ทำไมทุกวันนี้คนไทยติดเชื้อไม่เร็วอย่างที่คิด?
หลายคนคงเห็นตัวเลขสถิติของผู้ติดเชื้อใน จีน เกาหลี ยุโรป และอเมริกา หลังผ่านการติดเชื้อครบ 200 คน จะมีอัตรากการติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นมาแบบ Exponential หรือขึ้นไปแตะระดับเกิน 5,000 - 10,000 คนในระยะเวลาอันสั้น
โดยแต่ละประเทศนั้นจะมีการระดมตรวจโรคเกินกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ อย่างสหรัฐเองตัวเลขจากข่าวล่าสุดระบุว่าตรวจไปกว่า 850,000 คนแล้ว (ติดเชื้อ 160,000 คน คิดเป็น 20% ของการตรวจ)
ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมและใครหลายคน คาดไว้ว่าที่ไทยคงจะมีมาตรการคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ และน่าจะมีจำนวนคนติดเชื้อมากกว่าที่เป็นอยู่
แต่จากการประกาศในแต่ละวันของกระทรวง สธ. กลับพบคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นเพียง 100-150 คน/วันเท่านั้น
จนมาวันนี้ผมก็ตาสว่าง เมื่อไปไล่ดูสถิติการตรวจของไทย ย้อนหลังในเว็ปของกรมควบคุมโรค
พบตัวเลขที่เป็นสภาพจริงของไทย ดังนี้
1) มีการตรวจเชื้อ CoVID ไปแค่ 18,696 คน เท่านั้น ณ 30/3/2563
2) จากทั้งหมดในข้อแรก รู้ผลแล้วเพียง 11,339 คน แบ่งเป็นติดเชื้อ 1524 คน (คิดเป็น 13% ของจำนวนการตรวจ) และไม่ติดเชื้อ 9518 คน
3) แต่ที่น่าห่วงกว่า คือ ยังรอผลอีกเกือบ 7,357 คน!! และตัวเลขรอผลตรวจนี้ สะสม พอกพูนมากขึ้นทุกๆวัน เพราะ เมื่อไปไล่ดูข้อมูลวันเก่าๆตั้งแต่ 29/3/2563 ลงไปเรื่อยๆ พบว่าความสามารถในการตรวจจนทราบผล เฉลี่ยจะทำได้วันละ 500-600 เคส เท่านั้น
4) แสดงว่ากว่าจะทราบผลของคนกลุ่ม 7,357 คน ต้องใช้เวลาอีก 10-15 วัน ถึงจะทราบผลทั้งหมด
5) เมื่อเป็นแบบนี้ แสดงว่ายอดคนติดเชื้อ 100-150 ต่อวัน เกิดจากการตรวจผลเพียง 500-600 คน (คนติดเชื้อ 20% ของการตรวจเท่ากับสหรัฐ)
6) หากสถิติเดียวกันนี้ คนที่รอผลอีก 7,357 คน น่าจะมีผู้ติดเชื้อรออยู่ 1,400 คน
7) คำถาม คือ ระหว่าง 10-15 วัน คนกลุ่ม 1,400 คนนี้จะเดินทาง หรือไปสัมผัสแพร่เชื้อให้ใครอีกบ้าง? เพราะหากไม่รู้ผลตรวจ เป็นผมคงใช้ชีวิตไปตามปกติ แม้จะใส่หน้ากาก ล้างมือ แต่ก็มีโอกาสแพร่เชื้อให้คนอื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
=======================================
ดังนั้นตัวเลขหรือสิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่จริงในขณะนี้
คงมีหลายคนสงสัยว่า ทำไมไม่จัดให้มีการตรวจในวงกว้างแบบประเทศอื่นๆ เช่น 100,000 คน เพื่อให้ทราบคนติดเชื้อแน่ชัด และจะได้บริหารจัดการทรัพยากรได้ถูกต้อง รวมถึงพ่อแม่พี่น้องคนติดเชื้อเหล่านั้นจะได้ระมัดระวังตัวมากขึ้น
ผมเองก็ไม่ทราบคำตอบ ทั้งๆที่ใช้งบประมาณไม่เกิน 500 ล้านบาทก็เพียงพอที่จะตรวจคนได้ในระดับ 100,000 คน
หรือสิ่งที่รัฐตั้งใจจะให้เป็น คือ ปล่อยให้การตรวจน้อยแบบนี้ไปเรื่อยๆ 500-600 เคสต่อวัน ให้คนไทยเห็นตัวเลขว่ามีคนติดเชื้อไม่มาก หวังผลทางจิตวิทยา
ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริง คนที่เสี่ยงสุดคือ หมอ พยาบาล ที่จะไม่รู้ว่าคนป่วยที่มาติดต่อมีเชื้อแล้วหรือไม่
หรือนี้จะเป็นแผนของรัฐบาลชุดนี้ ที่ต้องการปล่อยให้คนไทยป่วยในวงกว้าง และสร้างภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง (Herd Immunity) และทยอยให้ธรรมชาติคัดสรรคนที่ป่วยตายและอยู่รอดในประเทศของเราต่อไป
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ต่างประเทศควรเอาไทยเป็นกรณีศึกษา วิธีในการจัดการ CoVID-19 ที่ได้ผลดีสุด และลดตัวเลขผู้ติดเชื้อได้ที่ต่ำสุด เพราะไม่ต้องตรวจหรือตรวจให้น้อยที่สุดไว้นั่นเอง
ตัวเลขทั้งหมดคือของจริงจากกรมควบคุมโรค ใครสนใจพล็อตตารางมาดูได้ว่าผมพูดจริงหรือไม่
https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/situation.php
ขอให้ทุกท่านโชคดี เพราะเราอาจติดโรคนี้ไปแล้วแต่เราแค่ไม่รู้ตัว...
#SoloInvestor
+++ ตัวเลขผู้ติดเชื้อในไทย จริงๆน่าคิดนะ เพราะหมอ พยาบาลเสี่ยงมาก
หลายคนคงเห็นตัวเลขสถิติของผู้ติดเชื้อใน จีน เกาหลี ยุโรป และอเมริกา หลังผ่านการติดเชื้อครบ 200 คน จะมีอัตรากการติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นมาแบบ Exponential หรือขึ้นไปแตะระดับเกิน 5,000 - 10,000 คนในระยะเวลาอันสั้น
โดยแต่ละประเทศนั้นจะมีการระดมตรวจโรคเกินกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ อย่างสหรัฐเองตัวเลขจากข่าวล่าสุดระบุว่าตรวจไปกว่า 850,000 คนแล้ว (ติดเชื้อ 160,000 คน คิดเป็น 20% ของการตรวจ)
ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมและใครหลายคน คาดไว้ว่าที่ไทยคงจะมีมาตรการคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ และน่าจะมีจำนวนคนติดเชื้อมากกว่าที่เป็นอยู่
แต่จากการประกาศในแต่ละวันของกระทรวง สธ. กลับพบคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นเพียง 100-150 คน/วันเท่านั้น
จนมาวันนี้ผมก็ตาสว่าง เมื่อไปไล่ดูสถิติการตรวจของไทย ย้อนหลังในเว็ปของกรมควบคุมโรค
พบตัวเลขที่เป็นสภาพจริงของไทย ดังนี้
1) มีการตรวจเชื้อ CoVID ไปแค่ 18,696 คน เท่านั้น ณ 30/3/2563
2) จากทั้งหมดในข้อแรก รู้ผลแล้วเพียง 11,339 คน แบ่งเป็นติดเชื้อ 1524 คน (คิดเป็น 13% ของจำนวนการตรวจ) และไม่ติดเชื้อ 9518 คน
3) แต่ที่น่าห่วงกว่า คือ ยังรอผลอีกเกือบ 7,357 คน!! และตัวเลขรอผลตรวจนี้ สะสม พอกพูนมากขึ้นทุกๆวัน เพราะ เมื่อไปไล่ดูข้อมูลวันเก่าๆตั้งแต่ 29/3/2563 ลงไปเรื่อยๆ พบว่าความสามารถในการตรวจจนทราบผล เฉลี่ยจะทำได้วันละ 500-600 เคส เท่านั้น
4) แสดงว่ากว่าจะทราบผลของคนกลุ่ม 7,357 คน ต้องใช้เวลาอีก 10-15 วัน ถึงจะทราบผลทั้งหมด
5) เมื่อเป็นแบบนี้ แสดงว่ายอดคนติดเชื้อ 100-150 ต่อวัน เกิดจากการตรวจผลเพียง 500-600 คน (คนติดเชื้อ 20% ของการตรวจเท่ากับสหรัฐ)
6) หากสถิติเดียวกันนี้ คนที่รอผลอีก 7,357 คน น่าจะมีผู้ติดเชื้อรออยู่ 1,400 คน
7) คำถาม คือ ระหว่าง 10-15 วัน คนกลุ่ม 1,400 คนนี้จะเดินทาง หรือไปสัมผัสแพร่เชื้อให้ใครอีกบ้าง? เพราะหากไม่รู้ผลตรวจ เป็นผมคงใช้ชีวิตไปตามปกติ แม้จะใส่หน้ากาก ล้างมือ แต่ก็มีโอกาสแพร่เชื้อให้คนอื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
=======================================
ดังนั้นตัวเลขหรือสิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่จริงในขณะนี้
คงมีหลายคนสงสัยว่า ทำไมไม่จัดให้มีการตรวจในวงกว้างแบบประเทศอื่นๆ เช่น 100,000 คน เพื่อให้ทราบคนติดเชื้อแน่ชัด และจะได้บริหารจัดการทรัพยากรได้ถูกต้อง รวมถึงพ่อแม่พี่น้องคนติดเชื้อเหล่านั้นจะได้ระมัดระวังตัวมากขึ้น
ผมเองก็ไม่ทราบคำตอบ ทั้งๆที่ใช้งบประมาณไม่เกิน 500 ล้านบาทก็เพียงพอที่จะตรวจคนได้ในระดับ 100,000 คน
หรือสิ่งที่รัฐตั้งใจจะให้เป็น คือ ปล่อยให้การตรวจน้อยแบบนี้ไปเรื่อยๆ 500-600 เคสต่อวัน ให้คนไทยเห็นตัวเลขว่ามีคนติดเชื้อไม่มาก หวังผลทางจิตวิทยา
ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริง คนที่เสี่ยงสุดคือ หมอ พยาบาล ที่จะไม่รู้ว่าคนป่วยที่มาติดต่อมีเชื้อแล้วหรือไม่
หรือนี้จะเป็นแผนของรัฐบาลชุดนี้ ที่ต้องการปล่อยให้คนไทยป่วยในวงกว้าง และสร้างภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง (Herd Immunity) และทยอยให้ธรรมชาติคัดสรรคนที่ป่วยตายและอยู่รอดในประเทศของเราต่อไป
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ต่างประเทศควรเอาไทยเป็นกรณีศึกษา วิธีในการจัดการ CoVID-19 ที่ได้ผลดีสุด และลดตัวเลขผู้ติดเชื้อได้ที่ต่ำสุด เพราะไม่ต้องตรวจหรือตรวจให้น้อยที่สุดไว้นั่นเอง
ตัวเลขทั้งหมดคือของจริงจากกรมควบคุมโรค ใครสนใจพล็อตตารางมาดูได้ว่าผมพูดจริงหรือไม่ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/situation.php
ขอให้ทุกท่านโชคดี เพราะเราอาจติดโรคนี้ไปแล้วแต่เราแค่ไม่รู้ตัว...
#SoloInvestor