งกรูออกจากถ้ำ และระหว่างความชุลมุนนี้ ภูริภพก็ได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดโดยที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาหรือว่าภาพจริงๆ
ขณะที่เขากำลังจะออกจากปากถ้ำนั้น เขาก็รู้สึกว่าพื้นดินที่เขากำลังเหยียบย่ำอยู่นั้นมันหมุนได้ และยิ่งไปกว่านั้นเขายังมองเห็นภาพสลับไปมาระหว่างภาพเหล่าคณะเดินทางในชุดสำรวจถ้ำที่กำลังวิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างทุลักทุเลสลับกับภาพของคนแปลกหน้าสามคนที่ยืนอยู่หน้าถ้ำในเครื่องแต่งกายพื้นบ้าน ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร และมิหนำซ้ำเขายังมองเห็นใบหน้าของผู้นเหล่านั้นได้ไม่ชัดอีกด้วย
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะเหมือนกับว่าเขากำลังจะเป็นลม และในไม่ช้าหินเจ้ากรรมก้อนหนึ่งก็ได้หล่นลงมากระทบกับศีรษะของเขา
ตุ๊บ!
ภูริภพหมดสติไป... แต่ก่อนที่เขาจะสลบไสลไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกชื่อชื่อหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่ชื่อของเขา และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าของชื่อเป็นใคร
“ใจ้บัวรินก่อ! (นั่นใช่บัวรินไหม)”
เสียงประหลาดร้องเรียกในสำเนียงพื้นเมืองของภาคเหนือ หรือที่เราเรียกกันว่า คำเมือง
หลังจากหมดสติไปหลายชั่วยาม ภูริภพก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาในสภาพที่อ่อนล้า
ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา เขาก็พบกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้ที่มีรูปร่างผอมบางนั่งอยู่ข้างๆเขา และนั่นทำให้เขารีบเบิกตาโพลงและลุกผึงขึ้นมาทันที
ภูริภพจ้องมองใบหน้าที่ยิ้มกรุ้มกริ่มของชายแปลกหน้าพลางเอ่ยถามว่าเขาเป็นใคร
“เป็นจะได๋พ่อง เจ้าปี้อินทร์ นี่ข้าเจ้าเอง เป็งละมา เป็นน้องจายของปี้ จำเฮาได้ก่อ (เป็นยังไงบ้างครับพี่อินทร์ นี่ผมเอง เป็นละมา เป็นน้องชายของพี่ไง พี่จำผมได้ไหม)” ชายแปลกหน้าแนะนำตัว
ภูริภพถึงกับย่นคิ้วด้วยความสงสัยพลางตอบกลับไปเป็นภาษาเหนือบ้างว่า ตนนั้นไม่เข้าใจที่เป็งละมาพูด เพราะตนเองไม่ได้มีชื่อว่าอินทร์
สำเนียงคำเมืองของเป็งละมานั้นช่างฟังดูแตกต่างจากสำเนียงของคนเมือง(คนชาวเหนือ)ในปัจจุบัน เพราะมันฟังดูหนักแน่นและโบราณเอามากๆ มิหนำซ้ำ คำศัพท์และโวหารต่างๆที่ภูริภพได้ฟังจากการพูดของเป็งละมายังเป็นคำศัพท์แปลกๆที่แฝงความโบราณขนานแท้ไว้อีกด้วย แต่ถึงยังไงก็เถอะ ชายหนุ่มก็พอฟังออก เพราะหลายๆอย่างมันก็คล้ายคลึงกับภาษาถิ่นของเขา
“เปิ้นบอกแล้วบ่อใจ้ก่อว่าเปิ้นบ่อใจ้เจ้าอินทร์แหมแล้ว เปิ้นเป๋นคนอื่นไป๋แล้ว (ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าเขาไม่ใช่เจ้าอินทร์แล้ว เขาเป็นคนอื่นไปแล้ว)” เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้นต่อจากเป็งละมา และเมื่อภูริภพหันไปหาต้นเสียง เขาก็พบกับชายชราที่ไว้หนวดเคราเป็นกะเซิงผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงและยังเจอกับคนแปลงหน้ารายใหม่ที่มากับชายชราอีกถึงสามคนโดยต่อมาเป็งละมาก็ได้แนะนำทุกคนให้ภูริภพได้รู้จัก ซึ่งชายชราคือพ่อเฒ่าอินตา ส่วนชายหนุ่มแปลกหน้าที่มีรูปร่างกำยำมีชื่อว่าปิ่นเมืองและหญิงสาวสองคนที่เป็นแม่ลูกกันมีชื่อว่าคำป้อผู้เป็นแม่ และลูกสาวของเธอมีชื่อว่าเอื้องปิง
ภูริภพกวาดสายตามองไปดูผู้คนเหล่านั้นก่อนที่เขาจะพบว่าปิ่นเมืองและเอื้องปิงมองมาที่เขาด้วยสายตาแปลกๆที่ไม่ค่อยจะดีนักแล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปจากที่ที่เป็นห้องพักฟื้นของภูริภพ
หลังจากอาการดีขึ้น ภูริภพก็ได้คุยกับเป็งละมาและพ่อเฒ่าอินตาถึงเรื่องราวต่างๆจนได้ทราบว่าตนเองเคยเกิดเป็นเจ้าชายในราชวงศ์กษัตริย์แห่งล้านนาที่มีนามว่าเจ้าอินทร์ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไร และเป็งละมาก็เป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องของเขาที่สืบเชื้อสายมาจากปู่คนเดียวกันในสมัยนั้น ทั้งคู่เกิดมาในยุคสมัยที่องค์คำและองค์จันทร์ทรงขึ้นครองราชย์
ภูริภพนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยความประหลาดใจ แต่ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากเป็นพิเศษก็คือ เหล่าผู้คนทั้งหมดที่เขาได้พบเจอในสถานที่แห่งนี้เป็นผู้คนที่มีชีวิตตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๐๓ หรือยุคที่องจันทร์ทรงขึ้นครองราชย์ “แล้วพวกเขายังมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบันในปี พ.ศ.๒๕๖๓ ได้อย่างไร”
คำถามของภูริภพพลันคลี่คลายเมื่อเขาได้รับคำตอบว่า เหล่าผู้คนทั้งหมดที่เขาได้เจอต่างก็พากันติดอยู่ในเขตมิติแห่งกาลเวลาพิเศษแห่งนี้ ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าเวลาข้างนอกมิติมันผ่านไปนานเท่าไรหรือปัจจุบันนี้มันเป็นปี พ.ศ. อะไร
มิติกาลเวลาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พิเศษที่เกิดจากความผิดพลาดของคาถากำบังเรือนที่ผู้เฒ่าอินตาบันดาลขึ้นมาจากอำนาจของคตวิเศษ (คต คือเครื่องรางในทางภาคเหนือซึ่งอาจเป็นหินหรืออวัยวะที่เป็นส่วนของแข็งของพืชหรือสัตว์ โดยผู้คนมักจะนำมามาร้อยให้เป็นสร้อยหรือกำไล)
มันเป็นสถานที่ที่มีอาณาเขตไม่กว้างมาก ทางเข้าออกของมันก็คือถ้ำที่ภูริภพผ่านเข้ามา และเมื่อเข้ามาแล้วก็จะพบว่าทุกอย่างในที่แห่งนี้ปกถูกคลุมไปด้วยม่านฟ้าที่มีลักษณะพิเศษ นั่นคือม่านฟ้าในมิติกาลเวลาแห่งนี้หรือมิติพิเศษนี้จะไม่มีวันสว่าง มันมีก็แต่เวลาพลบค่ำจนถึงย่ำรุ่ง ดังนั้นเวลาในมิติแห่งนี้จึงเป็นเวลากลางคืนเสียส่วนใหญ่ และสถานที่ที่อยู่ภายในมิตินี้ก็มีแค่เขตป่าที่กว้างใหญ่พอสมควรและยังมีถ้ำและมีลำธารไหลผ่าน แต่เมื่อทุกคนที่ติดอยู่ในมิติแห่งนี้ พากันเดินสำรวจไปรอบๆก็พบว่ามันมีเขตแดนที่กั้นด้วยหมอกหนาสีเทาที่เมื่อเดินเข้าไปแล้วอำนาจของหมอกนั้นก็บันดาลให้ผู้คนที่เดินผ่านเข้าไป ให้วกเดินกลับเข้ามาในมิติแห่งนี้เช่นเดิม นี่จึงทำให้ไม่มีใครสามารถออกไปจากมิตินี้ได้
หลังจากได้ฟังดังนั้นภูริภพก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากพลางตกใจกลัวว่าตนเองอาจจะต้องติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไปตามๆกัน
ภูริภพถามต่อไปอีกว่ามีใครบ้างที่อยู่ในมิติแห่งนี้ แล้วชายหนุ่มก็ได้รับคำตอบว่าผู้ที่ติดอยู่ในห้วงเวลาหรือมิติพิเศษแห่งนี้ มีทั้งหมด 9 คน ซึ่งก็ได้แก่พ่อเฒ่าอินตา ผู้ที่เป็นตาของเอื้องปิง แม่คำป้อ และพ่อ กาดมูล ผู้ที่เป็นแม่และพ่อของเอื้องปิง และยังมีแม่คำปู้จู้ กับพ่อผาแดง ซึ่งเป็นอาของเอื้องปิง นอกจากนี้ยังมี คำปัน ผู้ที่เป็นลูกชายอายุสิบขวบของแม่คำปู้จู้กับพ่อผาแดง และก็ยังมีปิ่นเมืองกับเป็งละมาอีก นอกนั้นก็ไม่มีมนุษย์คนไหนที่อยู่ในมิติแห่งนี้เลย
สมัยก่อนตอนที่เวลาข้างนอกกับเวลาข้างในยังเดินไปพร้อมๆกันมันมีทั้งกลางวันและกลางคืนที่เหมือนๆกัน แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะออกไปจากมิติแห่งกาลเวลานี้ได้เพราะประตูมิติมันไม่ยอมเปิดให้ออกไป
ถ้าไม่มีคตทั้งสี่ก็จะไม่สามารถออกไปจากมิติแห่งนี้ได้ อำนาจของคตด้านใดด้านหนึ่งต้องมีมากกว่าถ้าข้างนอกมี 1 ข้างในจะต้องมี 3 เราถึงจะสามารถใช้อำนาจของคตที่มากกว่าทำลายอาคมแห่งนี้ได้
แต่ก่อน พวกเขามีคตเพียงแค่ 2 อัน(ของเป็งละมาและของพ่อเฒ่าอินตา) แต่ตอนนี้พวกเขามี 3 อันแล้ว(รวมอันที่ภูริภพใส่มาด้วย) นั่นหมายความว่าพวกสามารถเปิดประตูมิติเพื่อไปหาคตเส้นที่4 ได้แล้ว
แต่อย่างไรเสีย ถึงพวกเขาไม่ออกไปตามหาคตเส้นที่4 มันก็จะมาหาพวกเขาเอง เพราะใครก็ตามที่ถือครองคตทั้งหมด จะต้องมีเหตุบังเอิญให้ผู้ที่ครอบครองพวกมันได้มาพบกันจนทำให้พวกมันมาอยู่กันจนครบทั้งสี่อัน และคตเหล่านี้ก็ถูกเรียกขานว่า ลานนาจตุคต(คตทั้งสี่แห่งล้านนา) เหมือนตอนที่สมัยก่อน ตอนที่แม่จันทร์เป็งผู้ที่เป็นแม่ของเป็งละมาและบัวรินน้องสาวของเอื้องปิงใช้คตที่เหลือสองอันมาตามหาเรา และพวกเขาก็กำลังจะได้เข้ามาในมิติแห่งนี้พร้อมกับนำคตเส้นที่ 3 และเส้นที่ 4 มาด้วย แต่แล้วในที่สุด เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เรื่องผิดปกตินี้เกิดขึ้นเมื่ออยู่ๆร่างของบัวรินและแม่จันทร์เป็งถูกอำนาจบางอย่างหยุดชะงักการเดินทางผ่านประตูมิติเข้ามาและดึงร่างของพวกเขาออกไปจากประตูมิติ และหลังจากนั้นมา ก็ทำให้มิติแห่งนี้มีแต่เวลาพลบค่ำจนถึงย่ำรุ่งเวียนกันไปมา
ในเวลาต่อมาทุกคนที่อยู่ในมิติแห่งนี้ก็ได้สัญญาณการกลับมาของคตเส้นที่ 3 อีกครั้ง ซึ่งเป็นคตอันเดียวกันกับที่บัวรินเคยใส่ตอนที่จะเข้ามาที่นี่ พวกเป็งละมาเลยตามเข้าไปดู แล้วก็พบกับภูริภพหรือเจ้าพี่อินทร์นอนสลบอยู่ในถ้ำแห่งนั้น
จะต้องมีใครสักคนออกไปจากมิติแห่งนี้เพื่อไปตามหาคตเส้นที่ กับบัวรินและแม่จันทร์เป็ง ซึ่งทั้งสองก็น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง ข้างนอกมิตินั่น ในปีพ.ศ 2563 ทุกคนจะต้องออกไปตามหา แล้วพาแม่จันเป็งกับบัวรินกลับมาที่นี่ เพื่อที่ทั้งหมดมดจะได้กลับไปยังเวลาเดิมของพวกเขา
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดคร่าวๆภูริภพก็ถึงกับอึ้ง ชายหนุ่มแทบจะพูดอะไรไม่ออก แต่ก็สัญญาว่าจะช่วยเป็งละมา ปิ่นเมืองและเอื้องปิงออกไปตามหาคนที่ชื่อบัวรินทร์และจันทร์เป็ง โดยคนอื่นๆจะรออยู่ที่นี่ เพื่อเฝ้าห้วงเวลาไว้พร้อมกับคตอีก 1 เส้น ซึ่งก็คือคตของพ่อเฒ่าอินตา เพื่อที่ทั้งหมดจะได้กลับเข้ามาในห้วงเวลาแห่งนี้ได้อีกและใช้มันเป็นทางผ่านกลับไปสู่ห้วงเวลาเดิมที่พวกเขาจากมา นั่นก็คือปีพ.ศ 2303
พวกเขาพักผ่อนเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะพากันเดินทางออกมาจากห้วงมิติแห่งนั้น ภูริภพไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาพักผ่อนนั้นมันนานเท่าไร แต่โชคดีที่การที่ติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้มันทำให้เขาไม่รู้สึกหิวหรือเหนื่อยเหมือนกับเวลาไม่ได้ผ่านไปไหนเลย เมื่อหิวหรือเหนื่อย พอพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง ร่างกายก็เหมือนกับได้ฟื้นฟูส่วนที่มันสึกหรอนั้นขึ้นมาเอง เหมือนเขาไม่ต้องใช้พลังงานใดๆเลย ทำให้จึงไม่ต้องพักผ่อนมาก
และแล้วเวลาออกเดินทางก็ได้มาถึง ภูริภพ เป็งละมา เอื้องปิง และปิ่นเมืองก็พากันผ่านประตูมิติออกมาจากถ้ำ
******
อ่านต่อฟรี
https://www.readawrite.com/?action=user_page&user_id_publisher=3102665&author=a715380264384750a52671a5826b2e62
ผลงานจากการกักตัวอยู่แต่ในห้องเพราะ Covid-19
เรื่อง เป็งละมากับลานนาจตุคต
ภูริภพ เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาชั้นปริญญาโทสาขาวิชาฟิสิกส์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
วันหนึ่งเขาต้องไปทำการสำรวจถ้ำกับคณะเดินทางภาควิชาธรณีวิทยา และอยู่ๆเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อภายในถ้ำที่พวกเขากำลังสำรวจอยู่ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงและก่อให้เกิดการทรุดตัวของหินที่อยู่บนเพดานถ้ำ
ทุกคนต่างพากันวิ่งกรูออกจากถ้ำ และระหว่างความชุลมุนนี้ ภูริภพก็ได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดโดยที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาหรือว่าภาพจริงๆ
ขณะที่เขากำลังจะออกจากปากถ้ำนั้น เขาก็รู้สึกว่าพื้นดินที่เขากำลังเหยียบย่ำอยู่นั้นมันหมุนได้ และยิ่งไปกว่านั้นเขายังมองเห็นภาพสลับไปมาระหว่างภาพเหล่าคณะเดินทางในชุดสำรวจถ้ำที่กำลังวิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างทุลักทุเลสลับกับภาพของคนแปลกหน้าสามคนที่ยืนอยู่หน้าถ้ำในเครื่องแต่งกายพื้นบ้าน ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร และมิหนำซ้ำเขายังมองเห็นใบหน้าของผู้นเหล่านั้นได้ไม่ชัดอีกด้วย
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะเหมือนกับว่าเขากำลังจะเป็นลม และในไม่ช้าหินเจ้ากรรมก้อนหนึ่งก็ได้หล่นลงมากระทบกับศีรษะของเขา
ตุ๊บ!
ภูริภพหมดสติไป... แต่ก่อนที่เขาจะสลบไสลไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกชื่อชื่อหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่ชื่อของเขา และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าของชื่อเป็นใคร
“ใจ้บัวรินก่อ! (นั่นใช่บัวรินไหม)”
เสียงประหลาดร้องเรียกในสำเนียงพื้นเมืองของภาคเหนือ หรือที่เราเรียกกันว่า คำเมือง
หลังจากหมดสติไปหลายชั่วยาม ภูริภพก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาในสภาพที่อ่อนล้า
ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา เขาก็พบกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้ที่มีรูปร่างผอมบางนั่งอยู่ข้างๆเขา และนั่นทำให้เขารีบเบิกตาโพลงและลุกผึงขึ้นมาทันที
ภูริภพจ้องมองใบหน้าที่ยิ้มกรุ้มกริ่มของชายแปลกหน้าพลางเอ่ยถามว่าเขาเป็นใคร
“เป็นจะได๋พ่อง เจ้าปี้อินทร์ นี่ข้าเจ้าเอง เป็งละมา เป็นน้องจายของปี้ จำเฮาได้ก่อ (เป็นยังไงบ้างครับพี่อินทร์ นี่ผมเอง เป็นละมา เป็นน้องชายของพี่ไง พี่จำผมได้ไหม)” ชายแปลกหน้าแนะนำตัว
ภูริภพถึงกับย่นคิ้วด้วยความสงสัยพลางตอบกลับไปเป็นภาษาเหนือบ้างว่า ตนนั้นไม่เข้าใจที่เป็งละมาพูด เพราะตนเองไม่ได้มีชื่อว่าอินทร์
สำเนียงคำเมืองของเป็งละมานั้นช่างฟังดูแตกต่างจากสำเนียงของคนเมือง(คนชาวเหนือ)ในปัจจุบัน เพราะมันฟังดูหนักแน่นและโบราณเอามากๆ มิหนำซ้ำ คำศัพท์และโวหารต่างๆที่ภูริภพได้ฟังจากการพูดของเป็งละมายังเป็นคำศัพท์แปลกๆที่แฝงความโบราณขนานแท้ไว้อีกด้วย แต่ถึงยังไงก็เถอะ ชายหนุ่มก็พอฟังออก เพราะหลายๆอย่างมันก็คล้ายคลึงกับภาษาถิ่นของเขา
“เปิ้นบอกแล้วบ่อใจ้ก่อว่าเปิ้นบ่อใจ้เจ้าอินทร์แหมแล้ว เปิ้นเป๋นคนอื่นไป๋แล้ว (ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าเขาไม่ใช่เจ้าอินทร์แล้ว เขาเป็นคนอื่นไปแล้ว)” เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้นต่อจากเป็งละมา และเมื่อภูริภพหันไปหาต้นเสียง เขาก็พบกับชายชราที่ไว้หนวดเคราเป็นกะเซิงผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงและยังเจอกับคนแปลงหน้ารายใหม่ที่มากับชายชราอีกถึงสามคนโดยต่อมาเป็งละมาก็ได้แนะนำทุกคนให้ภูริภพได้รู้จัก ซึ่งชายชราคือพ่อเฒ่าอินตา ส่วนชายหนุ่มแปลกหน้าที่มีรูปร่างกำยำมีชื่อว่าปิ่นเมืองและหญิงสาวสองคนที่เป็นแม่ลูกกันมีชื่อว่าคำป้อผู้เป็นแม่ และลูกสาวของเธอมีชื่อว่าเอื้องปิง
ภูริภพกวาดสายตามองไปดูผู้คนเหล่านั้นก่อนที่เขาจะพบว่าปิ่นเมืองและเอื้องปิงมองมาที่เขาด้วยสายตาแปลกๆที่ไม่ค่อยจะดีนักแล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปจากที่ที่เป็นห้องพักฟื้นของภูริภพ
หลังจากอาการดีขึ้น ภูริภพก็ได้คุยกับเป็งละมาและพ่อเฒ่าอินตาถึงเรื่องราวต่างๆจนได้ทราบว่าตนเองเคยเกิดเป็นเจ้าชายในราชวงศ์กษัตริย์แห่งล้านนาที่มีนามว่าเจ้าอินทร์ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไร และเป็งละมาก็เป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องของเขาที่สืบเชื้อสายมาจากปู่คนเดียวกันในสมัยนั้น ทั้งคู่เกิดมาในยุคสมัยที่องค์คำและองค์จันทร์ทรงขึ้นครองราชย์
ภูริภพนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยความประหลาดใจ แต่ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากเป็นพิเศษก็คือ เหล่าผู้คนทั้งหมดที่เขาได้พบเจอในสถานที่แห่งนี้เป็นผู้คนที่มีชีวิตตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๐๓ หรือยุคที่องจันทร์ทรงขึ้นครองราชย์ “แล้วพวกเขายังมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบันในปี พ.ศ.๒๕๖๓ ได้อย่างไร”
คำถามของภูริภพพลันคลี่คลายเมื่อเขาได้รับคำตอบว่า เหล่าผู้คนทั้งหมดที่เขาได้เจอต่างก็พากันติดอยู่ในเขตมิติแห่งกาลเวลาพิเศษแห่งนี้ ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าเวลาข้างนอกมิติมันผ่านไปนานเท่าไรหรือปัจจุบันนี้มันเป็นปี พ.ศ. อะไร
มิติกาลเวลาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พิเศษที่เกิดจากความผิดพลาดของคาถากำบังเรือนที่ผู้เฒ่าอินตาบันดาลขึ้นมาจากอำนาจของคตวิเศษ (คต คือเครื่องรางในทางภาคเหนือซึ่งอาจเป็นหินหรืออวัยวะที่เป็นส่วนของแข็งของพืชหรือสัตว์ โดยผู้คนมักจะนำมามาร้อยให้เป็นสร้อยหรือกำไล)
มันเป็นสถานที่ที่มีอาณาเขตไม่กว้างมาก ทางเข้าออกของมันก็คือถ้ำที่ภูริภพผ่านเข้ามา และเมื่อเข้ามาแล้วก็จะพบว่าทุกอย่างในที่แห่งนี้ปกถูกคลุมไปด้วยม่านฟ้าที่มีลักษณะพิเศษ นั่นคือม่านฟ้าในมิติกาลเวลาแห่งนี้หรือมิติพิเศษนี้จะไม่มีวันสว่าง มันมีก็แต่เวลาพลบค่ำจนถึงย่ำรุ่ง ดังนั้นเวลาในมิติแห่งนี้จึงเป็นเวลากลางคืนเสียส่วนใหญ่ และสถานที่ที่อยู่ภายในมิตินี้ก็มีแค่เขตป่าที่กว้างใหญ่พอสมควรและยังมีถ้ำและมีลำธารไหลผ่าน แต่เมื่อทุกคนที่ติดอยู่ในมิติแห่งนี้ พากันเดินสำรวจไปรอบๆก็พบว่ามันมีเขตแดนที่กั้นด้วยหมอกหนาสีเทาที่เมื่อเดินเข้าไปแล้วอำนาจของหมอกนั้นก็บันดาลให้ผู้คนที่เดินผ่านเข้าไป ให้วกเดินกลับเข้ามาในมิติแห่งนี้เช่นเดิม นี่จึงทำให้ไม่มีใครสามารถออกไปจากมิตินี้ได้
หลังจากได้ฟังดังนั้นภูริภพก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากพลางตกใจกลัวว่าตนเองอาจจะต้องติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไปตามๆกัน
ภูริภพถามต่อไปอีกว่ามีใครบ้างที่อยู่ในมิติแห่งนี้ แล้วชายหนุ่มก็ได้รับคำตอบว่าผู้ที่ติดอยู่ในห้วงเวลาหรือมิติพิเศษแห่งนี้ มีทั้งหมด 9 คน ซึ่งก็ได้แก่พ่อเฒ่าอินตา ผู้ที่เป็นตาของเอื้องปิง แม่คำป้อ และพ่อ กาดมูล ผู้ที่เป็นแม่และพ่อของเอื้องปิง และยังมีแม่คำปู้จู้ กับพ่อผาแดง ซึ่งเป็นอาของเอื้องปิง นอกจากนี้ยังมี คำปัน ผู้ที่เป็นลูกชายอายุสิบขวบของแม่คำปู้จู้กับพ่อผาแดง และก็ยังมีปิ่นเมืองกับเป็งละมาอีก นอกนั้นก็ไม่มีมนุษย์คนไหนที่อยู่ในมิติแห่งนี้เลย
สมัยก่อนตอนที่เวลาข้างนอกกับเวลาข้างในยังเดินไปพร้อมๆกันมันมีทั้งกลางวันและกลางคืนที่เหมือนๆกัน แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะออกไปจากมิติแห่งกาลเวลานี้ได้เพราะประตูมิติมันไม่ยอมเปิดให้ออกไป
ถ้าไม่มีคตทั้งสี่ก็จะไม่สามารถออกไปจากมิติแห่งนี้ได้ อำนาจของคตด้านใดด้านหนึ่งต้องมีมากกว่าถ้าข้างนอกมี 1 ข้างในจะต้องมี 3 เราถึงจะสามารถใช้อำนาจของคตที่มากกว่าทำลายอาคมแห่งนี้ได้
แต่ก่อน พวกเขามีคตเพียงแค่ 2 อัน(ของเป็งละมาและของพ่อเฒ่าอินตา) แต่ตอนนี้พวกเขามี 3 อันแล้ว(รวมอันที่ภูริภพใส่มาด้วย) นั่นหมายความว่าพวกสามารถเปิดประตูมิติเพื่อไปหาคตเส้นที่4 ได้แล้ว
แต่อย่างไรเสีย ถึงพวกเขาไม่ออกไปตามหาคตเส้นที่4 มันก็จะมาหาพวกเขาเอง เพราะใครก็ตามที่ถือครองคตทั้งหมด จะต้องมีเหตุบังเอิญให้ผู้ที่ครอบครองพวกมันได้มาพบกันจนทำให้พวกมันมาอยู่กันจนครบทั้งสี่อัน และคตเหล่านี้ก็ถูกเรียกขานว่า ลานนาจตุคต(คตทั้งสี่แห่งล้านนา) เหมือนตอนที่สมัยก่อน ตอนที่แม่จันทร์เป็งผู้ที่เป็นแม่ของเป็งละมาและบัวรินน้องสาวของเอื้องปิงใช้คตที่เหลือสองอันมาตามหาเรา และพวกเขาก็กำลังจะได้เข้ามาในมิติแห่งนี้พร้อมกับนำคตเส้นที่ 3 และเส้นที่ 4 มาด้วย แต่แล้วในที่สุด เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เรื่องผิดปกตินี้เกิดขึ้นเมื่ออยู่ๆร่างของบัวรินและแม่จันทร์เป็งถูกอำนาจบางอย่างหยุดชะงักการเดินทางผ่านประตูมิติเข้ามาและดึงร่างของพวกเขาออกไปจากประตูมิติ และหลังจากนั้นมา ก็ทำให้มิติแห่งนี้มีแต่เวลาพลบค่ำจนถึงย่ำรุ่งเวียนกันไปมา
ในเวลาต่อมาทุกคนที่อยู่ในมิติแห่งนี้ก็ได้สัญญาณการกลับมาของคตเส้นที่ 3 อีกครั้ง ซึ่งเป็นคตอันเดียวกันกับที่บัวรินเคยใส่ตอนที่จะเข้ามาที่นี่ พวกเป็งละมาเลยตามเข้าไปดู แล้วก็พบกับภูริภพหรือเจ้าพี่อินทร์นอนสลบอยู่ในถ้ำแห่งนั้น
จะต้องมีใครสักคนออกไปจากมิติแห่งนี้เพื่อไปตามหาคตเส้นที่ กับบัวรินและแม่จันทร์เป็ง ซึ่งทั้งสองก็น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง ข้างนอกมิตินั่น ในปีพ.ศ 2563 ทุกคนจะต้องออกไปตามหา แล้วพาแม่จันเป็งกับบัวรินกลับมาที่นี่ เพื่อที่ทั้งหมดมดจะได้กลับไปยังเวลาเดิมของพวกเขา
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดคร่าวๆภูริภพก็ถึงกับอึ้ง ชายหนุ่มแทบจะพูดอะไรไม่ออก แต่ก็สัญญาว่าจะช่วยเป็งละมา ปิ่นเมืองและเอื้องปิงออกไปตามหาคนที่ชื่อบัวรินทร์และจันทร์เป็ง โดยคนอื่นๆจะรออยู่ที่นี่ เพื่อเฝ้าห้วงเวลาไว้พร้อมกับคตอีก 1 เส้น ซึ่งก็คือคตของพ่อเฒ่าอินตา เพื่อที่ทั้งหมดจะได้กลับเข้ามาในห้วงเวลาแห่งนี้ได้อีกและใช้มันเป็นทางผ่านกลับไปสู่ห้วงเวลาเดิมที่พวกเขาจากมา นั่นก็คือปีพ.ศ 2303
พวกเขาพักผ่อนเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะพากันเดินทางออกมาจากห้วงมิติแห่งนั้น ภูริภพไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาพักผ่อนนั้นมันนานเท่าไร แต่โชคดีที่การที่ติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้มันทำให้เขาไม่รู้สึกหิวหรือเหนื่อยเหมือนกับเวลาไม่ได้ผ่านไปไหนเลย เมื่อหิวหรือเหนื่อย พอพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง ร่างกายก็เหมือนกับได้ฟื้นฟูส่วนที่มันสึกหรอนั้นขึ้นมาเอง เหมือนเขาไม่ต้องใช้พลังงานใดๆเลย ทำให้จึงไม่ต้องพักผ่อนมาก
และแล้วเวลาออกเดินทางก็ได้มาถึง ภูริภพ เป็งละมา เอื้องปิง และปิ่นเมืองก็พากันผ่านประตูมิติออกมาจากถ้ำ
******
อ่านต่อฟรี
https://www.readawrite.com/?action=user_page&user_id_publisher=3102665&author=a715380264384750a52671a5826b2e62