สวัสดีครับ ผมเพิ่งเดินขึ้นยอดเขาที่สูงที่สุดของอินโดจีนมา Fansipan(3143 m)และก้มีเพื่อนๆในนี้บางท่านสนใจสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับเอเย่น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็เลยขอตั้งกระทู้ไว้เผื่อใครอยากจะไปบ้างจะได้มีข้อมูลอ้างอิงคับ
เริ่มต้นเราก้หาข้อมูลการไป Fansipan จากในนี้ และน้องสาวเราให้ข้อมูลเอเย่นมา เราเลยไป add FB ของเอเย่น และได้สอบถามรายละเอียดราคาค่าใช้จ่ายต่างๆสรุปแล้วเรามีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นตามภาพ
การติดต่อกับเอเย่นเองโดยการพิมทำให้เราเปิดดิกได้และทำให้เราพอที่จะได้ศัพท์ที่จำเป็นต้องใช้ในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ โยนเป็นคำๆไปเด๋วเขาก็รวมจนเข้าใจกัน เราก้จะได้พื้นฐานไปตายดาบหน้าได้
ราคา Taxi จากรถทัวร์รถไฟไปสนามบินและสนามบินไปขึ้นรถทัวร์รถไฟเอาเกณฑ์นี้เป็นตัวตั้งจะไม่เสียเปรียบนะครับ ได้ถูกกว่าก้ดีไป แต่จะกดมิตเตอร์เคยอ่านเจอว่ามีTaxiมิจฉาชีพนะครับ
เราเลือกขึ้นรถทัวร์ค่าบริการถูกกว่ารถไฟครึ่งหนึ่ง เป็นรถนอนน่าใช้กว่าบ้านเรามาก และขอบอกว่า รถที่โน่นขับขี่ไม่ค่อยมีวินัยก็จริงแต่เขาใช้ความเร็วในอัตราที่สามารถเบรกรถได้ทันทุกคัน ความปลอดภัยเราคิดว่าดีพอสมควร อันนี้สภาพภายในรถ
รถนอนสมชื่อครับ แต่จองยังไงเราก้ทำไม่เป็นนะครับเพราะให้เอเย่นจัดการให้สพดวกกว่า รถทัวร์ที่นี่(อ่านเจอเขาว่ารถไฟก็เหมือนกัน)มีปัญหาสำคัญคือไม่มีระบุที่นั่ง ทีนี้ถ้าจัดการเองอลเวงน่าดูครับ ถ้าขึ้นจาก Sapa มา Hanoi ปัญหาไม่มากเพราะขึ้นที่ท่ารถ Camel bus แต่ถ้าขึ้นจาก Hanoi ไป Sapa จองเองผมว่าเจอปัญหาแน่ๆเพราะขึ้นกลางทางและไม่มีป้ายรถชัดเจน แต่คนท้องถิ่นจะรู้ว่าขึ้นที่ไหนครับ นี่สภาพผู้ร่วมชะตากรรมที่ไปคอยขึ้นรถ Camel Bus ไป Sapa ด้วยกัน สหประชาชาติมาก อิตาลี ฝรั่งเศษ ฮอลแลน แคนนาดา เกาหลี ไทย
รถเราออกจาก Hanoi ตอน 4 ทุ่มถึง Sapa ประมาณ ตีห้าแต่คนขับไม่ให้ลงรถ ให้นอนอยู่บนรถก่อนจนถึง หกโมงเช้า หลังจากนั้นก็แยกย้าย บางคนเดินไปโรงแรม ส่วนเราไป Office ของเอเย่นเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน แยกของแล้วฝากของไว้ office ของเอเย่นเป็นร้านอาหารเราเลยกินข้าวเช้าที่นี่โทษฐานที่ให้ที่ล้างหน้าแปรงฟันนั่งพัก ไม่ต้องทนหนาวคอยคนมารับไป Fansipan อาหารแถวนี้ก็ราคาประมาณสีลมบ้านเรา กาแฟ 40 บาท ขนมปังร้อยกว่าบาท
บอกเลยว่าเรามีปัญหากับรสของขนมปังบ้านเขามาก มื้อแรกที่ Sapa ก็อ๊วกละ หลังจากกินอาหารเช้าแยกของนั่งพัก ประมาณ 9 โมงครึ่งก็มีคนมารับไปจุดเริ่มเดิน ที่ฮาคิอ ทริปนั้นดันมีเราคนเดียว รถที่มารับเลยกลายเป็นมอร์ไซค์ ของไกด๋์เอง ขี่พาคนน้ำหนัก 90 กว่ากิโลขึ้นเขาชันที่เต็มไปด้วยหมอกและหนาวจับใจ บอกเลยว่าโครตชอบ
เมื่อมาถึงจุดเริ่มเดินก็จะมีการลงทะเบียน เมื่อลงทะเบียนเสร็จก็เริ่มเดินกัน ตรงนี้ลืมถ่ายรูปครับ
เดินมาซักพัก เราก็ได้รู้ว่าไอน้องนี่มันเพิ่งเป็นไกด์มือใหม่ และการพาชาวต่างชาติเดินขึ้น Fansipan มันช่วยให้เขาได้ฝึกภาษาอังกฤษ ฟังมันพูดแล้วน้ำตาจะซึม ได้แต่เตะไหล่น้องมันเบาๆแล้วรำพึงรำพันภาษาไทยว่าเฮียขอโทษด้วยนะ
ตอนถ่ายและเช็คภาพก้แอบสงสัยเหมือนกันว่า ใช่ใช่มั้ยตัวเธอว์ โชคดีไปที่น้องมันมีแฟนเป็นผู้หญิงทำให้เดินด้วยกันสนิทใจขึ้น
เส้นทางเดินขึ้น Fansipan ไม่ง่ายไม่ยาก แต่ทิวทัศน์ป่าผมว่าค่อนข้างสมบูรณ์นะ แต่ผมไม่ได้ถ่ายภาพมามากเพราะผมเดินช้า แวะบ่อยกลัวจะถึงค่ำแต่พอได้ภาพมาบ้างครับ สำหรับคนที่ถามหลังไมค์ว่าสวยไหม ตอบไม่ได้ครับแต่ที่ตอบได้คือผมชอบครับ
เดินซักพักเราก็มาถึง แคมป์ 1 ครับ สามารถพักแรมได้ แต่เราแค่พักกินกลางวัน แล้วเดินต่อครับ ที่แคมป์ 1 และแคมป์ 2 มีห้องน้ำเป็นสัดส่วนค่อนข้างดีและมีน้ำดื่มและเครื่องดื่มชูกำลังขายครับ(ราคาผมว่าก็คบได้นะครับ ยอดภูในประเทศเราบวกไม่น้อยกว่าแน่นวล)
ถึงแคมป์แรก ไกด์ก้ให้ผมไปหลบหนาวในแคมป์แล้วขอตัวไปทำอาหาร ผมเลยซื้อน้ำและทิงแดง เข้าไปคอยและหวังว่าอาหารที่ทำคงไม่ใช่ขนมปังแต่แล้ว
นั่นหละฮะท่านผู้ชม ขนมปัง ไข่าดาว ผัก ทิงแดง(ซื้อข้างบน) และชาที่เอาไปจากไทย อ๊วกอีกรอบแล้วเดินต่อ หลังจากนี้ช่วงบ่าย ลมแรงมากมีฝนสลับกับหมอกด้วยรักชีวิตประกอบกับทางเริ่มยากเลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปแต่มีถ่ายวีดีโอมาบ้างแต่ลงในนี้ไม่ได้ครับ
เดินมาสัก 3 ชม.กว่า(ผมเดินช้า) ก้ถึงแคมป์ 2 ที่จะพักคืนแรก ก้เข้าไปล้อมวงในครัวให้หายหนาวกันก่อน
บนนั้น มีกันอยู่แค่นี้ครับ นักท่องเที่ยว 2(ไทย เกาหลี) ไกด์ 3 ไม่มีใครพูดไทยได้ แต่ความเข้าใจไม่สำคัญเท่ารอยยิ้มครับ
หลังจากผิงไฟทำกับข้าวคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ได้เวลาอาหารเย็นครับ
มื้อนี้เป็นข้าว นี่มัน สวรรค์ชัดๆ หลังจากกินข้าวเสร็จก้นั่งคุยกันง่วงๆก็แยกย้ายกันไปนอน บนแคมป์ 2 มีถุงนอนให้คนละผืนนะครับ
คืนนั้นเราคุยกันว่าขาลง ผมกะพี่ใหญ่เกาหลีของผมจะลงทางกระเช้า อยากดูวิวอีกฝั่ง และจะให้เหลือไกด์นำทางแค่คนเดียว ไกด์อีก 2 คนจะลงไปข้างล่างและเอารถไปรับตรงจุดลงกระเช้าเพื่อไปส่งในเมือง Sapa
หลังจากพักเอาแรงกันหนึ่งคืนตอนเช้าตื่นมาล้างหน้า แปรงฟัน กินบะหมี่น้ำไข่ดาว ก้รวมพลถ่ายรูปก่อนลา วันนี้จะขึ้นยอดกัน 3 คน อยู่เฝ้าแคมป์ 1 คน และอีก 2 คนเอารถไปรับข้างล่าง ถ่ายรูปเสร็จเราก็เริ่มเดินทาง
พี่ใหญ่เกาหลีเราเดินเร็วมาก การเดินวันสุดท้าย ครึ่งชั่วโมงแรกจะเดินขึ้นเขาแล้วลง มาที่ระดับประมาณ 2000 M. หลังจากนั้นจะเดินขึ้นอย่างเดียวจนถึง 3143 M 3 คนเดินมาจนถึงจุดที่จะลงไป 2000 M. พี่ใหญ่เกาหลีของเราบอกว่าว่าจะทิ้งไกด์ไว้ให้เราแล้วเขาจะเดินล่วงหน้าไปก่อน บรรยากาศหลังจากนี้ชันตลอดทางเป็นริมผาบางส่วนและมีลมแรงหมอกจัด เลยไม่ค่อยเห็นอะไรนอกจาหหมอกและเงาไม้จางๆเราก้ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเพราะมัวแต่ระวังทาง
ถึงจะมองอะไรไม่ค่อยเห็นแต่ก็ชอบทิวทัศน์ระหว่างทางมากและบรรยากาศตรงนั้นบอก กงๆ หาที่หลบลมได้นี่นั่งจิบเครื่องดื่มในขวดทึบแสงได้ทั้งวัน
เดินมาซักพักจะไปเชื่อมกับทางที่เขาทำกระเช้ามา มีช่วงนึงต้องหลบให้กระเช้าไปก่อนด้วย ถ่ายรูปไม่ทัน
ออและหมอกมันลงจัดจนเราเดินหลงกับไกด์ไปช่วงหนึ่ง เจอทางแยก ถาม Down or Up ไกด์บอก Up แต่เราดันไป Up ทางผิด ชันดิกเลย สุดท้ายปีนต่อไม่ไหวเรียกไกด์ให้ช่วยแล้วหากันไม่เจอเลยรู้ว่าไปผิดทาง ทั้งเหนื่อยทั้งฮา
สุดท้ายเดินมาถึงทางขึ้นกระเช้าที่เป็นหินอ่อน ด้วยความที่เราเดินช้ามาก ไกด์คอยนานจนเหงื่อเป็นแม่คะนิ้งเลยนะฮะ
หลังจากนั้นก้เดินจนถึงยอด Fansipan เรื่องทิวทัศน์นี่อย่างที่บอกไปตอนต้นเราบอกไม่ได้ว่ามันสวยมั้ยเพราะมันมีแต่หมอก แต่บอกได้แน่ๆคือเราชอบ
ถึงตอนที่ไปกระเช้าจะเพิ่งเปิดใช้ใหม่ๆ แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาคนก็ไม่เยอะอยู่ดีนะ แต่คิดว่าถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ คงเยอะมาก
ออ แล้วเข้าใจว่าเขาย้ายวัดขึ้นไปข้างบนด้วยนะ ภายในก็สวยดี แนวคิดพระจีน แต่เราไม่ได้ลงรูปให้ดู
ทางเข้ากระเช้าอลังอยู่
หลังจากนั้นก้ซื้อบัตรลงกระเช้าค่าบัตรต่อเที่ยว 600,000 ดอง ประมาณ 1000 บาท เรากับพี่ใหญ่เกาหลีออกตั้งคนละครึ่งซื้อให้ไกด์ลงมาด้วย
กระเช้าเขาดูปลอดภัยและทันสมัยมาก ถ่ายคลิปมาด้วยนะแต่เอาลงในนี้ไม่ได้ ดูรูปตอนลงเลยละกัน
ต่างกับเดินขึ้นลิบลับแต่ก็ชอบทั้ง 2 แบบนะ
#หลังจากลงมาเราก็เช็คอินเข้าโรงแรมที่จองไว้ ห้องนี้เราจองผ่านเว็บไซด์ ได้ในราคา 15 USD ต่อ 1 คืน เห็นวิวภูเขาที่ระเบียง
เรานอนห้องชั้น 2 ที่เปิดไฟอ่ะ
หน้าโรงแรมเก๋ดี
วิวจากระเบียงห้องนอน ก้โอเคนะแม้จะเห็นสายไฟ
หลังจากนั้นก็หาข้าวกิน ที่ Sapa ทุกร้านรับเงิน ดอง กับ USD และมีบางร้านรับเงินบาท และมีร้านอาหารวิวสวยๆเยอะมาก
มื้อเย็นนั่งกินข้าวผัดเนื้อริมหน้าผา หมดไป 100 บาทถ้วน อิ่มไม่ต้องเติม หมดวัน
# วันสุดท้าย Lao-Chai , Sapa
วันสุดท้ายกินข้าวเช้าที่โรงแรมใน set และฝากกระเป๋าออกไปเดินเที่ยว ทีแรกโรงแรมมีโปรแกรมทัวร์มาให้ดูแต่ทุกโปรแกรม trek เลยบอกเขาไปว่า No trek today หลังจากฝากสัมพาระเสร็จก็เดินออกมา กะจะเดินไปเรื่อยๆ บรรยากาศมันกำลังดี
สุดท้ายมาเจอชาวเขา เราบอกให้ไปเขาก้ไม่ไป ทนตื้อไม่ไหวเลยเดินตาม เขาบอกจะพาไปหมู่บ้าน Lao-chai เราก้ตามนั้น กลัวโดนหลอกก้กลัว แต่ก็ตามนั้น เลยตามเลย
ออชาวเขาแถวนี้ภาษาอังกฤษอย่างเทพ เหมือนคนสอนศาสนาเขาเข้าถึง ภาษาเลยเข้าถึง
เห็นพุงติดพื้นงี้ พี่เขาเลาะลงมาจากภูเขานะฮะ
และก้ในที่สุด No trek
ไม่รอด เหมือนโดนหลอกมา แต่โชคดีมากที่ตามเขามานะเพราะจะได้เจอนาขั้นบันไดในวันที่ไม่มีข้าว
เริ่มมีกำลังใจเดินละ
โรงเรียนบนดอย
เดินมาเรื่อยๆ จะไม่เจอสายไฟละ
เข้าใจว่าเป็นต้นฝ้าย ชาวเขาจะมีแปลงปลูกไว้ทอผ้าขาย
ที่จริงเราใจง่ายพอสมควรเลยนะ เขาให้ตามก้ตามเขาไป แต่ก้คุ้มมาก
เด๋วมีรูปต่ออีกหน่อยนะ
ภาษาอังกฤษงูๆปลาๆก็ไปเดิน Fansipan คนเดียว แถมหลงเข้าไป Lao-Chai และเดินเล่นใน Sapa ได้นะเออ
เริ่มต้นเราก้หาข้อมูลการไป Fansipan จากในนี้ และน้องสาวเราให้ข้อมูลเอเย่นมา เราเลยไป add FB ของเอเย่น และได้สอบถามรายละเอียดราคาค่าใช้จ่ายต่างๆสรุปแล้วเรามีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นตามภาพ
การติดต่อกับเอเย่นเองโดยการพิมทำให้เราเปิดดิกได้และทำให้เราพอที่จะได้ศัพท์ที่จำเป็นต้องใช้ในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ โยนเป็นคำๆไปเด๋วเขาก็รวมจนเข้าใจกัน เราก้จะได้พื้นฐานไปตายดาบหน้าได้
ราคา Taxi จากรถทัวร์รถไฟไปสนามบินและสนามบินไปขึ้นรถทัวร์รถไฟเอาเกณฑ์นี้เป็นตัวตั้งจะไม่เสียเปรียบนะครับ ได้ถูกกว่าก้ดีไป แต่จะกดมิตเตอร์เคยอ่านเจอว่ามีTaxiมิจฉาชีพนะครับ
เราเลือกขึ้นรถทัวร์ค่าบริการถูกกว่ารถไฟครึ่งหนึ่ง เป็นรถนอนน่าใช้กว่าบ้านเรามาก และขอบอกว่า รถที่โน่นขับขี่ไม่ค่อยมีวินัยก็จริงแต่เขาใช้ความเร็วในอัตราที่สามารถเบรกรถได้ทันทุกคัน ความปลอดภัยเราคิดว่าดีพอสมควร อันนี้สภาพภายในรถ
รถนอนสมชื่อครับ แต่จองยังไงเราก้ทำไม่เป็นนะครับเพราะให้เอเย่นจัดการให้สพดวกกว่า รถทัวร์ที่นี่(อ่านเจอเขาว่ารถไฟก็เหมือนกัน)มีปัญหาสำคัญคือไม่มีระบุที่นั่ง ทีนี้ถ้าจัดการเองอลเวงน่าดูครับ ถ้าขึ้นจาก Sapa มา Hanoi ปัญหาไม่มากเพราะขึ้นที่ท่ารถ Camel bus แต่ถ้าขึ้นจาก Hanoi ไป Sapa จองเองผมว่าเจอปัญหาแน่ๆเพราะขึ้นกลางทางและไม่มีป้ายรถชัดเจน แต่คนท้องถิ่นจะรู้ว่าขึ้นที่ไหนครับ นี่สภาพผู้ร่วมชะตากรรมที่ไปคอยขึ้นรถ Camel Bus ไป Sapa ด้วยกัน สหประชาชาติมาก อิตาลี ฝรั่งเศษ ฮอลแลน แคนนาดา เกาหลี ไทย
รถเราออกจาก Hanoi ตอน 4 ทุ่มถึง Sapa ประมาณ ตีห้าแต่คนขับไม่ให้ลงรถ ให้นอนอยู่บนรถก่อนจนถึง หกโมงเช้า หลังจากนั้นก็แยกย้าย บางคนเดินไปโรงแรม ส่วนเราไป Office ของเอเย่นเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน แยกของแล้วฝากของไว้ office ของเอเย่นเป็นร้านอาหารเราเลยกินข้าวเช้าที่นี่โทษฐานที่ให้ที่ล้างหน้าแปรงฟันนั่งพัก ไม่ต้องทนหนาวคอยคนมารับไป Fansipan อาหารแถวนี้ก็ราคาประมาณสีลมบ้านเรา กาแฟ 40 บาท ขนมปังร้อยกว่าบาท
บอกเลยว่าเรามีปัญหากับรสของขนมปังบ้านเขามาก มื้อแรกที่ Sapa ก็อ๊วกละ หลังจากกินอาหารเช้าแยกของนั่งพัก ประมาณ 9 โมงครึ่งก็มีคนมารับไปจุดเริ่มเดิน ที่ฮาคิอ ทริปนั้นดันมีเราคนเดียว รถที่มารับเลยกลายเป็นมอร์ไซค์ ของไกด๋์เอง ขี่พาคนน้ำหนัก 90 กว่ากิโลขึ้นเขาชันที่เต็มไปด้วยหมอกและหนาวจับใจ บอกเลยว่าโครตชอบ
เมื่อมาถึงจุดเริ่มเดินก็จะมีการลงทะเบียน เมื่อลงทะเบียนเสร็จก็เริ่มเดินกัน ตรงนี้ลืมถ่ายรูปครับ
เดินมาซักพัก เราก็ได้รู้ว่าไอน้องนี่มันเพิ่งเป็นไกด์มือใหม่ และการพาชาวต่างชาติเดินขึ้น Fansipan มันช่วยให้เขาได้ฝึกภาษาอังกฤษ ฟังมันพูดแล้วน้ำตาจะซึม ได้แต่เตะไหล่น้องมันเบาๆแล้วรำพึงรำพันภาษาไทยว่าเฮียขอโทษด้วยนะ
ตอนถ่ายและเช็คภาพก้แอบสงสัยเหมือนกันว่า ใช่ใช่มั้ยตัวเธอว์ โชคดีไปที่น้องมันมีแฟนเป็นผู้หญิงทำให้เดินด้วยกันสนิทใจขึ้น
เส้นทางเดินขึ้น Fansipan ไม่ง่ายไม่ยาก แต่ทิวทัศน์ป่าผมว่าค่อนข้างสมบูรณ์นะ แต่ผมไม่ได้ถ่ายภาพมามากเพราะผมเดินช้า แวะบ่อยกลัวจะถึงค่ำแต่พอได้ภาพมาบ้างครับ สำหรับคนที่ถามหลังไมค์ว่าสวยไหม ตอบไม่ได้ครับแต่ที่ตอบได้คือผมชอบครับ
เดินซักพักเราก็มาถึง แคมป์ 1 ครับ สามารถพักแรมได้ แต่เราแค่พักกินกลางวัน แล้วเดินต่อครับ ที่แคมป์ 1 และแคมป์ 2 มีห้องน้ำเป็นสัดส่วนค่อนข้างดีและมีน้ำดื่มและเครื่องดื่มชูกำลังขายครับ(ราคาผมว่าก็คบได้นะครับ ยอดภูในประเทศเราบวกไม่น้อยกว่าแน่นวล)
ถึงแคมป์แรก ไกด์ก้ให้ผมไปหลบหนาวในแคมป์แล้วขอตัวไปทำอาหาร ผมเลยซื้อน้ำและทิงแดง เข้าไปคอยและหวังว่าอาหารที่ทำคงไม่ใช่ขนมปังแต่แล้ว
นั่นหละฮะท่านผู้ชม ขนมปัง ไข่าดาว ผัก ทิงแดง(ซื้อข้างบน) และชาที่เอาไปจากไทย อ๊วกอีกรอบแล้วเดินต่อ หลังจากนี้ช่วงบ่าย ลมแรงมากมีฝนสลับกับหมอกด้วยรักชีวิตประกอบกับทางเริ่มยากเลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปแต่มีถ่ายวีดีโอมาบ้างแต่ลงในนี้ไม่ได้ครับ
เดินมาสัก 3 ชม.กว่า(ผมเดินช้า) ก้ถึงแคมป์ 2 ที่จะพักคืนแรก ก้เข้าไปล้อมวงในครัวให้หายหนาวกันก่อน
บนนั้น มีกันอยู่แค่นี้ครับ นักท่องเที่ยว 2(ไทย เกาหลี) ไกด์ 3 ไม่มีใครพูดไทยได้ แต่ความเข้าใจไม่สำคัญเท่ารอยยิ้มครับ
หลังจากผิงไฟทำกับข้าวคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ได้เวลาอาหารเย็นครับ
มื้อนี้เป็นข้าว นี่มัน สวรรค์ชัดๆ หลังจากกินข้าวเสร็จก้นั่งคุยกันง่วงๆก็แยกย้ายกันไปนอน บนแคมป์ 2 มีถุงนอนให้คนละผืนนะครับ
คืนนั้นเราคุยกันว่าขาลง ผมกะพี่ใหญ่เกาหลีของผมจะลงทางกระเช้า อยากดูวิวอีกฝั่ง และจะให้เหลือไกด์นำทางแค่คนเดียว ไกด์อีก 2 คนจะลงไปข้างล่างและเอารถไปรับตรงจุดลงกระเช้าเพื่อไปส่งในเมือง Sapa
หลังจากพักเอาแรงกันหนึ่งคืนตอนเช้าตื่นมาล้างหน้า แปรงฟัน กินบะหมี่น้ำไข่ดาว ก้รวมพลถ่ายรูปก่อนลา วันนี้จะขึ้นยอดกัน 3 คน อยู่เฝ้าแคมป์ 1 คน และอีก 2 คนเอารถไปรับข้างล่าง ถ่ายรูปเสร็จเราก็เริ่มเดินทาง
พี่ใหญ่เกาหลีเราเดินเร็วมาก การเดินวันสุดท้าย ครึ่งชั่วโมงแรกจะเดินขึ้นเขาแล้วลง มาที่ระดับประมาณ 2000 M. หลังจากนั้นจะเดินขึ้นอย่างเดียวจนถึง 3143 M 3 คนเดินมาจนถึงจุดที่จะลงไป 2000 M. พี่ใหญ่เกาหลีของเราบอกว่าว่าจะทิ้งไกด์ไว้ให้เราแล้วเขาจะเดินล่วงหน้าไปก่อน บรรยากาศหลังจากนี้ชันตลอดทางเป็นริมผาบางส่วนและมีลมแรงหมอกจัด เลยไม่ค่อยเห็นอะไรนอกจาหหมอกและเงาไม้จางๆเราก้ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเพราะมัวแต่ระวังทาง
ถึงจะมองอะไรไม่ค่อยเห็นแต่ก็ชอบทิวทัศน์ระหว่างทางมากและบรรยากาศตรงนั้นบอก กงๆ หาที่หลบลมได้นี่นั่งจิบเครื่องดื่มในขวดทึบแสงได้ทั้งวัน
เดินมาซักพักจะไปเชื่อมกับทางที่เขาทำกระเช้ามา มีช่วงนึงต้องหลบให้กระเช้าไปก่อนด้วย ถ่ายรูปไม่ทัน
ออและหมอกมันลงจัดจนเราเดินหลงกับไกด์ไปช่วงหนึ่ง เจอทางแยก ถาม Down or Up ไกด์บอก Up แต่เราดันไป Up ทางผิด ชันดิกเลย สุดท้ายปีนต่อไม่ไหวเรียกไกด์ให้ช่วยแล้วหากันไม่เจอเลยรู้ว่าไปผิดทาง ทั้งเหนื่อยทั้งฮา
สุดท้ายเดินมาถึงทางขึ้นกระเช้าที่เป็นหินอ่อน ด้วยความที่เราเดินช้ามาก ไกด์คอยนานจนเหงื่อเป็นแม่คะนิ้งเลยนะฮะ
หลังจากนั้นก้เดินจนถึงยอด Fansipan เรื่องทิวทัศน์นี่อย่างที่บอกไปตอนต้นเราบอกไม่ได้ว่ามันสวยมั้ยเพราะมันมีแต่หมอก แต่บอกได้แน่ๆคือเราชอบ
ถึงตอนที่ไปกระเช้าจะเพิ่งเปิดใช้ใหม่ๆ แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาคนก็ไม่เยอะอยู่ดีนะ แต่คิดว่าถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ คงเยอะมาก
ออ แล้วเข้าใจว่าเขาย้ายวัดขึ้นไปข้างบนด้วยนะ ภายในก็สวยดี แนวคิดพระจีน แต่เราไม่ได้ลงรูปให้ดู
ทางเข้ากระเช้าอลังอยู่
หลังจากนั้นก้ซื้อบัตรลงกระเช้าค่าบัตรต่อเที่ยว 600,000 ดอง ประมาณ 1000 บาท เรากับพี่ใหญ่เกาหลีออกตั้งคนละครึ่งซื้อให้ไกด์ลงมาด้วย
กระเช้าเขาดูปลอดภัยและทันสมัยมาก ถ่ายคลิปมาด้วยนะแต่เอาลงในนี้ไม่ได้ ดูรูปตอนลงเลยละกัน
ต่างกับเดินขึ้นลิบลับแต่ก็ชอบทั้ง 2 แบบนะ
#หลังจากลงมาเราก็เช็คอินเข้าโรงแรมที่จองไว้ ห้องนี้เราจองผ่านเว็บไซด์ ได้ในราคา 15 USD ต่อ 1 คืน เห็นวิวภูเขาที่ระเบียง
เรานอนห้องชั้น 2 ที่เปิดไฟอ่ะ
หน้าโรงแรมเก๋ดี
วิวจากระเบียงห้องนอน ก้โอเคนะแม้จะเห็นสายไฟ
หลังจากนั้นก็หาข้าวกิน ที่ Sapa ทุกร้านรับเงิน ดอง กับ USD และมีบางร้านรับเงินบาท และมีร้านอาหารวิวสวยๆเยอะมาก
มื้อเย็นนั่งกินข้าวผัดเนื้อริมหน้าผา หมดไป 100 บาทถ้วน อิ่มไม่ต้องเติม หมดวัน
# วันสุดท้าย Lao-Chai , Sapa
วันสุดท้ายกินข้าวเช้าที่โรงแรมใน set และฝากกระเป๋าออกไปเดินเที่ยว ทีแรกโรงแรมมีโปรแกรมทัวร์มาให้ดูแต่ทุกโปรแกรม trek เลยบอกเขาไปว่า No trek today หลังจากฝากสัมพาระเสร็จก็เดินออกมา กะจะเดินไปเรื่อยๆ บรรยากาศมันกำลังดี
สุดท้ายมาเจอชาวเขา เราบอกให้ไปเขาก้ไม่ไป ทนตื้อไม่ไหวเลยเดินตาม เขาบอกจะพาไปหมู่บ้าน Lao-chai เราก้ตามนั้น กลัวโดนหลอกก้กลัว แต่ก็ตามนั้น เลยตามเลย
ออชาวเขาแถวนี้ภาษาอังกฤษอย่างเทพ เหมือนคนสอนศาสนาเขาเข้าถึง ภาษาเลยเข้าถึง
เห็นพุงติดพื้นงี้ พี่เขาเลาะลงมาจากภูเขานะฮะ
และก้ในที่สุด No trek
ไม่รอด เหมือนโดนหลอกมา แต่โชคดีมากที่ตามเขามานะเพราะจะได้เจอนาขั้นบันไดในวันที่ไม่มีข้าว
เริ่มมีกำลังใจเดินละ
โรงเรียนบนดอย
เดินมาเรื่อยๆ จะไม่เจอสายไฟละ
เข้าใจว่าเป็นต้นฝ้าย ชาวเขาจะมีแปลงปลูกไว้ทอผ้าขาย
ที่จริงเราใจง่ายพอสมควรเลยนะ เขาให้ตามก้ตามเขาไป แต่ก้คุ้มมาก
เด๋วมีรูปต่ออีกหน่อยนะ