ความจริงจากปาก ดีเอโก้ มาราโดน่า เบื้องหลัง "หัตถ์พระเจ้า"
เหตุการณ์ที่สนามเอสตาดิโอ อัซเตก้า ในเมืองเม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก ในศึกฟุตบอลโลก 1986 รอบก่อนรองชนะเลิศ เป็นสิ่งที่ชาวอังกฤษทั้งประเทศไม่มีวันลืมเลือน เพราะชายชื่อ ดีเอโก้ มาราโดน่า มหาบุรุษชาวอาร์เจนไตน์ ผู้ทำลายความฝันเส้นทางการคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ สมัยที่ 2 ด้วยกำปั้นเล็กๆ !!
อังกฤษ มีคิวปะทะกับ อาร์เจนตินา ที่มีตัวชูโรงนามกระเดื่องว่า "มาราโดน่า" ที่โชว์ฟอร์มแบบวันแมนโชว์ได้อย่างสุดยอดจนนำทัพ "ฟ้าขาว" เข้ามาสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ โดยคู่แข่งอย่างทัพ "สิงโตคำราม" อุดมไปด้วยนักเตะดังอย่าง ปีเตอร์ ชิลตัน (ผู้รักษาประตู), เทอร์รี่ บุทเชอร์, ปีเตอร์ รีด, ปีเตอร์ เบียร์ดลี่ย์ และ แกรี่ ลินิเกอร์
แมตช์นี้ถือเป็นหนึ่งในเกมตำนานของศึกฟุตบอลโลกอย่างแท้จริง เพราะ มาราโดน่า โชว์ของแบบเต็มสูบที่สำคัญ 2 ประตูที่ "เสือเตี้ย" ทำได้ เป็นการ
แสดงให้เห็นว่าเขามีทั้งปีศาจและเทพเจ้าอยู่ในร่างเดียวกัน !!
เหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในนาทีที่ 51 จากจังหวะที่บอลลอยไปที่หน้าประตู โดย ชิลตัน เจ้าของความสูง 183 เซนเตอร์เมตร เตรียมที่จะวิ่งเข้าไปชกบอล แต่แล้วชายร่างเล็กส่วนสูงแค่ 167 เซนติเมตรก็วิ่งเข้ามาพร้อมกระโดดสุดตัว และสัมผัสบอลก่อน นายทวารชาวอังกฤษ ส่งให้ อาร์เจนตินา ขึ้นนำ 1-0
ในตอนนั้น ชิลตัน และเพื่อนร่วมทีมพยายามฟ้องกรรมการว่า มาราโดน่า ใช้มือสัมผัสบอล และจากภาพรีเพลย์ยืนยันว่าสิ่งที่นักเตะอังฤษพูดเป็นความจริง แต่ไม่เกิดผล เพราะท่านเปายืนกรานให้จังหวะนั้นเป็นประตู
ช่วงระหว่างที่มีการฉลองประตู หลายคนเห็นเหล่าพองเพื่อนอาร์เจนไตน์ ได้เข้ามาแสดงความยินดีกับ มาราโดน่า เพราะไม่อยากเชื่อว่าคนร่างเล็กแบบนี้จะกระโดดได้สูงกว่าโกลสูงโย่งได้ แต่ความจริงแล้วในจังหวะนั้นนักเตะ "ฟ้าขาว" ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า ดาวเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 10 ใช้มือทำประตู
"ตอนนั้นผมปิ๊งไอเดีย เอามือวางไว้บนหัว ผมถึงบอลก่อนและตกลงมา ส่วน (ปีเตอร์) ชิลตัน ไม่รู้ว่าบอลไปอยู่ตรงไหน ผมมองกลับไป และเห็นมันเข้าไปในตาข่าย ผมตะโกนลั่น -ได้ประตู ได้ประตู !- จากนั้น (เซร์คิโอ บาติสต้า อดีตกองกลางริเวอร์เพลท) "เชโก" ก็บอกกับผมว่า -เฮ้ย นายใช้มือทำประตูนี่หว่า-"
"ผมบอกเขาว่า -เงียบปากไปเลยไอ้โง่ และก็เข้ามากอดข้าเดี๋ยวนี้ !- จากนั้นทุกๆ คนก็เริ่มเข้ามากอดผม (ฮอร์เก้) วัลดาโน่ ก็บอกกับผมว่า -ไม่ต้องบอกฉันว่านายใช้มือทำประตูนะ- ผมตอบไปว่า -เดี๋ยวค่อยคุยกัน วัลดาโน่ มาดีใจกันก่อน-"
มาราโดน่า เปิดใจถึงความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงที่บรรดาเพื่อนนักเตะเข้ามาห้อมล้อมเพื่อฉลองประตูดังกล่าว ว่า "ผมมองเห็นแต่กำแพงยักษ์เพราะนักเตะอังกฤษแข็งแกร่งมาก (เทอร์รี่) เฟนวิค, (เทอร์รี่) บุทเชอร์....กองหลังทุกคนตัวใหญ่มาก"
"
เคนนี่) แซนซัม เตะบอลพลาดเอง วัลดาโน่ไม่ได้เป็นคนส่งบอลให้ผม แซนซัม คาดคิดแบบนั้นและอยากที่จะส่งบอลคืนหลัง ในยุคนั้นเราสามารถส่งบอลคืนหลังได้ หากคุณทำแบบนั้น ผู้รักษาประตูก็สามารถใช้มือจับแล้วเล่นต่อได้เลย ดังนั้นเมื่อผมเห็นบอลลอยขึ้น ลอยขึ้น ลอยขั้น ผมคิดว่า -ผมไม่มีทางกระโดดถึงแน่ๆ ได้โปรดตกลงมาเถอะ-"
นอกจากความเป็นปีศาจที่อยู่ในตัว มาราโดน่า แล้ว เขายังมีเทพเจ้าอยู่อีกร่างด้วยเพราะอีก 4 นาทีหลังจากนั้น "เสือเตี้ย" โชว์ลีลาเลี้ยงเดี่ยวกว่าครึ่งสนามพร้อมกับหลบแข้งอังกฤษ 4-5 คน ก่อนเข้าไปซัดประตูให้ อาร์เจนตินา นำห่าง 2-0 แม้ช่วงสิบนาทีสุดท้าย ลินิเกอร์ จะทำประตูตีไข่แตก แต่ก็ไม่ทำ จบเกม อังกฤษ ต้องตกรอบด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำ
หลังจบเกมนั้น มาราโดน่า ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวแบบไม่สะทกสะท้านว่า "ส่วนหนึ่งมาจากการโหม่งของเขา และอีกส่วนมาจากหัตถ์พระเจ้า"
นั่นจึงเป็นที่มาของประตูดังกล่าวที่ถูกเล่าขานกันในนาม "แฮนด์ ออฟ ก็อด (Hand of God) หรือ "หัตถ์พระเจ้า" จนถึงปัจจุบัน
cr : www.siamsport.co.th
ความจริงจากปาก ดีเอโก้ มาราโดน่า เบื้องหลัง "หัตถ์พระเจ้า"
เหตุการณ์ที่สนามเอสตาดิโอ อัซเตก้า ในเมืองเม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก ในศึกฟุตบอลโลก 1986 รอบก่อนรองชนะเลิศ เป็นสิ่งที่ชาวอังกฤษทั้งประเทศไม่มีวันลืมเลือน เพราะชายชื่อ ดีเอโก้ มาราโดน่า มหาบุรุษชาวอาร์เจนไตน์ ผู้ทำลายความฝันเส้นทางการคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ สมัยที่ 2 ด้วยกำปั้นเล็กๆ !!
อังกฤษ มีคิวปะทะกับ อาร์เจนตินา ที่มีตัวชูโรงนามกระเดื่องว่า "มาราโดน่า" ที่โชว์ฟอร์มแบบวันแมนโชว์ได้อย่างสุดยอดจนนำทัพ "ฟ้าขาว" เข้ามาสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ โดยคู่แข่งอย่างทัพ "สิงโตคำราม" อุดมไปด้วยนักเตะดังอย่าง ปีเตอร์ ชิลตัน (ผู้รักษาประตู), เทอร์รี่ บุทเชอร์, ปีเตอร์ รีด, ปีเตอร์ เบียร์ดลี่ย์ และ แกรี่ ลินิเกอร์
แมตช์นี้ถือเป็นหนึ่งในเกมตำนานของศึกฟุตบอลโลกอย่างแท้จริง เพราะ มาราโดน่า โชว์ของแบบเต็มสูบที่สำคัญ 2 ประตูที่ "เสือเตี้ย" ทำได้ เป็นการ
แสดงให้เห็นว่าเขามีทั้งปีศาจและเทพเจ้าอยู่ในร่างเดียวกัน !!
เหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในนาทีที่ 51 จากจังหวะที่บอลลอยไปที่หน้าประตู โดย ชิลตัน เจ้าของความสูง 183 เซนเตอร์เมตร เตรียมที่จะวิ่งเข้าไปชกบอล แต่แล้วชายร่างเล็กส่วนสูงแค่ 167 เซนติเมตรก็วิ่งเข้ามาพร้อมกระโดดสุดตัว และสัมผัสบอลก่อน นายทวารชาวอังกฤษ ส่งให้ อาร์เจนตินา ขึ้นนำ 1-0
ในตอนนั้น ชิลตัน และเพื่อนร่วมทีมพยายามฟ้องกรรมการว่า มาราโดน่า ใช้มือสัมผัสบอล และจากภาพรีเพลย์ยืนยันว่าสิ่งที่นักเตะอังฤษพูดเป็นความจริง แต่ไม่เกิดผล เพราะท่านเปายืนกรานให้จังหวะนั้นเป็นประตู
ช่วงระหว่างที่มีการฉลองประตู หลายคนเห็นเหล่าพองเพื่อนอาร์เจนไตน์ ได้เข้ามาแสดงความยินดีกับ มาราโดน่า เพราะไม่อยากเชื่อว่าคนร่างเล็กแบบนี้จะกระโดดได้สูงกว่าโกลสูงโย่งได้ แต่ความจริงแล้วในจังหวะนั้นนักเตะ "ฟ้าขาว" ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า ดาวเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 10 ใช้มือทำประตู
"ตอนนั้นผมปิ๊งไอเดีย เอามือวางไว้บนหัว ผมถึงบอลก่อนและตกลงมา ส่วน (ปีเตอร์) ชิลตัน ไม่รู้ว่าบอลไปอยู่ตรงไหน ผมมองกลับไป และเห็นมันเข้าไปในตาข่าย ผมตะโกนลั่น -ได้ประตู ได้ประตู !- จากนั้น (เซร์คิโอ บาติสต้า อดีตกองกลางริเวอร์เพลท) "เชโก" ก็บอกกับผมว่า -เฮ้ย นายใช้มือทำประตูนี่หว่า-"
"ผมบอกเขาว่า -เงียบปากไปเลยไอ้โง่ และก็เข้ามากอดข้าเดี๋ยวนี้ !- จากนั้นทุกๆ คนก็เริ่มเข้ามากอดผม (ฮอร์เก้) วัลดาโน่ ก็บอกกับผมว่า -ไม่ต้องบอกฉันว่านายใช้มือทำประตูนะ- ผมตอบไปว่า -เดี๋ยวค่อยคุยกัน วัลดาโน่ มาดีใจกันก่อน-"
มาราโดน่า เปิดใจถึงความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงที่บรรดาเพื่อนนักเตะเข้ามาห้อมล้อมเพื่อฉลองประตูดังกล่าว ว่า "ผมมองเห็นแต่กำแพงยักษ์เพราะนักเตะอังกฤษแข็งแกร่งมาก (เทอร์รี่) เฟนวิค, (เทอร์รี่) บุทเชอร์....กองหลังทุกคนตัวใหญ่มาก"
"เคนนี่) แซนซัม เตะบอลพลาดเอง วัลดาโน่ไม่ได้เป็นคนส่งบอลให้ผม แซนซัม คาดคิดแบบนั้นและอยากที่จะส่งบอลคืนหลัง ในยุคนั้นเราสามารถส่งบอลคืนหลังได้ หากคุณทำแบบนั้น ผู้รักษาประตูก็สามารถใช้มือจับแล้วเล่นต่อได้เลย ดังนั้นเมื่อผมเห็นบอลลอยขึ้น ลอยขึ้น ลอยขั้น ผมคิดว่า -ผมไม่มีทางกระโดดถึงแน่ๆ ได้โปรดตกลงมาเถอะ-"
นอกจากความเป็นปีศาจที่อยู่ในตัว มาราโดน่า แล้ว เขายังมีเทพเจ้าอยู่อีกร่างด้วยเพราะอีก 4 นาทีหลังจากนั้น "เสือเตี้ย" โชว์ลีลาเลี้ยงเดี่ยวกว่าครึ่งสนามพร้อมกับหลบแข้งอังกฤษ 4-5 คน ก่อนเข้าไปซัดประตูให้ อาร์เจนตินา นำห่าง 2-0 แม้ช่วงสิบนาทีสุดท้าย ลินิเกอร์ จะทำประตูตีไข่แตก แต่ก็ไม่ทำ จบเกม อังกฤษ ต้องตกรอบด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำ
หลังจบเกมนั้น มาราโดน่า ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวแบบไม่สะทกสะท้านว่า "ส่วนหนึ่งมาจากการโหม่งของเขา และอีกส่วนมาจากหัตถ์พระเจ้า"
นั่นจึงเป็นที่มาของประตูดังกล่าวที่ถูกเล่าขานกันในนาม "แฮนด์ ออฟ ก็อด (Hand of God) หรือ "หัตถ์พระเจ้า" จนถึงปัจจุบัน
cr : www.siamsport.co.th