พอดีตอนนี้เราท้องอยู่ แล้วก็อยู่ที่ตปท ด้วย ชีวิตไม่มีอะไรเลยตอนนี้เงินสักบาทก็ไม่มี ที่อยู่เป็นหลักแหล่งก็ไม่มี อาศัยอยู่บ้านเพื่อน บ้านคนรู้จักไปเป็นวันๆ แต่ต้องพยายามหาที่อยู่ใหม่ตลอดเพราะเราไม่อยากรบกวนคนอื่นมากเกินไป ตอนแรกเราก็ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปทำงานหาเงินไปก็ไม่เดือดร้อนอะไร ตอนที่ทำงานหาเงินได้ก็ไม่ค่อยมีเก็บด้วยความที่ว่าเป็นคนใจอ่อนและเห็นคนอื่นเดือดร้อนไม่ได้ ถ้ามีคนขอความช่วยเหลืออะไรก็ช่างหรือใครก็ตามถ้าเราช่วยได้เราช่วยแบบไม่คิดถึงตัวเองเลย จนถึงขนาดที่ว่าเห็นคนอื่นเดือดร้อนถ้าเรามีเราให้หมดจนเราไม่เหลืออะไรเลยเราก็จะช่วยเพราะเราคิดว่าเราทำงานหาเงินใหม่ก็ได้ เวลามีคนมาขอความช่วยเหลือเราเลยให้แบบไม่คิดอะไรเพราะชีวิตเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย แต่ปัญหาของเรามันเริ่มต้นเมื่อเรารู้ว่าเราท้อง แล้วตอนนั้นก็เป็นช่วงที่แฟนของเราก็มีปัญหาส่วนตัวของเขา ส่วนตัวเขาก็ค่อนข้างเครียดแล้วช่วงนั้นเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนไม่ค่อยพูดเหมือนเป็นคนที่มีอะไรให้คิดตลอด ตัวเราเห็นแฟนเป็นแบบนั้นก็รู้สึกแย่มากแล้วพอมารู้ตัวว่าตัวเองท้องตอนแรกเราก็คิดว่าจะยังไม่บอกเพราะเห็นว่าสถานะฝการณ์ก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ กลัวจะทำให้เขาเครียดมากกว่าเดิม เราเลยเล่าเรื่องที่เราท้องให้เพื่อนฟังว่าจะบอกแฟนกับบอกครอบครัวเรายังไง แล้วก็มีเพื่อนคนนึงเสนอความคิดในแนวทางที่ต่างกันกับคนอื่น เขาบอกว่าให้เราคิดทบทวนดีๆว่าจริงๆแล้วเราพร้อมที่จะมีน้องจริงๆหรือเปล่า ถ้าเรามีน้องคือเราอาจจะต้องเสียอะไรหลายๆอย่างในชีวิต เสียโอกาสที่ดีในการทำงาน อาจจะเสียอนาคตที่ดีกว่าไป แล้วผู้ชายเขาจะรับผิดชอบเราได้แค่ไหน มีความมั่นคงให้เราได้เท่าไหร่ อีกอย่างจะบอกเรื่องนี้กับครอบครัวยังไงเพราะครอบครัวเราก็ไม่ได้รับรู้ว่าเรามีแฟนมาก่อน คนรอบข้างจะมองเรากับครอบครัวยังไง เรามาทำงานที่นี่อนาคตก็ยังมองค่อยจะเห็นยังไม่ประสบผลสำเร็จเลยว่าแบบนั้นเลยก็ได้แล้วยังท้องอีกถ้าครอบครัวผู้ชายไม่รับเรากับลูกจะทำยังไงหลายเหตุผลบลาบลาบลา เขาก็บอกเราให้คิดดูดีๆถ้าไม่พร้อมจริงๆก็ให้เลือกทางที่จะตัดปัญหาดีกว่า ตอนนั้นเราก็คล้อยตามนะ เราก็คิดว่าเราต้องบอกพ่อน้องเรื่องนี้แล้วจะได้ปรึกษากันว่าจะจัดการยังไง ตอนนั้นเรามั่นใจว่าพ่อน้องต้องรับผิดชอบหาทางออกที่ดีสำหรับตัวเราเองและตัวน้องเพราะเขาเองก็มีหน้าที่การงานที่สามารถจะพอช่วยเหลือเราได้บ้างแค่สู้ๆอยู่ข้างๆกันไปคงผ่านปัญหานี้ได้ แต่ผลที่ออกมาตรงกันข้าม หลังจากที่เราบอกเขาเขาบอกเราว่าให้เอาน้องออกเท่านั้น เขาไม่พร้อมที่จะมีครอบครัวตอนนี้ ถึงเราจะเก็บน้องไว้เราก็ไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงน้องได้ดีหรอก เพราะหลายๆอย่างยังไม่พร้อม ตอนนั้นเราเครียดมากเพราะตัวเราเองอยากที่จะเก็บน้องไว้เพราะเราเป็นคนที่ทำให้เขาเกิดขึ้นมาเราก็ต้องรับผิดชอบเขาให้ได้ เราหาวิธีทางพูดคุยหว่านล้อมกับพ่อน้องเพื่อให้เขาใจอ่อนและมาสร้างครอบครัวกับเราเราไม่อยากให้ลูกเราเป็นลูกที่ไม่มีพ่อแต่ก็ไม่ได้ผล จนสุดท้ายเราตัดใจและคิดว่าไม่เป็นไรถ้าน้องไม่มีพ่อ เราจะเลี้ยงลูกด้วยตัวของเราเองก็ได้แต่ก็ยังคงต่องการความช่วยเหลือจากเขาเพราะเราเองคิดว่ามันก็ไม่ได้ยากเกินที่เขาจะทำให้เราได้ ตอนนั้นเราขอให้เขาช่วยเรา เราแพลนไว้ว่าเราจะทำงานต่อจนถึงห้าหกเดือนเราจะเก็บเงินให้ได้มากที่สุดสำหรับใช้ดูแลตัวเองจนถึงวันคลอด รวมถึงจ่ายค่าทำคลอดกับดูแลตัวเองกับลูกจนถึงวันที่เรากลับมาทำงานได้ เราก็จะไม่รบกวนอะไรเขาอีก สิ่งที่เราขอจากเขาคือในช่วงระยะเวลาที่เราทำงานไม่ได้ถ้าเราขาดเหลือหรือมีปัญหาอะไรจริงๆเราอยากให้เขาช่วยเหลือเราเท่าที่เขาจะช่วยได้ไม่ได้กำหนดว่าต้องช่วยมากแค่ไหนอะไรยังไง เอาที่ว่าเขาช่วยเราได้แล้วตัวเขาเองไม่ลำบากด้วย แต่ก็เหมือนเดิมเขาเบือกที่จะปฏิเสธและบอกเราให้เอาน้องออกเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างเขาจะเป็นคนจัดการให้และความสัมพันธ์ของเรากับเขาก็จะไม่เปลี่ยนไป ยังคบกันต่อและเขาจะพยายามดูปลเราให้ดีกว่าเดิม แต่ด้วยความที่เราตั้งใจไว้แล้วว่าเราจะเลี้ยงจะดูแลลุกของเราให้ได้เราเลยเลือกจะออกจากชีวิตของเขาแล้วมาทำงานต่อสู้เพื่อลูกของเรา แต่พอเราทำงานได้สักพักปัญหาก็เกิดขึ้นมาอีก เพราะล็อคดาวน์ เราทำงานต่อไม่ได้เราหาเงินไม่ได้ ถ้าดลือกที่จะกลับไทยตั้งแต่ตอนช่วงเริ่มต้นก็ไม่กล้ากลับเพราะครอบครัวยังไม่รู้เรื่องและเราเองก็ยังไม่กล้าเล่าให้ฟัง เราเลยเลือกที่จะอยู่ต่อ เราเริ่มใช้เงินที่เราเก็บจากการทำงานจ่ายค่าห้อง ใช้กินใช้จ่าย และเรายังดูแลน้องคนนึงที่รู้จักกันเพราะตอนนั้นน้องเขาก็มีปัญหาฝากเงินทำงานไว้กับผู้ใหญ่คนนึงทั้งหมดแต่สุดท้ายคนนั้นก็หายไปติดต่อไม่ได้เราเองก็สงสารให้ทิ้งก็ทำไม่ลงเลยให้มากินอยู่ด้วย ค่าใช้จ่ายเลยเพิ่มขึ้นพอสมควร เงินที่เราเก็บมาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว จนเราคิดว่าเราคงอยู่แบบนี้ไม่ไหวถ้าอยู่แบบนี้สักวันเงินต้องหมดแน่นอนกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น สุดท้ายเราเลยตัดสินใจเลือกบอกครอบครัวของเรา หลังจากที่แม่เรารู้เรื่องแม่เราก็บอกให้กลับบ้านเรื่องลูกเราพ่อกับแม่เราจะช่วยเลี้ยงเอง ไม่ต้องแคร์ว่าจะไม่มีพ่อ ไม่ต้องแคร์เสียงคนรอบข้าง คนในครอบครัวยังอยู่ข้างเราเหมือนเดิม แม่ขอให้เรากลับให้เร็วที่สุดเราก็ตอบตกลงไปว่าเราจะรีบกลับให้เร็วที่สุด ตอนนั้นแม่เรากลัวว่าเราจะเงินไม่พอเพราพเฉพาะค่าเครื่องกลับก็ปาไปสามหมื่นกว่าแล้ว กลัวเกิดปัญหาหรือเกิดอะไรฉุกเฉินแม่เราเลยโอนเงินมาให้เราติดตัวไว้อีกสองหมื่นโดยเลือกโอนให้กับเจ้าของห้องที่เราเช่าและเป็นคนที่จัดหางานให้เราด้วย เพราะคิดว่ามันสะดวกกับเรา ให้เขาเอาเงินมาให้ที่ห้องจะได้ไม่ต้องวุ่นวายออกไปทำอะไรอีกเยอะแยะ แต่เราก็โชคร้ายซ้ำอีกเพราะเขาไม่ได้เอาเงินให้เราอ้างเหตุผลว่าออกจากบ้านไม่ได้เพราะล็อคดาวน์ตอนกลางวันยุ่งงานพอเสร็จงานธนาคารก็ปิดแล้ว อ้างต่างๆนานา วันบินก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆเราก็ร้อนใจ เลยถามเขาอยู่บ่อยๆจนพักหลังๆเขาไม่รับสายไม่ตอบข้อความเรา น้องที่อยู่กับเราเลยช่วยโทรไปหาเขา เขากลับมาโมโหให้เรากับน้องพูดเชิงว่าคิดว่าเงินแค่นี้เขาจะไม่ให้หรอพูดเชิงว่าเงินแค่นี้ทำไมต้องทวงบ่อยๆ บอกไม่ชอบที่ไปทวงเขาแบบนี้แต่สำหรับเราเวลามันก็ผ่านมานานมากแล้วไง สุดท้ายเขาก็ด่าเรากับน้องจนถึงขั้นไล่ออกจากห้อง บอกถ้าไม่ออกเขาจะทำร้ายร่างกายเรากับน้อง ขู่เรากับน้องว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นเราเป็นคนไทยคิดว่าจะมีใครช่วยอะไรได้มากหรอ ด้วยความที่เรากลัวเรากลับน้องเลยเลือกที่จะย้ายออกไปอยู่โรงแรมรอวันบิน แล้วเคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนช่วงที่รออยู่โรงแรมน้องคนที่อยู่กับเราดันขโมยกระเป๋าเราไป เราไม่เหลืออะไรเลย พาสปอร์ตก็ไม่มีจะกลับก็กลับไม่ได้ ดีที่ทิ้งโทรศัพท์ไว้ให้เราเลยพอติดต่อขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่เราพอมีอาหาร มีที่พักอาศัย
และด้วยความที่ว่าเราท้องเราหิวบ่อยมาก เวลาหิวนี่ลูกก็ดิ้นใหญ่ บ้านรุ่นพี่เราอาหารก็มีแค่ปลากระป๋อง มาม่า ไข่ ของแห้งทั้งนั้นเลยเพราะแกก็ทำอาหารไม่เป็น เราเองก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอเพราะแค่นี้ก็รบกวนพี่เขามากแล้ว ได้แต่บอกตัวเองต้องอดทนบอกลูกต้องอดทนให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้อดทนจนกว่าจะหาทางออกได้ เวลาลูกดิ้นก็สงสารใจแทบสลาย แต่ถ้าให้เรารบกวนทางครอบครัวเราอีกเราก็ไม่อยากจะทำให้เขาเดือดร้อนเพราะเรา ไหนถ้ากลับไปทางครอบครัวเราต้องรับผิดชอบค่าคลอดค่าดูแลเราให้เราอีกเพราะเงินเราก็หมดแล้วครอบครัวเราก็ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น เราเครียดมากๆหาทางออกไม่ได้เลย พยายามคิดหาทางออก หาคนที่พอจะช่วยเหลือก็ยากเพราะตอนนี้ทุกคนก็ลำบากจากการล็อคดาวน์กันหมด เราเหนื่อยและท้อมากไม่รู้ต้องทำยังไง คิดไม่ออกสักทาง สงสารลูกกับครอบครัวเรามาก เราต้องผ่านมันไปยังไง ใครพอมีคำแนะนำอะไรรบกวนแนะนำเราหน่อยค่ะเผื่อจะพอช่วยเหลือเราได้ไม่มากก็น้อย หรือใครเคยผ่านประสบการณ์แย่ๆของชีวิตและผ่านมันมาได้ช่วยแชร์ประสบการณ์ให้เราหน่อยย เรายะเอามาเป็นกำลังใจในการสู้กับปัญหาของชีวิตเรา
เคยคิดว่าชีวิตไม่เหลืออะไรไหมคะ ตั้งท้องอยู่ด้วย ไม่มีพ่อน้อง ใช้ชีวิตแบบต้องคิดว่าพรุ่งนี้ต้องนอนไหน จะกินอะไรได้
และด้วยความที่ว่าเราท้องเราหิวบ่อยมาก เวลาหิวนี่ลูกก็ดิ้นใหญ่ บ้านรุ่นพี่เราอาหารก็มีแค่ปลากระป๋อง มาม่า ไข่ ของแห้งทั้งนั้นเลยเพราะแกก็ทำอาหารไม่เป็น เราเองก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอเพราะแค่นี้ก็รบกวนพี่เขามากแล้ว ได้แต่บอกตัวเองต้องอดทนบอกลูกต้องอดทนให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้อดทนจนกว่าจะหาทางออกได้ เวลาลูกดิ้นก็สงสารใจแทบสลาย แต่ถ้าให้เรารบกวนทางครอบครัวเราอีกเราก็ไม่อยากจะทำให้เขาเดือดร้อนเพราะเรา ไหนถ้ากลับไปทางครอบครัวเราต้องรับผิดชอบค่าคลอดค่าดูแลเราให้เราอีกเพราะเงินเราก็หมดแล้วครอบครัวเราก็ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น เราเครียดมากๆหาทางออกไม่ได้เลย พยายามคิดหาทางออก หาคนที่พอจะช่วยเหลือก็ยากเพราะตอนนี้ทุกคนก็ลำบากจากการล็อคดาวน์กันหมด เราเหนื่อยและท้อมากไม่รู้ต้องทำยังไง คิดไม่ออกสักทาง สงสารลูกกับครอบครัวเรามาก เราต้องผ่านมันไปยังไง ใครพอมีคำแนะนำอะไรรบกวนแนะนำเราหน่อยค่ะเผื่อจะพอช่วยเหลือเราได้ไม่มากก็น้อย หรือใครเคยผ่านประสบการณ์แย่ๆของชีวิตและผ่านมันมาได้ช่วยแชร์ประสบการณ์ให้เราหน่อยย เรายะเอามาเป็นกำลังใจในการสู้กับปัญหาของชีวิตเรา