เปรียบเทียบเงินที่พิมพ์ไม่หยุด มันก็เหมือนหุ้นแตกพาร์ แต่มีข้อแตกต่างอันใหญ่ที่สร้างปัญหามานานแล้ว

กระทู้สนทนา
หลักการของหุ้นแตกพาร์ เราจะได้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น แต่ราคาหุ้นจะลดลง
หลังจากนั้นราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงต่อก็ว่าไปตามผลประกอบการ
การพิมพ์เงินเพิ่มก็เช่นกัน ตามหลักคือถ้าจำนวนมันเพิ่มขึ้น ค่าของเงินในมือก็ย่อมต้องลดลง
เงินมันสะพัดมากขึ้น สภาพคล่องมันจะมากขึ้น ถ้าทำดีๆมันก็ช่วยปั่นเศรษฐกิจให้เติบโตได้
รัฐบาลทำแบบนี้ได้ เอกชนก็ต้องเก่งด้วย ขายของไปทั่วโลกได้
เงินของประเทศนั้นก็ยังมีความต้องการอยู่เพราะต้องแลกมาซื้อสินค้าในประเทศนั้นอยู่
ตรงจุดนี้สหรัฐยังไปต่อได้กับการพิมพ์เงินได้ไม่หยุด
ยกตย. ระหว่างเงิน $1 กับ 35 บ. ถ้าจะให้เลือกเก็บได้แค่อันเดียว เราจะเลือกอะไรเวลาไปตปท.
ความเป็นสากล ทำให้ usd มีความได้เปรียบกว่า

แต่ปัญหาคือ การพิมพ์เงินมากๆ มันต่างกับการแตกพาร์อย่างนึง คือ แตกพาร์สัดส่วนมันเกิดเท่าเทียมกันหมด
ถ้าจากพาร์ 10 เหลือ 5 มี 100 หุ้นก็กลาย 200 มี 500 กลายเป็น 1000 เท่ากัน

อต่การพิมพ์เงิน ทุกคนไม่ได้เข้าถึงเงินที่พิมพ์ขึ้นเท่าๆกันทุกคน
คนที่มีเครดิตมากกว่า ก็เข้าถึงแหล่งเงินได้มากกว่า ต้นทุนถูกกว่า
ในขณะที่คนเครดิตน้อยกว่า ก็เข้าถึงยาก ต้นทุนแพงกว่า
ส่วนคนไม่มีเครดิตเลยยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงเลย

ซ้ำหนักเข้าไปอีก คือ คนที่เข้าถึงน้อยกว่า เงินในมือก็ยิ่งมีค่าลดลงไปเรื่อยๆ
แต่กลับกัน คนมีเครดิตมาก แม้เงินมือมีค่าลดลง แต่ก็หักกลบด้วยจำนวนเงินในมือเพิ่มขึ้นจากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายกว่า
และนำเงินไปต่อยอดเพิ่มมากขึ้นไปอีกจากต้นทุนทางการเงินที่ได้เปรียบกว่าอีก
มันเลยไม่น่าแผลกใจว่า ความเหลื่อมล้ำถ่างมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ถัดจากนี้ ในอนาคต เราคงจะได้เห็นชนชั้นกลางอยู่ยากขึ้น
ถ้าไม่ถีบตัวเองขึ้นไปให้ได้ หรือรักษาระดับความมั่งคั่งไว้ให้เท่าเดิม จะเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆนะฮะ
เต่าเอือม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่