ยาวหน่อย save ไว้อ่านทบทวนได้ค่ะ
1. อย่าทายาปฎิชีวนะแค่อย่างเดียว
อันนี้เจอบ่อยมากกก แต้มแต่ clinda หรือ erythromycin นานๆ จะดื้อยา สิวไม่หาย
2. อย่าทายาไม่ตรงกับชนิดของสิว
เช่น สิวอุดตันอย่างเดียว ไม่มีอักเสบเลย แต่ทา clinda อันนี้ไม่ช่วยให้สิวอุดตันดีขึ้น
3. หลักการทายาสิว 2 ข้อ
ให้เริ่มจากเลือกใช้ยาความเข้มข้นน้อยก่อน
ถ้าทนไหว ค่อยเพิ่มความเข้มข้น เช่น BP (Benzac เริ่ม 2.5% ก่อน ค่อย step ไป 5%, Retin A เริ่ม 0.025% ก่อน ค่อย step ไป 0.05%)
เริ่มจากทาshort contact คือ อย่าทาทิ้งไว้นาน ถ้าแสบหรือรู้สึกไม่โอเค ให้ล้างออกเลย เช่น BP เริ่มทา 5 นาที ล้างออก x 3 วัน ค่อยเพิ่มเป็น 10 นาที x 3 วัน แบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ทนยาสิวได้ ถ้าเริ่มทาครั้งแรก 15-30 นาทีเลย มักเกิดอาการแห้ง แดง แสบ ลอก และจะเลิกทายาไป เพราะคิดว่าแพ้ยาสิว
4. กลุ่ม Retenoid เริ่มทาบางๆเฉพาะจุดที่มีสิวก่อน
ใช้ปริมาณยาประมาณ เมล็ดถั่วเขียว ช่วงแรกให้ทาคืนเว้นคืน ซัก 2-4 สัปดาห์ ถ้าทนไหวค่อยทาทั่วหน้า แล้วค่อยเปลี่ยนมาทาทุกคืน ควรทาครีมบำรุงก่อนทายาด้วย เพื่อลดการระคายเคืองจากยา
ช่วง 2-4 wk แรกจะมีสิวเห่อขึ้น หรือ หน้าแดงลอก เรียกว่าเกิด retinoid dermatitis ซึ่งเป็นอาการปกติที่เจอหลังจากทายา
วิธีการแก้ไข คือ ให้ทายาน้อยๆ และทาครีมบำรุง จะช่วยให้ผ่านระยะนี้ไปได้ จากนั้นสิวและผิวหน้าจะค่อยๆดีขึ้น แต่ถ้ารู้สึกว่าเป็นมากผิดปกติ ให้หาหมอผิวหนังนะคะ
5.
ทายาให้สิวหายและหน้าไม่พัง ต้อง
-
ทาถูกเวลา ยากลุ่ม Retinoid ให้ก่อนปิดไฟนอน เพราะตัวยาเสื่อมได้ง่ายเมื่อโดนแสง (photounstable) และอาจจะเกิดอาการผิวไวต่อแสง (photosensitive)
-
ทาถูกวิธี เช่น BP ให้ทาแล้วล้างออก ไม่ควรทาทิ้งไว้ และไม่ควรทา BP คู่กับ Retinoid เพราะหักล้างฤทธิ์กัน ทำให้ไม่ได้ผล (ยกเว้น epiduo เพราะเป็น fixed combination) แต่จริงๆตามวิธีการใช้มันทาคนละเวลาอยู่แล้ว แต่ที่เจอคือไม่รู้ ไม่อยากทาหลายรอบ เลยรวมเอาทาทีเดียว
-
ทาปริมาณถูกต้อง ยาสิว ห้ามทาปริมาณเยอะๆแบบครีมทาผิวอื่นๆ แต้มบางๆก็พอค่ะ ทามากไประคายเคือง ทำให้ทนยาไม่ได้ เลิกใช้ หรือ หยุดทา สิวก็ไม่หาย
6. ระวังอย่าทายาซ้ำซ้อน
กลุ่ม Retinoid เลือกมาแค่ตัวเดียวพอ ได้แก่ Retin A เหมาะกับคนผิวมัน, Differin เหมาะกับคนผิวแห้ง ระคายเคืองง่าย และระวังหากทายาผสม (fixed combination) คือ ยาที่ผสมยา 2 ชนิดในหลอดเดียวกัน เพื่อให้ใช้ง่าย เช่น epiduo = BP + differin วิธีทา epiduo ตามข้อ 4
7.
การทายาสิวตามทฤษฎีจะแนะนำให้ทาทั่วหน้า เพราะได้ผลดีกว่า อย่าลืมว่า ตรงที่เรามองไม่เห็นว่ามีสิว จริงๆแล้วอาจจะมี microcomedone (สิวที่เตรียมกำลังจะขึ้นแต่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า)
แต่ส่วนตัวหมอเอง ในช่วงเริ่มต้นของการทายา จะให้คนไข้ทายาเฉพาะจุดก่อน ถ้าทนไหวค่อยเพิ่มพื้นที่
8. อยากรักษารอยสิว หลุมสิว ควรรักษาสิวที่ยังมีอยู่ด้วย
ถ้าควบคุมสิวยังไม่ได้ ถึงรักษารอยหรือหลุมสิว ก็จะวนกลับมาเป็นซ้ำๆอีก
9. รอยสิว มี 2 แบบ
รอยแดงกับรอยดำ เกิดจากการอักเสบและมีเส้นเลือดเล็กๆเพิ่มขึ้น รอยดำทายาได้ เช่น skinoren ตัวนี้ช่วยรักษาทั้งสิวและรอยดำ แต่ข้อเสีย คือ ช่วงแรกๆที่ทา อาจจะมีอาการคันยุบยิบได้ เพราะตัวยาเป็นกรด (Azeleic acid) ส่วนรอยแดง ที่เกิดจากเส้นเลือด ทายาไม่ค่อยช่วย ถ้าจะรักษาให้ตรงจุด สามารถทำ laser กลุ่มที่ลดรอยแดงได้
10. ถ้าสิวเยอะมาก ทายาอย่างเดียวจะไม่พอ ต้องกินยาด้วย ณ จุดนี้ควรไปหาหมอผิวหนัง
ส่วนใหญ่จะเริ่มจากยาปฎิชีวนะ เช่น doxy เพื่อหวังผลลดการอักเสบของสิว (Antiinflammation) ไม่ได้หวังฤทธิ์ฆ่าเชื้อสิว (Antibactirial effect) !!
แต่ถ้าไม่ได้ผล (fail doxy) หรือสิวรุนแรงมากๆ อาจจะข้ามไปใช้กลุ่ม Isotretinoin ได้เลย ซึ่งควรมีหมอผิวหนังดูแล และสั่งยาให้ เพราะเป็นยาอันตราย
11. สิวในคนท้องจะมียาให้ใช้ได้น้อยกว่า เพราะยาหลายตัวมีทั้งยาทาและยากินที่ไม่แนะนำหรือห้ามใช้ตอนท้อง
หมอเคยสรุปไว้แล้ว อ่านได้ที่นี่นะคะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=159451985455826&id=107616793972679
12. การรักษาสิวเองในเบื้องต้น สามารถทำได้ แต่ถ้าสิวเยอะ ไม่ควรเสียเวลาทดลองรักษาเอง อย่าหวังพึ่งแค่ skin care และยาแต้มสิว
เพราะถ้าทิ้งให้สิวอักเสบเป็นอยู่นานๆ จะเกิดปัญหาแผลเป็นสิว หลุมสิว รอยสิวตามมา ซึ่งรักษาให้กลับมาเป็นผิวสวยๆเหมือนเดิมได้ยาก และค่ารักษาแพงกว่ารักษาสิวตั้งแต่แรก
13. ไม่แกะ กด บีบสิวเอง เพราะสิวจะยิ่งอักเสบ ติดเชื้อ หรือ กลายเป็นรอยแผล หายยากกว่าเดิม
14. การกดสิว เหมาะกับสิวอุดตัน
สิวหัวเปิดสีดำ กดง่ายกว่า
สิวหัวปิดสีขาว กดยากต้องใช้ฝีมือมากกว่า
ถ้าทายาละลายหัวสิวมาระยะหนึ่งก่อน จะช่วยให้สิวไม่แน่น กดสิวง่ายขึ้น เจ็บน้อยลง
ส่วนสิวอักเสบไม่ควรกด
15. รักษาสิว ไม่มีทางลัด ต้องอดทน ใจเย็น และรักษาต่อเนื่อง
ใช้เวลานานหลายเดือนบางคนหลายปีกว่าจะหาย แต่สิวจะค่อยๆดีขึ้นถ้ารักษาถูกวิธี
นอกจากใช้ยาแล้ว การปรับพฤติกรรมเพื่อตัดวงจรสิว ก็สำคัญ
ถ้ารักษาสิวหายแล้ว แต่ยังกลับใช้ชีวิตแบบเดิมๆ นอนดึก นอนน้อย กินแป้งน้ำตาลของหวาน กินนมชีส หรือ ไขมันทราน ล้างหน้าผิด ใข้ skin care ไม่เหมาะกับผิว ชอบจับหน้า ชอบแกะสิว แต่งหน้าเยอะ สิวก็กลับมาอีกได้
16. น้ำเกลือล้างหน้า ไม่ได้ช่วยให้สิวหายดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องใช้
เบตาดีน ผงวิเศษ ยาสีฟัน ไม่ควรเอามาแต้มสิว เพราะระคายเคืองผิวมากเกินไป นอกจากนี้ในผงวิเศษยังมีซัลฟาด้วย
ใครแพ้ยาซัลฟา ต้องระวังเรื่องแพ้ยาด้วยนะคะ
17. ฉีดสิว ไม่ใช้เรื่องเลวร้าย
สามารถฉีดได้ถ้าสิวอักเสบมาก แต่เลือกฉีดเพียงบางจุด ไม่ฉีดบ่อยมากไปเพราะตัวยาคือสเตียรอยด์
ให้รักษาด้วยวิธีอื่นๆควบคู่ไปด้วย อย่าฉีดสิว แต่ไม่รักษาสิวค่ะ !!!
18. ยากินรักษาสิว ต้องเข้าใจวิธีกินยา
เพื่อความปลอดภัยควรสั่งจ่ายโดยหมอผิวหนัง
- doxy ห้ามกินพร้อมนม เพราะยาจะดูดซึมไม่ดี และ ถ้าลืมกินบ่อยๆ จะไม่ได้ผล
- isotretinoin ต้องกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร ถ้ากินตอนท้องว่าง ยาก็ดูดซึมน้อยลง
วิธีเช็คคือกินแล้วต้องปากแห้ง ผิวหน้าแห้งเมื่อเทียบกับก่อนรักษา
19. เฉพาะคุณหมอที่สนใจเรื่อง Acne management
มี treatment algorithm จาก JAAD 2016
โพสนี้หมอยุ้ยสรุปมาจาก textbook, guideline และประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ
หมอยุ้ย เพจ Dr.Yui คุยทุกเรื่องผิว
สรุปเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เกี่ยวกับการรักษาสิว (อยากสิวหาย กดอ่านเลยค่า)
ยาวหน่อย save ไว้อ่านทบทวนได้ค่ะ
1. อย่าทายาปฎิชีวนะแค่อย่างเดียว
อันนี้เจอบ่อยมากกก แต้มแต่ clinda หรือ erythromycin นานๆ จะดื้อยา สิวไม่หาย
2. อย่าทายาไม่ตรงกับชนิดของสิว
เช่น สิวอุดตันอย่างเดียว ไม่มีอักเสบเลย แต่ทา clinda อันนี้ไม่ช่วยให้สิวอุดตันดีขึ้น
3. หลักการทายาสิว 2 ข้อ
ให้เริ่มจากเลือกใช้ยาความเข้มข้นน้อยก่อน
ถ้าทนไหว ค่อยเพิ่มความเข้มข้น เช่น BP (Benzac เริ่ม 2.5% ก่อน ค่อย step ไป 5%, Retin A เริ่ม 0.025% ก่อน ค่อย step ไป 0.05%)
เริ่มจากทาshort contact คือ อย่าทาทิ้งไว้นาน ถ้าแสบหรือรู้สึกไม่โอเค ให้ล้างออกเลย เช่น BP เริ่มทา 5 นาที ล้างออก x 3 วัน ค่อยเพิ่มเป็น 10 นาที x 3 วัน แบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ทนยาสิวได้ ถ้าเริ่มทาครั้งแรก 15-30 นาทีเลย มักเกิดอาการแห้ง แดง แสบ ลอก และจะเลิกทายาไป เพราะคิดว่าแพ้ยาสิว
4. กลุ่ม Retenoid เริ่มทาบางๆเฉพาะจุดที่มีสิวก่อน
ใช้ปริมาณยาประมาณ เมล็ดถั่วเขียว ช่วงแรกให้ทาคืนเว้นคืน ซัก 2-4 สัปดาห์ ถ้าทนไหวค่อยทาทั่วหน้า แล้วค่อยเปลี่ยนมาทาทุกคืน ควรทาครีมบำรุงก่อนทายาด้วย เพื่อลดการระคายเคืองจากยา
ช่วง 2-4 wk แรกจะมีสิวเห่อขึ้น หรือ หน้าแดงลอก เรียกว่าเกิด retinoid dermatitis ซึ่งเป็นอาการปกติที่เจอหลังจากทายา
วิธีการแก้ไข คือ ให้ทายาน้อยๆ และทาครีมบำรุง จะช่วยให้ผ่านระยะนี้ไปได้ จากนั้นสิวและผิวหน้าจะค่อยๆดีขึ้น แต่ถ้ารู้สึกว่าเป็นมากผิดปกติ ให้หาหมอผิวหนังนะคะ
5. ทายาให้สิวหายและหน้าไม่พัง ต้อง
- ทาถูกเวลา ยากลุ่ม Retinoid ให้ก่อนปิดไฟนอน เพราะตัวยาเสื่อมได้ง่ายเมื่อโดนแสง (photounstable) และอาจจะเกิดอาการผิวไวต่อแสง (photosensitive)
- ทาถูกวิธี เช่น BP ให้ทาแล้วล้างออก ไม่ควรทาทิ้งไว้ และไม่ควรทา BP คู่กับ Retinoid เพราะหักล้างฤทธิ์กัน ทำให้ไม่ได้ผล (ยกเว้น epiduo เพราะเป็น fixed combination) แต่จริงๆตามวิธีการใช้มันทาคนละเวลาอยู่แล้ว แต่ที่เจอคือไม่รู้ ไม่อยากทาหลายรอบ เลยรวมเอาทาทีเดียว
- ทาปริมาณถูกต้อง ยาสิว ห้ามทาปริมาณเยอะๆแบบครีมทาผิวอื่นๆ แต้มบางๆก็พอค่ะ ทามากไประคายเคือง ทำให้ทนยาไม่ได้ เลิกใช้ หรือ หยุดทา สิวก็ไม่หาย
6. ระวังอย่าทายาซ้ำซ้อน
กลุ่ม Retinoid เลือกมาแค่ตัวเดียวพอ ได้แก่ Retin A เหมาะกับคนผิวมัน, Differin เหมาะกับคนผิวแห้ง ระคายเคืองง่าย และระวังหากทายาผสม (fixed combination) คือ ยาที่ผสมยา 2 ชนิดในหลอดเดียวกัน เพื่อให้ใช้ง่าย เช่น epiduo = BP + differin วิธีทา epiduo ตามข้อ 4
7. การทายาสิวตามทฤษฎีจะแนะนำให้ทาทั่วหน้า เพราะได้ผลดีกว่า อย่าลืมว่า ตรงที่เรามองไม่เห็นว่ามีสิว จริงๆแล้วอาจจะมี microcomedone (สิวที่เตรียมกำลังจะขึ้นแต่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า)
แต่ส่วนตัวหมอเอง ในช่วงเริ่มต้นของการทายา จะให้คนไข้ทายาเฉพาะจุดก่อน ถ้าทนไหวค่อยเพิ่มพื้นที่
8. อยากรักษารอยสิว หลุมสิว ควรรักษาสิวที่ยังมีอยู่ด้วย
ถ้าควบคุมสิวยังไม่ได้ ถึงรักษารอยหรือหลุมสิว ก็จะวนกลับมาเป็นซ้ำๆอีก
9. รอยสิว มี 2 แบบ
รอยแดงกับรอยดำ เกิดจากการอักเสบและมีเส้นเลือดเล็กๆเพิ่มขึ้น รอยดำทายาได้ เช่น skinoren ตัวนี้ช่วยรักษาทั้งสิวและรอยดำ แต่ข้อเสีย คือ ช่วงแรกๆที่ทา อาจจะมีอาการคันยุบยิบได้ เพราะตัวยาเป็นกรด (Azeleic acid) ส่วนรอยแดง ที่เกิดจากเส้นเลือด ทายาไม่ค่อยช่วย ถ้าจะรักษาให้ตรงจุด สามารถทำ laser กลุ่มที่ลดรอยแดงได้
10. ถ้าสิวเยอะมาก ทายาอย่างเดียวจะไม่พอ ต้องกินยาด้วย ณ จุดนี้ควรไปหาหมอผิวหนัง
ส่วนใหญ่จะเริ่มจากยาปฎิชีวนะ เช่น doxy เพื่อหวังผลลดการอักเสบของสิว (Antiinflammation) ไม่ได้หวังฤทธิ์ฆ่าเชื้อสิว (Antibactirial effect) !!
แต่ถ้าไม่ได้ผล (fail doxy) หรือสิวรุนแรงมากๆ อาจจะข้ามไปใช้กลุ่ม Isotretinoin ได้เลย ซึ่งควรมีหมอผิวหนังดูแล และสั่งยาให้ เพราะเป็นยาอันตราย
11. สิวในคนท้องจะมียาให้ใช้ได้น้อยกว่า เพราะยาหลายตัวมีทั้งยาทาและยากินที่ไม่แนะนำหรือห้ามใช้ตอนท้อง
หมอเคยสรุปไว้แล้ว อ่านได้ที่นี่นะคะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=159451985455826&id=107616793972679
12. การรักษาสิวเองในเบื้องต้น สามารถทำได้ แต่ถ้าสิวเยอะ ไม่ควรเสียเวลาทดลองรักษาเอง อย่าหวังพึ่งแค่ skin care และยาแต้มสิว
เพราะถ้าทิ้งให้สิวอักเสบเป็นอยู่นานๆ จะเกิดปัญหาแผลเป็นสิว หลุมสิว รอยสิวตามมา ซึ่งรักษาให้กลับมาเป็นผิวสวยๆเหมือนเดิมได้ยาก และค่ารักษาแพงกว่ารักษาสิวตั้งแต่แรก
13. ไม่แกะ กด บีบสิวเอง เพราะสิวจะยิ่งอักเสบ ติดเชื้อ หรือ กลายเป็นรอยแผล หายยากกว่าเดิม
14. การกดสิว เหมาะกับสิวอุดตัน
สิวหัวเปิดสีดำ กดง่ายกว่า
สิวหัวปิดสีขาว กดยากต้องใช้ฝีมือมากกว่า
ถ้าทายาละลายหัวสิวมาระยะหนึ่งก่อน จะช่วยให้สิวไม่แน่น กดสิวง่ายขึ้น เจ็บน้อยลง
ส่วนสิวอักเสบไม่ควรกด
15. รักษาสิว ไม่มีทางลัด ต้องอดทน ใจเย็น และรักษาต่อเนื่อง
ใช้เวลานานหลายเดือนบางคนหลายปีกว่าจะหาย แต่สิวจะค่อยๆดีขึ้นถ้ารักษาถูกวิธี
นอกจากใช้ยาแล้ว การปรับพฤติกรรมเพื่อตัดวงจรสิว ก็สำคัญ
ถ้ารักษาสิวหายแล้ว แต่ยังกลับใช้ชีวิตแบบเดิมๆ นอนดึก นอนน้อย กินแป้งน้ำตาลของหวาน กินนมชีส หรือ ไขมันทราน ล้างหน้าผิด ใข้ skin care ไม่เหมาะกับผิว ชอบจับหน้า ชอบแกะสิว แต่งหน้าเยอะ สิวก็กลับมาอีกได้
16. น้ำเกลือล้างหน้า ไม่ได้ช่วยให้สิวหายดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องใช้
เบตาดีน ผงวิเศษ ยาสีฟัน ไม่ควรเอามาแต้มสิว เพราะระคายเคืองผิวมากเกินไป นอกจากนี้ในผงวิเศษยังมีซัลฟาด้วย
ใครแพ้ยาซัลฟา ต้องระวังเรื่องแพ้ยาด้วยนะคะ
17. ฉีดสิว ไม่ใช้เรื่องเลวร้าย
สามารถฉีดได้ถ้าสิวอักเสบมาก แต่เลือกฉีดเพียงบางจุด ไม่ฉีดบ่อยมากไปเพราะตัวยาคือสเตียรอยด์
ให้รักษาด้วยวิธีอื่นๆควบคู่ไปด้วย อย่าฉีดสิว แต่ไม่รักษาสิวค่ะ !!!
18. ยากินรักษาสิว ต้องเข้าใจวิธีกินยา
เพื่อความปลอดภัยควรสั่งจ่ายโดยหมอผิวหนัง
- doxy ห้ามกินพร้อมนม เพราะยาจะดูดซึมไม่ดี และ ถ้าลืมกินบ่อยๆ จะไม่ได้ผล
- isotretinoin ต้องกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร ถ้ากินตอนท้องว่าง ยาก็ดูดซึมน้อยลง
วิธีเช็คคือกินแล้วต้องปากแห้ง ผิวหน้าแห้งเมื่อเทียบกับก่อนรักษา
19. เฉพาะคุณหมอที่สนใจเรื่อง Acne management
มี treatment algorithm จาก JAAD 2016
โพสนี้หมอยุ้ยสรุปมาจาก textbook, guideline และประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ
หมอยุ้ย เพจ Dr.Yui คุยทุกเรื่องผิว