สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม
ที่ต้องการจะมาแชร์ประสบการณ์ ในการออกจาก comfort zone
เพื่อต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ตัวเราเองดู 5555+
เนื่องจากมีวันนึงที่ผมเปื่อยๆดูทีวีอยู่ที่บ้าน
แล้วเห็นสารคดีการปีนยอดเขา Everest
ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้หัวใจผมมันเต้นแรงมาก อยากพาตัวเองไปยืนดูวิวสวยๆ
แบบนั้นบ้าง หลังจากที่คิดได้แบบนั้น มือผมก็จับไปที่พุงของตัวเอง
แล้วก็มีคำถามตามาว่า "เราจะแบกพุงลูกใหญ่ลูกนี้ไปยังไงอะ"?
และแล้วมันก็ทำให้ผมหึกเหิม เริ่มหันมาออกกำลังกาย
เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้ เมื่อออกกำลังกายมาได้ซักพัก
จนเริ่มรู้สึกว่า เราน่าจะไปรอดแล้วหละ
ก็ถึงเวลาที่จะเลือกสถานที่สำหรับทดสอบแล้ว.....
ซึ่งภูเขาลูกแรกที่เลือกไปก็คือ "ภูเขาไฟฟูจิ"
การไปครั้งนี้เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่มากๆ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
ภูเขาไฟฟูจิ จะสามารถเดินขึ้นไปได้
(คนญี่ปุ่นเค้าเดินขึ้นกันทุกปิดเทอมฤดูร้อนเลย 5555+) แต่ผมขอข้ามรายละเอียดการเดินขึ้นภูเขาไฟฟูจิไปก่อนนะครับ เพราะครั้งนั้นผมโดนพายุซัดเข้าเต็มๆ จนไม่สามารถขึ้นถึงปากปล่องภูเขาไฟได้
แถมยังเกือบโดนลมพายุหอบร่างออกจากภูเขาอีกมันเป็นการเดินเขาครั้งแรกที่ต้องบอกว่า ไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน!!!!!
หลังจากกลับมาจากฟูจิครั้งนั้น ความพยายามของผมเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
เพราะครั้งแรกของเราไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ด้วยความค้างคาใจ
แต่ไม่อยากกลับไปซ้ำที่เดิม การพิสูจน์ใจครั้งที่ 2 นี้ ผมจึงเลือก
"ยอดเขาฟานซิปัน" เพราะคิดว่าน่าจะง่ายกว่าฟูจิ แต่!!!
ผมคิดผิดอย่างมาก!!
ทริปนี้ผมเดินทางคนเดียว เพราะไม่รู้ว่าจะต้องไปเจอกับอะไรบ้าง
จะลำบากแค่ไหนก็ไม่รู้ ผมออกเดินทางช่วงกลางเดือนตุลาคม 2018
ใช้เวลาการเดินทางทั้งทริป 4 วัน 3 คืน
เรามาเริ่มออกเดินทางไปด้วยกันเลยครับ........
Day 1: Bangkok-->>Hanoi
ผมออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองเวลา 7:40น.
ซึ่งเป็นไฟล์ที่เช้ามาก เรียกได้ว่าละเมอเดินขึ้นเครื่องบินกันเลยทีเดียว
กะไว้ว่าจะไปหลับบนเครื่องบินให้เต็มอิ่ม
แต่....ยังไม่ทันได้หลับตาดีเลยครับ
นักบินก็ประกาศว่าเครื่องบินกำลังจะลดระดับลงสู่สนามบิน Noi Bai เร็วๆนี้
ใหผู้โดยสารเตรียมตัว.... T___T ยังง่วงอยู่เลย...
**คนไทยไปเที่ยวเวียดนามไม่ต้องใช้วีซ่านะครับ
ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วลุยได้เลย ^__^
หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง
ผมก็รีบสะพายเป้สีแดงคู่ใจออกเดินหารถเข้าเมืองอย่างไม่รอช้า...ผมลองถามคนในสนามบิน
เค้าบอกให้นั่งรถเมล์เข้าสู่ Old quarter ซึ่งเป็นย่านที่ผมจอง Hostel
เอาไว้ ใช้เวลานั่งรถประมาน 20 นาที ค่าโดยสาร 20 บาทเท่านั้นเองครับ
นาทีละบาทเลย 555+
ในส่วนของตัวเมืองฮานอยผมขอข้ามไปเลยนะครับ
เพราะเป้าหมายหลักของทริปนี้คือ ยอดเขาฟานซิปัน
การเดินทางจาก Hanoi ไปยังเมือง Sapa โดยรถบัสแบบบังคับนอน!!!!! ใช่แล้วครับ รถคันนี้ไม่สามารถนั่งได้เลย
เพราะเบาะทำมาให้นอนตลอดเวลา 5555+ ผมลองหาข้อมูลการเดินทาง
จริงๆก็ไปได้หลายทางทั้งรถไฟและรถบัส แต่ส่วนตัวผมชอบรสบัสมากกว่า
ผมจึงเลือกใช้บริการของ Sapa Express Bus
หน้าตาข้างในรถก็จะเป็นแบบในรูปครับ โดยที่นั่งโดยสารจะมี 2 ชั้น
ถ้าเราเลือกนั่งชั้นล่างก็จะมีกลิ่นตุๆ นิดหน่อยเพราะตอนขึ้นรถ
ทุกคนต้องถอดรองเท้าใส่ถุงหิ้วแล้วก็นำมาวางไว้ข้างๆที่นั่ง
แล้วแบบ...ทุกคนก็อาจจะเดินเที่ยวกันมาทั้งวัน
บอกเลยว่ากลิ่นเหนือคำบรรยายเลย.......
ยังไงก็แนะนำให้ติดยาดมกันไว้ด้วยนะครับ ^__^
การขึ้นรถบัสที่เวียดนามครั้งแรกนี้ผมเลยเลือกนั่งชั้น 2 ครับ
คิดว่าจะรอดพ้นจากกลิ่นได้บ้าง แต่จริงๆก็ช่วยได้นะครับ
ติดตรงที่ต้องปีนขึ้นปีนลงเวลาอยากไปเข้าห้องน้ำเท่านั้นเอง
ผ่านพ้นอุปสรรคทุกอย่างไปแล้ว ด้วยความเหนื่อยทำให้ผมเผลอหลับไป
ตื่นมาอีกที ตี 4 ฟ้ามืดอยู่เลย แต่รู้สึกว่ารถจอดนิ่งๆมานานแล้ว จริงๆ
คือรถมาถึงซาปาแล้ว แต่เค้าให้เรานอนต่อในรถจนถึง 6 โมงเช้า
แล้วเค้าก็จะไล่ลง!! เอ้ย เชิญเราลงครับ 555+
เพราะฟ้าสว่างพอจะให้เราเดินชมบรรยากาศความสวยงามของเมืองนี้แล้ว......
พอผมก้าวลงรถมองออกไป
ก็เห็นไกด์ที่ผมติดต่อไว้ขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับ โดยผมจองไกด์ของ
Sapa Original Trek เมื่อเค้าเห็นผมก็กล่าวทักทายแล้วก็พาผมซ้อนท้ายไปที่
office เพื่อกินข้าวและจัดเตรียมของ
Day 2: Sapa-->>First Camp
นี่คือภาพความประทับใจแรกของผมที่ Sapa ครับ
ที่จริงแล้วหลังตึกที่เราเห็นนี่
ก็คือหุบเขาอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลย วิวสวยมากๆจริงๆ
หลังจากนี้เราจะได้เดินสัมผัสธรรมชาติชองเมือง Sapa อย่างใกล้ชิดกันแล้ว
การเดินขึ้นยอดเขา Fansipan ในครั้งนี้ ผมจ้างไกด์แบบเดี่ยว
เพราะวันที่ผมไป ไกด์แบบไปเป็นกลุ่มเต็มหมดแล้ว ผมเลยต้องเลือก Program:
2 days- 1 night discovering Fansipan (tour code F2)
ซึ่งโชคดีที่ผมเลือกไม่ผิดครับ เค้าบริการดีจริงๆ
เริ่มจากการขับมอเตอร์ไซค์มารับที่รถบัส
เพื่อไปรอไกด์ที่จะมานำขึ้นเขาในเวลา 9:00น.
ใครสนใจสามารถเช็คโปรแกรมได้ตามลิงค์นี้ครับ
http://sapaoriginaltrek.com
ตอนผมมาถึงบริษัทยังปิดอยู่เลยครับ
เหตุผลก็คือคนที่ไปรับเค้าเป็นเจ้าของครับ 555+ เปิดเอง รับลูกทัวร์เอง
โปรโมทเอง ทำทุกอย่างเลย ผมประทับใจเค้ามากครับ
เพราะเค้าเริ่มต้นมาจากอาชีพลูกหาบ ทำงานเป็นลูกหาบมาหลายปี
จนถึงตอนนี้เปิดบริษัทเองแล้ว แถมยังดูแลเพื่อนไกด์และลูกหาบในสังกัดของเค้าเป็นอย่างดี เพราะเค้าเข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี
ระหว่างรอไกด์มา เค้าก็ต้อนรับเราด้วยกาแฟดริปสไตล์เวียดนาม
ซึ่งอร่อยมากๆๆๆๆๆ รสเข้มข้น หอมกรุ่น เสิร์ฟพร้อมนมข้นเป็นชั้นๆให้ความรู้สึกเหมือนกาแฟโบราณบ้านเรา....แถมยังมีเฝอมาเติมพลังก่อนการเดินทางวันนี้อีกด้วย
ไกด์ผมมาแล้ว!!!!! (เสื้อเขียว)
บอกเลยว่า..ครั้งแรกที่เห็นไกด์ผมนึกว่าลูกเจ้าของร้านมาเดินเล่น!!! 555+
แล้วเค้าก็เดินมาแนะนำตัว ว่าเค้าชื่อ "ตั้ว" เค้าจะมาเป็นไกด์ให้ผม
ผมนี่แอบตกใจนิดๆ เพราะไกด์เด็กมาก
แอบคิดในใจว่า...เค้าจะดูแลเราในป่าไหวใช่มั้ย? แต่ในใจลึกๆก็เชื่อมั่นครับ ว่าเค้าพาเราไปได้แน่ๆ
ไกด์แนะนำให้เราแพ็คกระเป๋าเล็กๆเพื่อใช้ในการ trekking
ส่วนใบใหญ่ให้ทิ้งไว้ที่นี่
ผมรีบจัดของลงกระเป๋าอย่างตื่นเต้นและคำนวนน้ำหนักกระเป๋าอย่างดี
เพื่อที่จะได้ไม่เหนื่อยมากเกินไป ซักพัก..ไกด์ก็เดินถือขวดน้ำมา 3 ลิตร
แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม แล้วก็บอกว่า.. อะ ของคุณ..ใส่กระเป๋าไปนะ
แบกไปเอง!!!! ผมถามกลับไป อะไรนะ!!!!!! ขออีกที... แบกน้ำ 3 ลิตร
พังแน่ๆหลังผม.... ผมทำได้แค่อึ้งอยู่ในใจ แล้วก็ก้มหน้าแพ็คของต่อไป
555+
**Tip สำหรับผมการแบกน้ำเป็นขาดพลาสติกขึ้นเขานั้นลำบาก
ผมเลยเตรียมถุงใส่น้ำไป เพื่อความสะดวกในการพกพา
และจะได้ไม่นำขยะพลาสติกขึ้นไปด้วยครับ
ไกด์พาแว้นไปยังจุดเริ่มเดิน...
ยิ่งสูง หมอกก็ยิ่งหนา...ทำให้หวั่นๆในใจว่า ฝนจะเทมั้ยเนี่ย???
เส้นทางสวยงาม เทือกเขายาวจนสุดสายตา จนรู้สึกอยากแว้นไปจนถึงยอดเลย
ไม่อยากเดินละ!!!! 555+
หลังจากที่นั่ง ตา กลม หลังมอเตอร์ไซค์มานานเกือบ 20 นาที
ผมก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแล้ว....
ไกด์หันมายิ้มมุมปากเบาๆ แล้วก็ถามว่า "เข้าห้องน้ำหน่อยมั้ย" 5555+ โถ่
นึกว่าจะบอกอะไร... เค้าบอกว่า หลังจากเดินผ่านประตูนี้ไป
ความสบายจะหมดไปละนะ แล้วก็ขำแบบสะใจ.....
นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องให้ช่วยนำทางนะ หมี่เหลืองแน่นอน!!!! 555+
ประตูอุทยาน...จุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ยอดเขา Fansipan
^__^ เอาหละ...ได้เวลาออกผจญภัยของจริงแล้ว เริ่มกันเลย!!!
ทางเดินดอกแรกหลังจากผ่านประตูมา ถ้าถามผมว่าสวยมั้ย? แน่นอนครับ มันสวยมาก แต่.....ลองมองตรงไปหลังสะพานนั่นสิ ครึ้มเชียวนะ ป่าหนะ!! 5555+
ทางเดินในช่วงแรกไม่มีความชัน มีแต่พื้นน้ำแฉะๆ แนะนำเพื่อนๆใช้รองเท้าเดินป่าแบบกันน้ำนะครับ เพราะใน 6 ชม. นี้มีทั้งฝน, แดด และหนาว เรียกได้ว่าครบทุกฤดูเลย...
ดอกไม้ระหว่างทาง สีสันสวยงาม เป็นกำลังใจเล็กๆ ที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว
บางครั้งก็มีการเดินผ่านลำธารให้ได้เปียกกันบ้าง
รอยยิ้มของไกด์เมื่อได้ยินเราบอกว่า "ขอพักซัก 5 นาทีได้มั้ย?" หลังจากยิ้มนี้ ไกด์ก็พูดลอยๆ ว่า ถ้าหยุดบ่อยๆมันค่ำก่อนถึงที่พักนะ!!! "จ้า...ไปต่อเลยก็ได้" T_T
ทางข้ามลำธารที่น้ำแอบเชี่ยว แต่...ขอนไม้ที่ทำเป็นสะพานนั้น มันลื่นและอันตรายกว่าเดินลุยน้ำอีกนะ...
ความพีคแรกมาแล้ว!!! ที่เห็นนั่น มันชันมาก!! แต่ไกด์ผมเดินชิวเหมือนมาเดินเล่นในห้าง ไกด์ทำหน้าแบบที่ทำให้เรารู้สึกว่า..เราอาจจะเดินช้าไป....🤣🤣
ส่วนตัวผมชอบรูปนี้มาก เพราะไกด์บอกว่า "ถ้าเดินไม่ไหวก็บินไปนะ" เราก็งง ว่า...บินยังไง? ไกด์บอก "บินลงเหวซ้ายมือไปเลย" เอิ่ม.... ดอกที่ 2 แล้วนะ!!! เดี๋ยวจะโดน..
แต่หนทางยังอีกไกล ยังต้องใช้บริการ ฉะนั้น "Keep calm and follow him"
ความสวยงามเหนือเมฆค่อยๆเผยโฉมมาทีละนิด
เมื่อมองกลับไปในทางที่เราพึ่งเดินขึ้นมา บางครั้งการได้มาเดินเขาคนเดียวมันก็ทำให้เราได้รู้จักตัวเรามากขึ้น อย่างน้อยก็รู้ว่าจริงๆ เราทำอะำรได้มากกว่าที่เราเคยคิดนะ
หลังจากฝนเทลงมาใส่พวกเรา หมอกหนาก็ตามมาทันที วิวสวยๆเมื่อกี้หายไป เหลือแต่ภาพลางๆ ในภาพนี้ ไกด์ถามผมว่า "เหนื่อยมั้ย"? นั่งกระเช้าได้นะ เห็นเสาไกลๆ นั้นมั้ย เป็นเสาของกระเช้าลอยฟ้าขึ้นยอดเขา แต่ต้องลงไปขึ้นที่อุทยานนะ!! สิ่งที่ผมพอจะทำได้หลังจากได้ยินประโยคนี้คือ คิดในใจ ดอกที่ 3 ละนะวันนี้ แค่ในระยะเวลา 4 ชม. เนี่ย รอก่อนนะไกด์ เดี๋ยวรวบทีเดียว... 555+ แสบจริงๆ ครัวไกด์ผม ส่วนตัวชอบเค้ามาก เพราะคุยสนุกมาก และมีมุขที่ทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเลย มัวแต่อาฆาตกับมุขของไกด์
FANSIPAN SUMMIT ฟานซิปัน...เดินเพลินจนเกินเมฆ 3,143 เมตร "นักดนตรีหนีเที่ยว"
สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม
ที่ต้องการจะมาแชร์ประสบการณ์ ในการออกจาก comfort zone
เพื่อต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ตัวเราเองดู 5555+
เนื่องจากมีวันนึงที่ผมเปื่อยๆดูทีวีอยู่ที่บ้าน
แล้วเห็นสารคดีการปีนยอดเขา Everest
ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้หัวใจผมมันเต้นแรงมาก อยากพาตัวเองไปยืนดูวิวสวยๆ
แบบนั้นบ้าง หลังจากที่คิดได้แบบนั้น มือผมก็จับไปที่พุงของตัวเอง
แล้วก็มีคำถามตามาว่า "เราจะแบกพุงลูกใหญ่ลูกนี้ไปยังไงอะ"?
และแล้วมันก็ทำให้ผมหึกเหิม เริ่มหันมาออกกำลังกาย
เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้ เมื่อออกกำลังกายมาได้ซักพัก
จนเริ่มรู้สึกว่า เราน่าจะไปรอดแล้วหละ
ก็ถึงเวลาที่จะเลือกสถานที่สำหรับทดสอบแล้ว.....
ซึ่งภูเขาลูกแรกที่เลือกไปก็คือ "ภูเขาไฟฟูจิ"
การไปครั้งนี้เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่มากๆ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
ภูเขาไฟฟูจิ จะสามารถเดินขึ้นไปได้
(คนญี่ปุ่นเค้าเดินขึ้นกันทุกปิดเทอมฤดูร้อนเลย 5555+) แต่ผมขอข้ามรายละเอียดการเดินขึ้นภูเขาไฟฟูจิไปก่อนนะครับ เพราะครั้งนั้นผมโดนพายุซัดเข้าเต็มๆ จนไม่สามารถขึ้นถึงปากปล่องภูเขาไฟได้
แถมยังเกือบโดนลมพายุหอบร่างออกจากภูเขาอีกมันเป็นการเดินเขาครั้งแรกที่ต้องบอกว่า ไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน!!!!!
หลังจากกลับมาจากฟูจิครั้งนั้น ความพยายามของผมเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
เพราะครั้งแรกของเราไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ด้วยความค้างคาใจ
แต่ไม่อยากกลับไปซ้ำที่เดิม การพิสูจน์ใจครั้งที่ 2 นี้ ผมจึงเลือก
"ยอดเขาฟานซิปัน" เพราะคิดว่าน่าจะง่ายกว่าฟูจิ แต่!!!
ผมคิดผิดอย่างมาก!!
ทริปนี้ผมเดินทางคนเดียว เพราะไม่รู้ว่าจะต้องไปเจอกับอะไรบ้าง
จะลำบากแค่ไหนก็ไม่รู้ ผมออกเดินทางช่วงกลางเดือนตุลาคม 2018
ใช้เวลาการเดินทางทั้งทริป 4 วัน 3 คืน
เรามาเริ่มออกเดินทางไปด้วยกันเลยครับ........
Day 1: Bangkok-->>Hanoi
ผมออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองเวลา 7:40น.
ซึ่งเป็นไฟล์ที่เช้ามาก เรียกได้ว่าละเมอเดินขึ้นเครื่องบินกันเลยทีเดียว
กะไว้ว่าจะไปหลับบนเครื่องบินให้เต็มอิ่ม
แต่....ยังไม่ทันได้หลับตาดีเลยครับ
นักบินก็ประกาศว่าเครื่องบินกำลังจะลดระดับลงสู่สนามบิน Noi Bai เร็วๆนี้
ใหผู้โดยสารเตรียมตัว.... T___T ยังง่วงอยู่เลย...
**คนไทยไปเที่ยวเวียดนามไม่ต้องใช้วีซ่านะครับ
ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วลุยได้เลย ^__^
หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง
ผมก็รีบสะพายเป้สีแดงคู่ใจออกเดินหารถเข้าเมืองอย่างไม่รอช้า...ผมลองถามคนในสนามบิน
เค้าบอกให้นั่งรถเมล์เข้าสู่ Old quarter ซึ่งเป็นย่านที่ผมจอง Hostel
เอาไว้ ใช้เวลานั่งรถประมาน 20 นาที ค่าโดยสาร 20 บาทเท่านั้นเองครับ
นาทีละบาทเลย 555+
ในส่วนของตัวเมืองฮานอยผมขอข้ามไปเลยนะครับ
เพราะเป้าหมายหลักของทริปนี้คือ ยอดเขาฟานซิปัน
การเดินทางจาก Hanoi ไปยังเมือง Sapa โดยรถบัสแบบบังคับนอน!!!!! ใช่แล้วครับ รถคันนี้ไม่สามารถนั่งได้เลย
เพราะเบาะทำมาให้นอนตลอดเวลา 5555+ ผมลองหาข้อมูลการเดินทาง
จริงๆก็ไปได้หลายทางทั้งรถไฟและรถบัส แต่ส่วนตัวผมชอบรสบัสมากกว่า
ผมจึงเลือกใช้บริการของ Sapa Express Bus
หน้าตาข้างในรถก็จะเป็นแบบในรูปครับ โดยที่นั่งโดยสารจะมี 2 ชั้น
ถ้าเราเลือกนั่งชั้นล่างก็จะมีกลิ่นตุๆ นิดหน่อยเพราะตอนขึ้นรถ
ทุกคนต้องถอดรองเท้าใส่ถุงหิ้วแล้วก็นำมาวางไว้ข้างๆที่นั่ง
แล้วแบบ...ทุกคนก็อาจจะเดินเที่ยวกันมาทั้งวัน
บอกเลยว่ากลิ่นเหนือคำบรรยายเลย.......
ยังไงก็แนะนำให้ติดยาดมกันไว้ด้วยนะครับ ^__^
การขึ้นรถบัสที่เวียดนามครั้งแรกนี้ผมเลยเลือกนั่งชั้น 2 ครับ
คิดว่าจะรอดพ้นจากกลิ่นได้บ้าง แต่จริงๆก็ช่วยได้นะครับ
ติดตรงที่ต้องปีนขึ้นปีนลงเวลาอยากไปเข้าห้องน้ำเท่านั้นเอง
ผ่านพ้นอุปสรรคทุกอย่างไปแล้ว ด้วยความเหนื่อยทำให้ผมเผลอหลับไป
ตื่นมาอีกที ตี 4 ฟ้ามืดอยู่เลย แต่รู้สึกว่ารถจอดนิ่งๆมานานแล้ว จริงๆ
คือรถมาถึงซาปาแล้ว แต่เค้าให้เรานอนต่อในรถจนถึง 6 โมงเช้า
แล้วเค้าก็จะไล่ลง!! เอ้ย เชิญเราลงครับ 555+
เพราะฟ้าสว่างพอจะให้เราเดินชมบรรยากาศความสวยงามของเมืองนี้แล้ว......
พอผมก้าวลงรถมองออกไป
ก็เห็นไกด์ที่ผมติดต่อไว้ขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับ โดยผมจองไกด์ของ
Sapa Original Trek เมื่อเค้าเห็นผมก็กล่าวทักทายแล้วก็พาผมซ้อนท้ายไปที่
office เพื่อกินข้าวและจัดเตรียมของ
Day 2: Sapa-->>First Camp
นี่คือภาพความประทับใจแรกของผมที่ Sapa ครับ
ที่จริงแล้วหลังตึกที่เราเห็นนี่
ก็คือหุบเขาอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลย วิวสวยมากๆจริงๆ
หลังจากนี้เราจะได้เดินสัมผัสธรรมชาติชองเมือง Sapa อย่างใกล้ชิดกันแล้ว
การเดินขึ้นยอดเขา Fansipan ในครั้งนี้ ผมจ้างไกด์แบบเดี่ยว
เพราะวันที่ผมไป ไกด์แบบไปเป็นกลุ่มเต็มหมดแล้ว ผมเลยต้องเลือก Program:
2 days- 1 night discovering Fansipan (tour code F2)
ซึ่งโชคดีที่ผมเลือกไม่ผิดครับ เค้าบริการดีจริงๆ
เริ่มจากการขับมอเตอร์ไซค์มารับที่รถบัส
เพื่อไปรอไกด์ที่จะมานำขึ้นเขาในเวลา 9:00น.
ใครสนใจสามารถเช็คโปรแกรมได้ตามลิงค์นี้ครับ http://sapaoriginaltrek.com
ตอนผมมาถึงบริษัทยังปิดอยู่เลยครับ
เหตุผลก็คือคนที่ไปรับเค้าเป็นเจ้าของครับ 555+ เปิดเอง รับลูกทัวร์เอง
โปรโมทเอง ทำทุกอย่างเลย ผมประทับใจเค้ามากครับ
เพราะเค้าเริ่มต้นมาจากอาชีพลูกหาบ ทำงานเป็นลูกหาบมาหลายปี
จนถึงตอนนี้เปิดบริษัทเองแล้ว แถมยังดูแลเพื่อนไกด์และลูกหาบในสังกัดของเค้าเป็นอย่างดี เพราะเค้าเข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี
ระหว่างรอไกด์มา เค้าก็ต้อนรับเราด้วยกาแฟดริปสไตล์เวียดนาม
ซึ่งอร่อยมากๆๆๆๆๆ รสเข้มข้น หอมกรุ่น เสิร์ฟพร้อมนมข้นเป็นชั้นๆให้ความรู้สึกเหมือนกาแฟโบราณบ้านเรา....แถมยังมีเฝอมาเติมพลังก่อนการเดินทางวันนี้อีกด้วย
ไกด์ผมมาแล้ว!!!!! (เสื้อเขียว)
บอกเลยว่า..ครั้งแรกที่เห็นไกด์ผมนึกว่าลูกเจ้าของร้านมาเดินเล่น!!! 555+
แล้วเค้าก็เดินมาแนะนำตัว ว่าเค้าชื่อ "ตั้ว" เค้าจะมาเป็นไกด์ให้ผม
ผมนี่แอบตกใจนิดๆ เพราะไกด์เด็กมาก
แอบคิดในใจว่า...เค้าจะดูแลเราในป่าไหวใช่มั้ย? แต่ในใจลึกๆก็เชื่อมั่นครับ ว่าเค้าพาเราไปได้แน่ๆ
ไกด์แนะนำให้เราแพ็คกระเป๋าเล็กๆเพื่อใช้ในการ trekking
ส่วนใบใหญ่ให้ทิ้งไว้ที่นี่
ผมรีบจัดของลงกระเป๋าอย่างตื่นเต้นและคำนวนน้ำหนักกระเป๋าอย่างดี
เพื่อที่จะได้ไม่เหนื่อยมากเกินไป ซักพัก..ไกด์ก็เดินถือขวดน้ำมา 3 ลิตร
แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม แล้วก็บอกว่า.. อะ ของคุณ..ใส่กระเป๋าไปนะ
แบกไปเอง!!!! ผมถามกลับไป อะไรนะ!!!!!! ขออีกที... แบกน้ำ 3 ลิตร
พังแน่ๆหลังผม.... ผมทำได้แค่อึ้งอยู่ในใจ แล้วก็ก้มหน้าแพ็คของต่อไป
555+
**Tip สำหรับผมการแบกน้ำเป็นขาดพลาสติกขึ้นเขานั้นลำบาก
ผมเลยเตรียมถุงใส่น้ำไป เพื่อความสะดวกในการพกพา
และจะได้ไม่นำขยะพลาสติกขึ้นไปด้วยครับ
ไกด์พาแว้นไปยังจุดเริ่มเดิน...
ยิ่งสูง หมอกก็ยิ่งหนา...ทำให้หวั่นๆในใจว่า ฝนจะเทมั้ยเนี่ย???
เส้นทางสวยงาม เทือกเขายาวจนสุดสายตา จนรู้สึกอยากแว้นไปจนถึงยอดเลย
ไม่อยากเดินละ!!!! 555+
หลังจากที่นั่ง ตา กลม หลังมอเตอร์ไซค์มานานเกือบ 20 นาที
ผมก็มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแล้ว....
ไกด์หันมายิ้มมุมปากเบาๆ แล้วก็ถามว่า "เข้าห้องน้ำหน่อยมั้ย" 5555+ โถ่
นึกว่าจะบอกอะไร... เค้าบอกว่า หลังจากเดินผ่านประตูนี้ไป
ความสบายจะหมดไปละนะ แล้วก็ขำแบบสะใจ.....
นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องให้ช่วยนำทางนะ หมี่เหลืองแน่นอน!!!! 555+
ประตูอุทยาน...จุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ยอดเขา Fansipan
^__^ เอาหละ...ได้เวลาออกผจญภัยของจริงแล้ว เริ่มกันเลย!!!
ทางเดินดอกแรกหลังจากผ่านประตูมา ถ้าถามผมว่าสวยมั้ย? แน่นอนครับ มันสวยมาก แต่.....ลองมองตรงไปหลังสะพานนั่นสิ ครึ้มเชียวนะ ป่าหนะ!! 5555+
ทางเดินในช่วงแรกไม่มีความชัน มีแต่พื้นน้ำแฉะๆ แนะนำเพื่อนๆใช้รองเท้าเดินป่าแบบกันน้ำนะครับ เพราะใน 6 ชม. นี้มีทั้งฝน, แดด และหนาว เรียกได้ว่าครบทุกฤดูเลย...
ดอกไม้ระหว่างทาง สีสันสวยงาม เป็นกำลังใจเล็กๆ ที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว
บางครั้งก็มีการเดินผ่านลำธารให้ได้เปียกกันบ้าง
รอยยิ้มของไกด์เมื่อได้ยินเราบอกว่า "ขอพักซัก 5 นาทีได้มั้ย?" หลังจากยิ้มนี้ ไกด์ก็พูดลอยๆ ว่า ถ้าหยุดบ่อยๆมันค่ำก่อนถึงที่พักนะ!!! "จ้า...ไปต่อเลยก็ได้" T_T
ทางข้ามลำธารที่น้ำแอบเชี่ยว แต่...ขอนไม้ที่ทำเป็นสะพานนั้น มันลื่นและอันตรายกว่าเดินลุยน้ำอีกนะ...
ความพีคแรกมาแล้ว!!! ที่เห็นนั่น มันชันมาก!! แต่ไกด์ผมเดินชิวเหมือนมาเดินเล่นในห้าง ไกด์ทำหน้าแบบที่ทำให้เรารู้สึกว่า..เราอาจจะเดินช้าไป....🤣🤣
ส่วนตัวผมชอบรูปนี้มาก เพราะไกด์บอกว่า "ถ้าเดินไม่ไหวก็บินไปนะ" เราก็งง ว่า...บินยังไง? ไกด์บอก "บินลงเหวซ้ายมือไปเลย" เอิ่ม.... ดอกที่ 2 แล้วนะ!!! เดี๋ยวจะโดน..
แต่หนทางยังอีกไกล ยังต้องใช้บริการ ฉะนั้น "Keep calm and follow him"
ความสวยงามเหนือเมฆค่อยๆเผยโฉมมาทีละนิด
เมื่อมองกลับไปในทางที่เราพึ่งเดินขึ้นมา บางครั้งการได้มาเดินเขาคนเดียวมันก็ทำให้เราได้รู้จักตัวเรามากขึ้น อย่างน้อยก็รู้ว่าจริงๆ เราทำอะำรได้มากกว่าที่เราเคยคิดนะ
หลังจากฝนเทลงมาใส่พวกเรา หมอกหนาก็ตามมาทันที วิวสวยๆเมื่อกี้หายไป เหลือแต่ภาพลางๆ ในภาพนี้ ไกด์ถามผมว่า "เหนื่อยมั้ย"? นั่งกระเช้าได้นะ เห็นเสาไกลๆ นั้นมั้ย เป็นเสาของกระเช้าลอยฟ้าขึ้นยอดเขา แต่ต้องลงไปขึ้นที่อุทยานนะ!! สิ่งที่ผมพอจะทำได้หลังจากได้ยินประโยคนี้คือ คิดในใจ ดอกที่ 3 ละนะวันนี้ แค่ในระยะเวลา 4 ชม. เนี่ย รอก่อนนะไกด์ เดี๋ยวรวบทีเดียว... 555+ แสบจริงๆ ครัวไกด์ผม ส่วนตัวชอบเค้ามาก เพราะคุยสนุกมาก และมีมุขที่ทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเลย มัวแต่อาฆาตกับมุขของไกด์