ที่มาของการตั้งกระทู้
จากที่การทำงานในโรงพยาบาลจะถูกแบ่งเป็นสายงาน คือ กลุ่มวิชาชีพ และ กลุ่มสนับสนุน
กลุ่มวิชาชีพ เช่น หมอ เภสัชกร ทันตแพทย พยาบาล รวมถึงผู้ช่วย
กลุ่มสนับสนุน เช่น เจ้าหน้าที่บัญชี คลังเวชภัณฑ์ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบุคคล เป็นต้น
จากที่ทราบกันมา จะมีไม่กี่อาชีพที่ได้เป็นข้าราชการ 100% ถ้าเข้ามาทำในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งก็อาจจะใช่ในส่วนที่เขาคือบุคคลที่มีคุณภาพ และเรียนมาเยอะกว่าคนอื่น
ส่วนกลุ่มพยาบาล จบมาทำงานในระบบราชการ ก็เป็นลูกจ้างและทางกระทรวงจะค่อยๆปรับย้อนหลัง
มองในภาพของโรงพยาบาลแล้ว คือ สถานที่ให้การบริการเกี่ยวกับสุขภาพ คือ ทั้งตรวจ รักษา และป้องกันโรคให้แก่ประชาชน และมีเตียงสำหรับรับคนไข้เข้าพักรักษาตัว (ความหมายตามพจนานุกรม) ถูกต้องแล้วที่จะสนใจในส่วนงานของกลุ่มวิชาชีพ การพัฒนา เรียนต่อ ประชุมอบรม ในสายอาชีพกลุ่มวิชาชีพนั้น ความเท่าเทียมก็น้อยครับ ระดับของข้าราชการในปัจจุบัน คือ ปฏิบัติการ ชำนาญการ ชำนาญการพิเศษและเชี่ยวชาญ การขึ้นตำแหน่งของข้าราชการแต่ละอาชีพก็มีความแตกต่างกันพอสมควรเช่น พยาบาลจะมีตำแหน่งจำกัดที่จะได้เป็นข้าราชการระดับเชี่ยวชาญ (อันนี้ จขกท.)จะไม่พูดถึงครับ
เนื่องจากโรงพยาบาลของรัฐยังคงมีสายสนับสนุนด้วย ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งในฟันเฟืองของการขับเคลื่อนโรงพยาบาลของรัฐรวมถึงเอกชน (จขกท จะพูดถึง รพ. รัฐครับ) ปัจจุบันเท่าที่ทราบในสายสนับสนุน มีส่วนน้อยมากที่จะเป็นข้าราชการ ส่วนมาก เป็นลูกจ้าง (ในปัจจุบันก็มีแค่รายคาบคือ ทำงานรายชั่วโมงครับ) แต่ไม่เคยได้ทำเท่าชั่วโมงมีปะชุมทีกลับเงินเลยครับ ต่อมาก็พนังงากระทรวง เงินรายรับ ประมาณ 13300 บาท ดีขึ้นมาแต่ต้องต่อสัญญา พนักงานราชการ เงินประมาณ 18000 บาท ครับดูดีใช่ไหมครับ แต่!!!!!!! ตำแหน่งพนักงานราชการ จะมีให้แค่ปี ละคน ครับ ตามความเห็น จขกท ทำให้เด็กใหม่ไฟแรงในปัจจุบันย้ายกันหมด
จากที่กล่าวมายังไม่นับรวมถึงการประชุมที่ต่างจังหวัดครับ ด้วยหนังสือเชิญฉบับเดียวกัน การเดินทางไปประชุมนั้น แพทย์สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ ซึ่งสายสนันสนุนน่อยมากที่จะสามารถไปตามเบิกค่าโดยสารทางอากาศได้ ในทางทฤษฎี ซึ่งในทางปฏิบัติอาจจะมีคนต้องเพิ่มเงินตัวเองและเบิกแค่ เท่าค่ารถโดยสาร
ทั้งนี้ จขกท เองมีความสงสัยอย่างมากว่าถ้าจะกดกลุ่มอาชีพสายสนับสนุนขนาดนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขนั้นควรมีการประชุมหารือ ที่จะปรับลดสายสนับสนุน และส่งสายงานวิชาชีพไปเรียนทำเอกสารทำบัญชี หรืออื่นๆ จะดีไหมครับ
ปล.การที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งในประเทศไทยหรือต่างประเทศนั้นการที่จะทำให้องค์กรนั่นๆก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน ควรจะให้ความสำคัญกับทุกส่วนงานไม่ใช่ส่วนงานใดหน่วยงานหนึ่งขอบคุณครับ
ปล.2. ถ้ามีแนวทางการเสนอไปที่กระทรวงรบกวน เสนอในผมทราบครับ และถ้าส่งไปได้เราสามารถรู้ได้อย่างไรว่าเขา จะรับรู้และรับทราบครับ
ทำไมโรงพยาบาลถึงไม่นำกลุ่มวิชาชีพมาทำงานทั้งหมด
จากที่การทำงานในโรงพยาบาลจะถูกแบ่งเป็นสายงาน คือ กลุ่มวิชาชีพ และ กลุ่มสนับสนุน
กลุ่มวิชาชีพ เช่น หมอ เภสัชกร ทันตแพทย พยาบาล รวมถึงผู้ช่วย
กลุ่มสนับสนุน เช่น เจ้าหน้าที่บัญชี คลังเวชภัณฑ์ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบุคคล เป็นต้น
จากที่ทราบกันมา จะมีไม่กี่อาชีพที่ได้เป็นข้าราชการ 100% ถ้าเข้ามาทำในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งก็อาจจะใช่ในส่วนที่เขาคือบุคคลที่มีคุณภาพ และเรียนมาเยอะกว่าคนอื่น
ส่วนกลุ่มพยาบาล จบมาทำงานในระบบราชการ ก็เป็นลูกจ้างและทางกระทรวงจะค่อยๆปรับย้อนหลัง
มองในภาพของโรงพยาบาลแล้ว คือ สถานที่ให้การบริการเกี่ยวกับสุขภาพ คือ ทั้งตรวจ รักษา และป้องกันโรคให้แก่ประชาชน และมีเตียงสำหรับรับคนไข้เข้าพักรักษาตัว (ความหมายตามพจนานุกรม) ถูกต้องแล้วที่จะสนใจในส่วนงานของกลุ่มวิชาชีพ การพัฒนา เรียนต่อ ประชุมอบรม ในสายอาชีพกลุ่มวิชาชีพนั้น ความเท่าเทียมก็น้อยครับ ระดับของข้าราชการในปัจจุบัน คือ ปฏิบัติการ ชำนาญการ ชำนาญการพิเศษและเชี่ยวชาญ การขึ้นตำแหน่งของข้าราชการแต่ละอาชีพก็มีความแตกต่างกันพอสมควรเช่น พยาบาลจะมีตำแหน่งจำกัดที่จะได้เป็นข้าราชการระดับเชี่ยวชาญ (อันนี้ จขกท.)จะไม่พูดถึงครับ
เนื่องจากโรงพยาบาลของรัฐยังคงมีสายสนับสนุนด้วย ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งในฟันเฟืองของการขับเคลื่อนโรงพยาบาลของรัฐรวมถึงเอกชน (จขกท จะพูดถึง รพ. รัฐครับ) ปัจจุบันเท่าที่ทราบในสายสนับสนุน มีส่วนน้อยมากที่จะเป็นข้าราชการ ส่วนมาก เป็นลูกจ้าง (ในปัจจุบันก็มีแค่รายคาบคือ ทำงานรายชั่วโมงครับ) แต่ไม่เคยได้ทำเท่าชั่วโมงมีปะชุมทีกลับเงินเลยครับ ต่อมาก็พนังงากระทรวง เงินรายรับ ประมาณ 13300 บาท ดีขึ้นมาแต่ต้องต่อสัญญา พนักงานราชการ เงินประมาณ 18000 บาท ครับดูดีใช่ไหมครับ แต่!!!!!!! ตำแหน่งพนักงานราชการ จะมีให้แค่ปี ละคน ครับ ตามความเห็น จขกท ทำให้เด็กใหม่ไฟแรงในปัจจุบันย้ายกันหมด
จากที่กล่าวมายังไม่นับรวมถึงการประชุมที่ต่างจังหวัดครับ ด้วยหนังสือเชิญฉบับเดียวกัน การเดินทางไปประชุมนั้น แพทย์สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ ซึ่งสายสนันสนุนน่อยมากที่จะสามารถไปตามเบิกค่าโดยสารทางอากาศได้ ในทางทฤษฎี ซึ่งในทางปฏิบัติอาจจะมีคนต้องเพิ่มเงินตัวเองและเบิกแค่ เท่าค่ารถโดยสาร
ทั้งนี้ จขกท เองมีความสงสัยอย่างมากว่าถ้าจะกดกลุ่มอาชีพสายสนับสนุนขนาดนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขนั้นควรมีการประชุมหารือ ที่จะปรับลดสายสนับสนุน และส่งสายงานวิชาชีพไปเรียนทำเอกสารทำบัญชี หรืออื่นๆ จะดีไหมครับ
ปล.การที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งในประเทศไทยหรือต่างประเทศนั้นการที่จะทำให้องค์กรนั่นๆก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน ควรจะให้ความสำคัญกับทุกส่วนงานไม่ใช่ส่วนงานใดหน่วยงานหนึ่งขอบคุณครับ
ปล.2. ถ้ามีแนวทางการเสนอไปที่กระทรวงรบกวน เสนอในผมทราบครับ และถ้าส่งไปได้เราสามารถรู้ได้อย่างไรว่าเขา จะรับรู้และรับทราบครับ