ผมเป็นชายไทย อายุ 34 ปี ร่างกายแข็งแรง ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือยาเสพติด ออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ
ผมยินดีรับพลาสม่า หรือ เชื้อ COVID19 แล้วกักตัวตามที่รัฐจัดเตรียมไว้ให้ 30 วัน เพื่อนำพลาสม่าของผมไปทำวัคซีน หรือ เซรุ่ม
ตามประกาศของสภากาชาดไทย สามารถทำได้หรือไม่ครับ?

ซึ่งถ้าหากผมเกิดติดเชื้อจนเสียชีวิต ผมยินดีสละร่างกายให้ศึกษาต่อไป
และถ้าหากรอดชีวิตและผลิตวัคซีนช่วยคนทั้งประเทศและบนโลกนี้ได้ ก็ยินดีครับ
ขอบพระคุณครับ

ภาพจาก https://www.facebook.com/photo?fbid=2629856257125451&set=a.265156926928741

ข้อมูลการรับพลาสม่าจากผู้ที่เคยมีเชื้อ COVID19 เพื่อทำ เซรุ่ม



 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดลงทะเบียนออนไลน์ ให้ผู้ป่วยโรค COVID-19  ที่หายแล้ว กลับมาเป็น Hero บริจาคพลาสมา นำไปรักษาผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรง  จำเป็นต้องรับสมัครลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ ให้ความมั่นใจด้านความปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับ  สามารถลงทะเบียนได้แล้ว 6 เมษายน 2563 เป็นต้นไป     
          รศ.พญ. ดุจใจ  ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการประกาศเชิญชวนให้ผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่หายดีแล้ว กลับมาบริจาคพลาสมาที่มีภูมิต้านทานต่อไวรัส COVID-19 โดยภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากผู้ป่วยที่หายแล้ว เปรียบเสมือนเป็นเซรุ่มใช้รักษาผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการรุนแรง เป็นอีกทางหนึ่งที่จะสามารถช่วยผู้ป่วยให้รอดชีวิตได้ และพลาสมาที่มีภูมิคุ้มกันนี้ไม่สามารถหาได้จากที่ใด ต้องได้มาจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อและหายแล้วสร้างขึ้นมาเองได้เท่านั้น
          ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ได้ดำเนินการขอรับบริจาคพลาสมาจากผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่หายแล้ว แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การเชิญชวนผ่านสื่อมวลชน สื่อ Social media และสื่ออื่นๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการบริจาคพลาสมาเพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วยโรค COVID-19 นั้น ต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ โดยขอให้แจ้งความประสงค์ต้องการบริจาคกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ และในขณะเดียวกัน ได้ประสานไปยังโรงพยาบาล หรือหน่วยงานที่รักษาผู้ป่วยโรค COVID-19 เพื่อช่วยเชิญชวนผู้ป่วยอีกทางหนึ่งด้วย    
          ผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่หายแล้ว มีความประสงค์บริจาคพลาสมา จำเป็นต้องรับสมัครลงทะเบียนออนไลน์  เพื่อการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ ให้ความมั่นใจด้านความปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับ  ซึ่งต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้น ได้แก่ เป็นผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่รักษาหายไม่มีอาการแล้ว ออกจากโรงพยาบาลและกักตัวครบ 14 วัน  มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้ว อายุ 17 ปีบริบูรณ์- 60 ปี น้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม   
          ผู้ป่วย COVID-19 ที่หายแล้วต้องการบริจาคพลาสมา   ลงทะเบียนออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2563 ที่ Fanpage ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย  โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนัดหมายคัดกรอง ในรายละเอียดต่อไป 

ส่วนข้อมูลจากเพจที่หาข้อมูลได้ 

เปิดลงทะเบียนออนไลน์ ผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่หายแล้ว บริจาคพลาสมา
ลงทะเบียน คลิก---> https://bit.ly/3aKwQ18
.
 จำเป็นต้องรับสมัครลงทะเบียน online เพื่อการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ ให้ความมั่นใจด้านความปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับ
คุณสมบัติเบื้องต้น
  เป็นผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่รักษาหายไม่มีอาการแล้ว พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ตามประกาศ พ.ร.ก ฉุกเฉิน
  ออกจากโรงพยาบาลและกักตัวครบ 14 วัน แล้ว
  อายุ 17 ปีบริบูรณ์ – 60 ปี น้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม
  มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้ว
.
 ลงทะเบียนออนไลน์เท่านั้น
ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2563 เป็นต้นไป หลังจากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับเมื่อมีคุณสมบัติ เพื่อนัดหมายต่อไป
 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2256 4300 

====================================

เอกสารที่ลงทะเบียน

ลงทะเบียนผู้ป่วย COVID-19 ที่หายแล้วต้องการบริจาคพลาสมา ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
พลาสมาของผู้ป่วยที่หายจากโรค COVID-19 จะมีประโยชน์อย่างมากในการใช้รักษาผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการรุนแรง ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากผู้ป่วยเปรียบเสมือนเป็นเซรุ่มใช้รักษาโรค ขณะนี้ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ มีโครงการที่จะรับบริจาคพลาสมาจากผู้ที่หายจากโรคแล้ว โดยผู้ประสงค์จะบริจาคพลาสมา ต้องเป็นผู้ป่วย COVID-19 ที่หายไม่มีอาการ ออกจากโรงพยาบาลกักตัวที่บ้านครบ 14 วัน และแข็งแรงดีแล้ว จึงจะสามารถมาบริจาคพลาสมาได้

ข้อกำหนดและเงื่อนไข *
(1) ผู้ใช้บริการยินยอมกรอกข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ ชื่อ ที่อยู่ การติดต่อ ข้อมูลความเจ็บป่วยและสุขภาพให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อให้ทีมงานศูนย์ฯ ใช้สำหรับการติดต่อประสานงานและเพื่อการคัดกรองเบื้องต้นโดยผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาที่ศูนย์บริการโลหิตฯ (2) ศูนย์บริการโลหิตฯ จะเก็บรักษาข้อมูลเหล่านั้นไว้เป็นความลับ ตามเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการรักษาข้อมูลเป็นความลับของศูนย์ฯ และไม่เผยแพร่ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจ (3) ผู้ใช้บริการเป็นผู้รับผิดชอบความถูกต้องของข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว และเป็นผู้รับผิดชอบหากเกิดกรณีเกิดความเสียหายหรือเหตุขัดข้องใดๆ อันเนื่องมาจากข้อมูลที่ให้แก่ศูนย์บริการโลหิตฯ ไม่ถูกต้อง (4) ศูนย์บริการโลหิตฯ จะไม่จัดสรร เปิดเผย และ/หรือ ถ่ายโอนข้อมูลและข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการให้แก่นิติบุคคลหรือบุคคลใดๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้โดยอิสระ เว้นแต่ - ผู้ใช้บริการ หรือ ผู้ดูแล ได้ร้องขอ และให้อำนาจแก่ศูนย์บริการโลหิตฯ หรือ - ข้อมูลที่จัดสรรนั้นเป็นไปเพื่อช่วยให้การเริ่มต้นธุรกรรมของผู้ใช้บริการ หรือผู้ดูแล สำเร็จลุล่วง หรือ - ข้อมูลที่จัดสรรให้แก่นิติบุคคลหรือบุคคลใดๆ ที่ศูนย์บริการโลหิตฯ เป็นคู่สัญญา เพื่อวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ข้อมูล และ/หรือ การปรับปรุงการให้บริการ หรือ - เป็นการเปิดเผยข้อมูลตามที่กฎหมายอนุญาต/ ตามกฎหมายกำหนด/ ตามคำสั่งศาล และ/หรือ ตามคำสั่งของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการสอบสวนหรือพิจารณาคดี ซึ่งผู้ให้บริการสามารถเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวได้โดยชอบด้วยกฎหมาย - ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จะรักษามาตรฐานในการรักษาความปลอดภัยโดยเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ในการปกป้องความเสียหาย หรือการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ หรือ ผู้ดูแล โดยไม่มีอำนาจ

ข้อมูลในเอกสารที่ต้องการ
1. ท่านเริ่มมีอาการป่วยของโรค COVID-19 เมื่อใด *
2. ท่านเข้ารับการรักษาอาการของโรค COVID-19 ที่โรงพยาบาล เมื่อใด *
3. ท่านเข้ารักษาที่โรงพยาบาลใด *
4. การรักษาที่โรงพยาบาล โดยวิธีใด *
(A) ตรวจเชื้อในโพรงจมูก (โปรดระบุวันที่มีการตรวจในข้อถัดไป)
(B) รักษาตัวอยู่ใน ICU
(C) รักษาตัวอยู่ในหอพักผู้ป่วย
(D) โดยการกักตัวอยู่บ้านและสถานที่ที่โรงพยาบาลกำหนด เช่น โรงแรม หอพัก ค่าย โรงพยาบาลสนาม เป็นต้น จนครบ 14 วัน
5. ท่านตรวจหาเชื้อในโพรงจมูกเมื่อใด *
6. ท่านหายจากอาการของโรค COVID-19 เมื่อใด *
7. ท่านออกจากโรงพยาบาลเมื่อใด *
8. ท่านได้รับการตรวจหาเชื้อก่อนออกจากโรงพยาบาลหรือไม่

ลงทะเบียนได้ที่ : https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdnMZ9O6OrKMksVH6JDjpzZ6B-1RTUUDSMXxxRSqsvDH1mIeA/viewform