สวัสดีครับ
รีวิวครั้งแรก มีอะไรติชมด้วยนะครับ
คำแนะนำส่วนตัวของผมอยู่ด้านล่างนะครับ
เริ่มกันเลย
จากความตั้งใจแรกของทริปนี้ ผมจะไปเที่ยว Sapa สองวัน 1 คืน แล้วก็แวบ Fansipan ด้วยกระเช้าเอา
หลังจากซื้อตั๋วไปแล้วเรียบร้อย
บังเอิ๊ญญญ ไปเจอกระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/34899195
ของคุณ Above the clouds
ผมเปลี่ยนใจเดินขึ้นทันที เพราะครั้งแรกมีครั้งเดียว
ตอนแรกกลัวไม่มีข้าวกินกับไม่มีที่นอน 555
เลยอดเดินลง และ ต้องลงกระเช้าแทนเพราะไม่มีเวลา
โดยรวมทริปของผมครั้งนี้นะครับ
วันที่ 1
- เที่ยวฮานอยก่อน 1 วันหลังจากบินจากไทย
- นอนรถไฟไปที่ Laocai จากนั้นก็ต่อรถไปที่ Sapa ในตอนเช้า
วันที่2
- รถที่ติดต่อไว้จะไปส่งที่ ออฟฟิส เอเย่นที่พาไปปีน Fansipan
- หลังจากนั้น ก็รอคนอื่นๆและ คนนำทาง ทางเอเย่นจะไปส่งเราปีนที่ตีนเขา
- นอนบน High camp
วันที่3
- ตื่นแต่เช้ามืด เพื่อไปถ่ายกับ Fansipan Peak ก่อนที่ กระเช้าจะเปิด จะได้วิวแบบ Private มาก
- ลงด้วยกระเช้าสายๆ เหลือเวลาอีก เกือบเต็มวันเที่ยว Sapa ก่อนจะนั่งรถไฟกลับ
เอเย่นของผมทริปนี้ คือ คุณ Nga
https://www.facebook.com/Ngabeauty79
ส่วนที่ผมให้เค้าซื้อให้คือ
ตั๋วรถไฟ ไป-กลับ (Hanoi-Laocai) : 75 USD
ตั๋วรถไปรับไปส่งจาก (Laocai-Sapa) : 6 USD
ทริปปีน Fansipan แบบไปรวมกับกลุ่มคนอื่น 3 วัน 2 คืน : 65 USD (ไปคนเดียวไม่มีคนอื่นก็ 105 USD)
เดินลงด้วยกระเช้าเค้าก็คิดเต็มครับ ราคานี้ไม่มีลูกหาบ
เกริ่นกันมาพอสมควรละเริ่มกันเลยละกัน
หลังจากลงเครื่องบินลงมา
ก็ซื้อ Sim card ให้เรียบ
แล้วก็เดินทางเข้าเมืองไปรับตั๋วรถไฟไป Sapa ที่ออฟฟิสของคุณ Nga
ด้วยรถเมล์ สาย 86
(30,000 ดอง)
หลังจากนั้น เอเย่นก็ส่งคนมารับเราที่ป้ายรถเมล์
ที่นี่เค้าคับมอไซค์กันซะเป็นส่วนใหญ่ อากาศกำลังดีเลย
หลังจากได้บัตรก็วางกระเป๋าอะไรก็ตามไว้ที่ออฟฟิสเอเย่นนั่นแหละ
หลังจากต้องตื่นเช้ากินอาหารสนามบิน
ในที่สุดเราก็ได้ ซดอะไรร้อนๆ แก้หนาว
เฝออออออออ เนื้อ medium อร่อยสุดๆ ณ เวลานั้น
จากเท่าที่ถามๆมา Hanoi เองก็ไม่มีที่ให้เที่ยวมากนัก เลยได้แต่ แวบๆหาวัดถ่ายรูป
เที่ยวสุสานโฮจิมีนซักหน่อย
เดิยนแปปๆก็จะมืดละ ที่ St. Joseph's Cathedral ยามค่ำคืนนี่ก็สวยใช้ได้เลย
จุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละ
ระหว่างที่รอรถไฟไป Laocai ผมว่าผมเจอสาวไทยมาคนเดียว
จริงๆไอ้เราก็แอบเหล่ อยากรู้จักนะ แต่ป๊อด 555
วันนั้น 6 มกราคม 2017 ตอนนั้น 3 ทุ่มได้มั้ง
โพสตามหาเอาแถวนี้แหละ อิอิ
ในที่สุดเราก็ได้นอนซะที ที่อาบน้ำก็ไม่มี วันที่แรกผ่านไปไม่อาบน้ำ
ถึงแล้วว Laocai จากนั้นก็ต่อรถไป Sapa ใช้เวลาประมาณ 45-1 ชั่วโมง
Hello Sapa. ระหว่างนั้นก็หาข้าวเช้ากินเพื่อเป็นพลังงานเพื่อไปลุย Fansipan ในวันแรก
วิวระหว่างทางไปจุดเริ่มปีน
ไม่ได้ถ่ายจุดเริ่มเดินเลยเพราะไปถึงเค้าก็เดินดุ่มๆกันเลย
โดยผู้ร่วมทางครั้งนี้
มี
Miah ไกด์สาวชาวเวียดนาม ปกติเค้าเป็นไกด์ที่ Halongbay
Nam เพื่อนของ Miah อีกทีหนุ่มรีวิวเกมจากเวียดนาม
Chu ผู้นำทางผู้แบกอาหารของเรามื้อนี้ (แบกเฉพาะอาหารจริงๆ)
ทั้งฝนทั้งหมอก อดถ่ายรูปในวันแรกจ้าา
เดินกันสบายๆ
ฝนตกคนนำทางของเราก็เอา ใบไม้มาปิดหน้าเพื่ออะไรไม่รู้
จากนั้นพวกเราก็เอามั่ง 55 (ผมไอ้เสื้อแดงทางขวา)
หลังจากเดินมาหลายชั่วโมง ถึงที่กินข้าวเที่ยงโคตรดีใจ
อาหารเที่ยงสไตล์ฝรั่งเศส (เวียดนามเคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส ในหลายๆพื้นที่ของเวียดนามก็จะกินอาหารสไตล์นี้)
ไม่เห็นอะไรจริงๆมีแต่ฝนกับหมอก
ในที่สุดเราก็ถึงแล้ว ดีใจหยั่งกะถูกหวย
เหนื่อยกันสุดๆ
ห้องนอนจะแบ่งเป็นกรุ๊บ
คนนำทาง 1 คนพามากี่คนก็ตาม คนทั้งกลุ่มนั้นก็ต้องนอนรวมกันใน 1 ห้องครับ
ซึ่งในนั้นมีประมาณ 6 ห้องได้ครับ
ถ้าใครมาเจอฝนก็เตรียมเละกันหน่อยนะครับ
ด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 10 องศา แถมลมแรงสุดๆ
วิธีเพิ่มความอุ่นก็ต้องไปวุ่นวายเค้าในห้องครัว 555
และแล้วก็ได้กินมื้อเย็นกันแบบอิ่มหนำ เสร็จแล้วก็นอนเอาแรงกัน
ถ่ายห้องนอนมาให้ดูไม่ได้เพราะในห้องไม่มีไฟ
วันที่ 2 ที่ไม่ได้อาบน้ำจ้าาาาา
หลังจากนอนแต่หัวค่ำคนนำทางก็มาปลุกตั้งแต่ ตี 4 เพื่อกินข้าวให้เสร็จและออกเดินทางตั้งแต่
ตี 4 ครึ่งเพื่อไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่ ยอด Fansipan
ในความโชคร้ายของเมื่อวาน ก็ยังมีความโชคดีอยู่
ด้วยอากาศที่ชื้นจากเมื่อวาน สิ่งที่เหลือคือ
ทะเลหมอก สุดลูกหูลูกตา
ด้วยสภาพที่ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เลยเดินช้ากว่าที่เป็น พระอาทิตย์ขึ้นก่อนถึงยอด
ช่วงสุดท้ายขาแทบยกไม่ขึ้นแล้ว แต่เจอสามเหลี่ยมอันนี้ทีเดียว ความเหนื่อยหายหมดเลย
อากาศเย็นนิดหน่อย ติดลบนิดหน่อย
ถ่ายรูปหมู่กันหน่อย
ข้อดีของการปีนเอาคือจะมาถึงก่อนกระเช้าเปิด
และจะได้ถ่ายรูปกับยอดแบบไม่มีคนอื่นเลยซักคนเป็นชั่วโมงในตอนเช้า
นั่งมองวิวแบบไม่ได้ถ่ายรูปอยู่หลายนาที
เลนส์ที่มีผมไม่พอเก็บจริงๆครับ
ถึงเวลาลงแล้วครับ
ลงด้วยกระเช้าค่าเดินทางอยู่ที่
600,000 ดอง (ไม่รวมอยู่ในทริปปีนเขาครับ)
หลังจากลงมา
Miah ของเราคือคนที่มาเที่ยว Sapa ถึง 4 รอบ
พวกเค้าเลยชวยผมเที่ยวด้วย โดย Miah จะพาเที่ยว Sapa
ซึ่งพวกเค้าพาผม ปั่นจักรยาน
ผมเองก็วางแผนไม่ทันจะเที่ยว Sapa อยู่แล้วตามเค้าไปสิครับ
Sapa ช่วง มกราคม สวยอยู่เหมือนกัน แต่ถือว่ายังไม่สุด ได้อากาศเย็นเฉยๆ
ถ้าจะมา ถ่าย Sapa ก็มาช่วง กค-สค ครับ
คนที่เคยไป Sapa คงจะนึกออกนะครับ
ทางลาดลงไปหมู่บ้าน กว่า 10 กิโล
หลังจากปล่อยไหลลงชิวๆ ไป 5 กิโล
มีคนคิดได้ว่าต้องปั่นกลับ แต่ด้วยสภาพขาที่ไปปีน Fansipan กันมา
เข็นสิครับ
แต่ด้วยสไตล์ของชาวเวียดนาม พวกเค้าจะไม่ยอมโบกรถหรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
ซึ่งเค้าก็ไม่ห้ามให้ผมโบกรถด้วยในตอนแรก
แต่ผมดื้อ โบกเลย ขอไปด้วยครับ ซึ่งพี่เค้าก็ใจดีพาเรากลับขึ้นไปที่เมือง
เผยแพร่ Thailand style กันเลยทีเดียว
และแล้วก็ถึงเวลามื้อเที่ยง
Miah กับ Nam เค้าก็เอาใจผมเต็มที่สั่งสไตล์เวียดนามแท้ให้ผมกิน
ผมต้องสารภาพตามตรง ผมถามชื่ออาหารมาแล้ว
แต่ผมจำไม่ได้
กินข้าวเสร็จก็นั่งกินกาแฟยาวบ่าย
และแล้วก็ถึงเวลา อำลาเพื่อนใหม่ที่ร่วมลำบากปีนเขาด้วยกันถึงสองวัน แถมพาผมเที่ยวอีก
สภาพรองเท้าของผมไม่อยากเอาขึ้นเครื่องเลย แม้จะเอามาคู่เดียว
แต่กลัวคุณแอร์คนสวยต้องมาทำความสะอาดพื้นอีก
ซื้อใส่สไตล์เวียดนามกลับไทยละกัน
หลังจากนั้นคนที่นั่นก็ไม่พูด Eng ด้วยอีกเลย
แอบเห็น คนที่นี่เค้าดูละครช่อง 7 แถมมีซับเวียดนามด้วย
ระหว่างรอรถไปส่งสถาณนีรถไฟ เด็กๆที่นั่นก็เล่นอะไรซักอย่าง
คล้ายๆลูกแบต แต่ไม่ไช่ โดยหลักการแล้วก็เหมือนตะกร้อบ้านเราครับ
และแล้วหลังจากลงจากรถไฟ ก็ถึงเวลากลับบ้าน
ถึงเช้าประมาณ ตี 5 ของวันนั้นซึ่งจะมีรถเมล์มารับที่ สถานีรถไฟ ไปส่งที่ สนามบินภายในประเทศ
และเราก็ต่อ Shuttle bus ฟรีไปที่สนามบินระหว่างประเทศได้ที่สนามบินเลยครับ
ซึ่งโดยรวม จะทันเที่ยวบินเช้าแบบสบายๆเลยครับ
สรุป
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้รวมทั้งผมตอนทริปนั้นคือ
คนเวียดนามเค้าจะไม่นั่งรถไฟ เค้าจะนั่งรถบัสไป เพราะ ถูกกว่า แถมเร็วกว่า
แล้วก็เอาเวลาไปหาที่พักที่ Sapa เอาจะสบายกว่าเยอะ
สำหรับคนที่อยากไป Fansipan
ผมแนะนำว่าครั้งแรกควรไปด้วยขาตัวเอง
เพราะจะได้วิวสุดประทับใจไม่มีคนมาวุ่นวาย
ของที่ควรเตรียมไป
- waterproof jacket ถ้ามีนะครับเพราะลมแรงและอาจมีฝนได้ตลอด
- ไฟคาดหัวอันนี้สะดวกมากเวลาเดินช่วงเช้ามืด ยังมีหลายจุดต้องไช้มือปีน
- ขนมเพิ่มเติม เพราะโดยปกติ คนเวียดนามเองจะกินกันน้อยเพราะงั้นเค้าจะเตรียมอาหารไม่มาก อาจจะไม่อิ่มสำหรับคนไทย
- Trekking pole เอาไปช่วยได้เยอะครับ
สำหรับ Sapa
ถ้าอยากเอาหนาวเฉยๆก็ไปได้ครับ Sapa ถูกดีไปง่ายบรรยากาศดี
แต่ถ้าจะไปเอาวิวจริงๆไปช่วง กค-สค นั่นแหละ ซึ่งผมคงไปอีกแน่ๆ ครับ
ค่าเสียหาย
ค่าเครื่องบิน 3800 บาท
ค่ารถไฟ 75 USD = 2650 บาท
รถจาก Laocai - Sapa ไปกลับ 6 USD = 210 บาท
ค่าคนนำทางแบบกลุ่ม 65 USD = 2300 บาท
ค่าลงกระเช้าประมาณ 900 บาท
ค่ากินเที่ยวใน Hanoi และ Sapa 3000 บาท (โดยประมาณ)
รวม 12,860 บาท
ซึ่งถ้าผมแนะนำเที่ยวแบบสบายๆ เตรียมงบไว้ 15,000 กำลังดีครับ
สุดท้ายนี้ถ้าใครมีคำถามอะไรก็ถามได้ครับ หรือ มีอะไรติชมเรื่องการรีวิวก็แนะนำได้ครับ
ขอบคุณที่อ่านนะครับ
ลุยเดี่ยวปีน Fansipan ช่วงหน้าหนาวแต่.......เจอฝน (ปีนขึ้น ลงกระเช้า) เวลาเหลือคน Vietnam พาเที่ยว Sapa
รีวิวครั้งแรก มีอะไรติชมด้วยนะครับ
คำแนะนำส่วนตัวของผมอยู่ด้านล่างนะครับ
เริ่มกันเลย
จากความตั้งใจแรกของทริปนี้ ผมจะไปเที่ยว Sapa สองวัน 1 คืน แล้วก็แวบ Fansipan ด้วยกระเช้าเอา
หลังจากซื้อตั๋วไปแล้วเรียบร้อย
บังเอิ๊ญญญ ไปเจอกระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/34899195
ของคุณ Above the clouds
ผมเปลี่ยนใจเดินขึ้นทันที เพราะครั้งแรกมีครั้งเดียว
ตอนแรกกลัวไม่มีข้าวกินกับไม่มีที่นอน 555
เลยอดเดินลง และ ต้องลงกระเช้าแทนเพราะไม่มีเวลา
โดยรวมทริปของผมครั้งนี้นะครับ
วันที่ 1
- เที่ยวฮานอยก่อน 1 วันหลังจากบินจากไทย
- นอนรถไฟไปที่ Laocai จากนั้นก็ต่อรถไปที่ Sapa ในตอนเช้า
วันที่2
- รถที่ติดต่อไว้จะไปส่งที่ ออฟฟิส เอเย่นที่พาไปปีน Fansipan
- หลังจากนั้น ก็รอคนอื่นๆและ คนนำทาง ทางเอเย่นจะไปส่งเราปีนที่ตีนเขา
- นอนบน High camp
วันที่3
- ตื่นแต่เช้ามืด เพื่อไปถ่ายกับ Fansipan Peak ก่อนที่ กระเช้าจะเปิด จะได้วิวแบบ Private มาก
- ลงด้วยกระเช้าสายๆ เหลือเวลาอีก เกือบเต็มวันเที่ยว Sapa ก่อนจะนั่งรถไฟกลับ
เอเย่นของผมทริปนี้ คือ คุณ Nga
https://www.facebook.com/Ngabeauty79
ส่วนที่ผมให้เค้าซื้อให้คือ
ตั๋วรถไฟ ไป-กลับ (Hanoi-Laocai) : 75 USD
ตั๋วรถไปรับไปส่งจาก (Laocai-Sapa) : 6 USD
ทริปปีน Fansipan แบบไปรวมกับกลุ่มคนอื่น 3 วัน 2 คืน : 65 USD (ไปคนเดียวไม่มีคนอื่นก็ 105 USD)
เดินลงด้วยกระเช้าเค้าก็คิดเต็มครับ ราคานี้ไม่มีลูกหาบ
เกริ่นกันมาพอสมควรละเริ่มกันเลยละกัน
หลังจากลงเครื่องบินลงมา
ก็ซื้อ Sim card ให้เรียบ
แล้วก็เดินทางเข้าเมืองไปรับตั๋วรถไฟไป Sapa ที่ออฟฟิสของคุณ Nga
ด้วยรถเมล์ สาย 86
(30,000 ดอง)
หลังจากนั้น เอเย่นก็ส่งคนมารับเราที่ป้ายรถเมล์
ที่นี่เค้าคับมอไซค์กันซะเป็นส่วนใหญ่ อากาศกำลังดีเลย
หลังจากได้บัตรก็วางกระเป๋าอะไรก็ตามไว้ที่ออฟฟิสเอเย่นนั่นแหละ
หลังจากต้องตื่นเช้ากินอาหารสนามบิน
ในที่สุดเราก็ได้ ซดอะไรร้อนๆ แก้หนาว
เฝออออออออ เนื้อ medium อร่อยสุดๆ ณ เวลานั้น
จากเท่าที่ถามๆมา Hanoi เองก็ไม่มีที่ให้เที่ยวมากนัก เลยได้แต่ แวบๆหาวัดถ่ายรูป
เที่ยวสุสานโฮจิมีนซักหน่อย
เดิยนแปปๆก็จะมืดละ ที่ St. Joseph's Cathedral ยามค่ำคืนนี่ก็สวยใช้ได้เลย
จุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละ
ระหว่างที่รอรถไฟไป Laocai ผมว่าผมเจอสาวไทยมาคนเดียว
จริงๆไอ้เราก็แอบเหล่ อยากรู้จักนะ แต่ป๊อด 555
วันนั้น 6 มกราคม 2017 ตอนนั้น 3 ทุ่มได้มั้ง
โพสตามหาเอาแถวนี้แหละ อิอิ
ในที่สุดเราก็ได้นอนซะที ที่อาบน้ำก็ไม่มี วันที่แรกผ่านไปไม่อาบน้ำ
ถึงแล้วว Laocai จากนั้นก็ต่อรถไป Sapa ใช้เวลาประมาณ 45-1 ชั่วโมง
Hello Sapa. ระหว่างนั้นก็หาข้าวเช้ากินเพื่อเป็นพลังงานเพื่อไปลุย Fansipan ในวันแรก
วิวระหว่างทางไปจุดเริ่มปีน
ไม่ได้ถ่ายจุดเริ่มเดินเลยเพราะไปถึงเค้าก็เดินดุ่มๆกันเลย
โดยผู้ร่วมทางครั้งนี้
มี
Miah ไกด์สาวชาวเวียดนาม ปกติเค้าเป็นไกด์ที่ Halongbay
Nam เพื่อนของ Miah อีกทีหนุ่มรีวิวเกมจากเวียดนาม
Chu ผู้นำทางผู้แบกอาหารของเรามื้อนี้ (แบกเฉพาะอาหารจริงๆ)
ทั้งฝนทั้งหมอก อดถ่ายรูปในวันแรกจ้าา
เดินกันสบายๆ
ฝนตกคนนำทางของเราก็เอา ใบไม้มาปิดหน้าเพื่ออะไรไม่รู้
จากนั้นพวกเราก็เอามั่ง 55 (ผมไอ้เสื้อแดงทางขวา)
หลังจากเดินมาหลายชั่วโมง ถึงที่กินข้าวเที่ยงโคตรดีใจ
อาหารเที่ยงสไตล์ฝรั่งเศส (เวียดนามเคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส ในหลายๆพื้นที่ของเวียดนามก็จะกินอาหารสไตล์นี้)
ไม่เห็นอะไรจริงๆมีแต่ฝนกับหมอก
ในที่สุดเราก็ถึงแล้ว ดีใจหยั่งกะถูกหวย
เหนื่อยกันสุดๆ
ห้องนอนจะแบ่งเป็นกรุ๊บ
คนนำทาง 1 คนพามากี่คนก็ตาม คนทั้งกลุ่มนั้นก็ต้องนอนรวมกันใน 1 ห้องครับ
ซึ่งในนั้นมีประมาณ 6 ห้องได้ครับ
ถ้าใครมาเจอฝนก็เตรียมเละกันหน่อยนะครับ
ด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 10 องศา แถมลมแรงสุดๆ
วิธีเพิ่มความอุ่นก็ต้องไปวุ่นวายเค้าในห้องครัว 555
และแล้วก็ได้กินมื้อเย็นกันแบบอิ่มหนำ เสร็จแล้วก็นอนเอาแรงกัน
ถ่ายห้องนอนมาให้ดูไม่ได้เพราะในห้องไม่มีไฟ
วันที่ 2 ที่ไม่ได้อาบน้ำจ้าาาาา
หลังจากนอนแต่หัวค่ำคนนำทางก็มาปลุกตั้งแต่ ตี 4 เพื่อกินข้าวให้เสร็จและออกเดินทางตั้งแต่
ตี 4 ครึ่งเพื่อไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่ ยอด Fansipan
ในความโชคร้ายของเมื่อวาน ก็ยังมีความโชคดีอยู่
ด้วยอากาศที่ชื้นจากเมื่อวาน สิ่งที่เหลือคือ
ทะเลหมอก สุดลูกหูลูกตา
ด้วยสภาพที่ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เลยเดินช้ากว่าที่เป็น พระอาทิตย์ขึ้นก่อนถึงยอด
ช่วงสุดท้ายขาแทบยกไม่ขึ้นแล้ว แต่เจอสามเหลี่ยมอันนี้ทีเดียว ความเหนื่อยหายหมดเลย
อากาศเย็นนิดหน่อย ติดลบนิดหน่อย
ถ่ายรูปหมู่กันหน่อย
ข้อดีของการปีนเอาคือจะมาถึงก่อนกระเช้าเปิด
และจะได้ถ่ายรูปกับยอดแบบไม่มีคนอื่นเลยซักคนเป็นชั่วโมงในตอนเช้า
นั่งมองวิวแบบไม่ได้ถ่ายรูปอยู่หลายนาที
เลนส์ที่มีผมไม่พอเก็บจริงๆครับ
ถึงเวลาลงแล้วครับ
ลงด้วยกระเช้าค่าเดินทางอยู่ที่
600,000 ดอง (ไม่รวมอยู่ในทริปปีนเขาครับ)
หลังจากลงมา
Miah ของเราคือคนที่มาเที่ยว Sapa ถึง 4 รอบ
พวกเค้าเลยชวยผมเที่ยวด้วย โดย Miah จะพาเที่ยว Sapa
ซึ่งพวกเค้าพาผม ปั่นจักรยาน
ผมเองก็วางแผนไม่ทันจะเที่ยว Sapa อยู่แล้วตามเค้าไปสิครับ
Sapa ช่วง มกราคม สวยอยู่เหมือนกัน แต่ถือว่ายังไม่สุด ได้อากาศเย็นเฉยๆ
ถ้าจะมา ถ่าย Sapa ก็มาช่วง กค-สค ครับ
คนที่เคยไป Sapa คงจะนึกออกนะครับ
ทางลาดลงไปหมู่บ้าน กว่า 10 กิโล
หลังจากปล่อยไหลลงชิวๆ ไป 5 กิโล
มีคนคิดได้ว่าต้องปั่นกลับ แต่ด้วยสภาพขาที่ไปปีน Fansipan กันมา
เข็นสิครับ
แต่ด้วยสไตล์ของชาวเวียดนาม พวกเค้าจะไม่ยอมโบกรถหรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
ซึ่งเค้าก็ไม่ห้ามให้ผมโบกรถด้วยในตอนแรก
แต่ผมดื้อ โบกเลย ขอไปด้วยครับ ซึ่งพี่เค้าก็ใจดีพาเรากลับขึ้นไปที่เมือง
เผยแพร่ Thailand style กันเลยทีเดียว
และแล้วก็ถึงเวลามื้อเที่ยง
Miah กับ Nam เค้าก็เอาใจผมเต็มที่สั่งสไตล์เวียดนามแท้ให้ผมกิน
ผมต้องสารภาพตามตรง ผมถามชื่ออาหารมาแล้ว
แต่ผมจำไม่ได้
กินข้าวเสร็จก็นั่งกินกาแฟยาวบ่าย
และแล้วก็ถึงเวลา อำลาเพื่อนใหม่ที่ร่วมลำบากปีนเขาด้วยกันถึงสองวัน แถมพาผมเที่ยวอีก
สภาพรองเท้าของผมไม่อยากเอาขึ้นเครื่องเลย แม้จะเอามาคู่เดียว
แต่กลัวคุณแอร์คนสวยต้องมาทำความสะอาดพื้นอีก
ซื้อใส่สไตล์เวียดนามกลับไทยละกัน
หลังจากนั้นคนที่นั่นก็ไม่พูด Eng ด้วยอีกเลย
แอบเห็น คนที่นี่เค้าดูละครช่อง 7 แถมมีซับเวียดนามด้วย
ระหว่างรอรถไปส่งสถาณนีรถไฟ เด็กๆที่นั่นก็เล่นอะไรซักอย่าง
คล้ายๆลูกแบต แต่ไม่ไช่ โดยหลักการแล้วก็เหมือนตะกร้อบ้านเราครับ
และแล้วหลังจากลงจากรถไฟ ก็ถึงเวลากลับบ้าน
ถึงเช้าประมาณ ตี 5 ของวันนั้นซึ่งจะมีรถเมล์มารับที่ สถานีรถไฟ ไปส่งที่ สนามบินภายในประเทศ
และเราก็ต่อ Shuttle bus ฟรีไปที่สนามบินระหว่างประเทศได้ที่สนามบินเลยครับ
ซึ่งโดยรวม จะทันเที่ยวบินเช้าแบบสบายๆเลยครับ
สรุป
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้รวมทั้งผมตอนทริปนั้นคือ
คนเวียดนามเค้าจะไม่นั่งรถไฟ เค้าจะนั่งรถบัสไป เพราะ ถูกกว่า แถมเร็วกว่า
แล้วก็เอาเวลาไปหาที่พักที่ Sapa เอาจะสบายกว่าเยอะ
สำหรับคนที่อยากไป Fansipan
ผมแนะนำว่าครั้งแรกควรไปด้วยขาตัวเอง
เพราะจะได้วิวสุดประทับใจไม่มีคนมาวุ่นวาย
ของที่ควรเตรียมไป
- waterproof jacket ถ้ามีนะครับเพราะลมแรงและอาจมีฝนได้ตลอด
- ไฟคาดหัวอันนี้สะดวกมากเวลาเดินช่วงเช้ามืด ยังมีหลายจุดต้องไช้มือปีน
- ขนมเพิ่มเติม เพราะโดยปกติ คนเวียดนามเองจะกินกันน้อยเพราะงั้นเค้าจะเตรียมอาหารไม่มาก อาจจะไม่อิ่มสำหรับคนไทย
- Trekking pole เอาไปช่วยได้เยอะครับ
สำหรับ Sapa
ถ้าอยากเอาหนาวเฉยๆก็ไปได้ครับ Sapa ถูกดีไปง่ายบรรยากาศดี
แต่ถ้าจะไปเอาวิวจริงๆไปช่วง กค-สค นั่นแหละ ซึ่งผมคงไปอีกแน่ๆ ครับ
ค่าเสียหาย
ค่าเครื่องบิน 3800 บาท
ค่ารถไฟ 75 USD = 2650 บาท
รถจาก Laocai - Sapa ไปกลับ 6 USD = 210 บาท
ค่าคนนำทางแบบกลุ่ม 65 USD = 2300 บาท
ค่าลงกระเช้าประมาณ 900 บาท
ค่ากินเที่ยวใน Hanoi และ Sapa 3000 บาท (โดยประมาณ)
รวม 12,860 บาท
ซึ่งถ้าผมแนะนำเที่ยวแบบสบายๆ เตรียมงบไว้ 15,000 กำลังดีครับ
สุดท้ายนี้ถ้าใครมีคำถามอะไรก็ถามได้ครับ หรือ มีอะไรติชมเรื่องการรีวิวก็แนะนำได้ครับ
ขอบคุณที่อ่านนะครับ