แนวโน้มจะต้องกักตัวอยู่บ้านไปอีกนานเท่าไหร่ เริ่มเครียดแล้ว อีก 1 เดือน 2 เดือน 6 เดือน 1 ปี หรือมากกว่านั้น ประมาณการที

อยากออกไปห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ เดินห้าง ฟิตเนส สวนลุม ไปชอปปิง ดูหนัง ออกำลังกาย ดื่มกิน ร้านอาหารอร่อยๆ ไปทำงาน อยู่แบบนี้มันเครียด หดหู่
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
เคยป่วยหนักๆ หรือมีญาติใกล้ชิดป่วยหนักๆ มั้ยครับ

อยากจะบอกว่า ตอนนี้คุณยังไม่ป่วย คุณจะแค่รู้สึกหงุดหงิด เบื่อหน่าย เซ็งๆ ไม่มีอิสระ ไม่สะดวกสบาย ที่ต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน

แต่ถ้าคุณหรือญาติพี่น้องเกิดป่วยขึ้นมาตอนนี้ มันจะไม่ใช่แค่ความรู้สึกเซ็งหรือรำคาญ

แต่มันจะพลิกโลกทั้งใบของคุณ ชีวิตแต่ละวันแต่ละชั่วโมงจะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล คุณจะเครียดและทุกข์ทรมาณจากความเจ็บป่วยและความยุ่งยากวุ่นวายในการที่จะต่อสู้กับโรคร้าย ขนาดช่วงเวลาปกติการเข้าถึงการพยาบาลที่ดีก็ยากอยู่แล้ว ถ้าเป็นช่วงที่ทรัพยากรทางการแพทย์เริ่มขาดแคลน ความยากลำบากจะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ถึงเวลานั้นถ้ากลับมาคิดถึงความไม่สะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนี้ มันเรื่องเล็กมากๆ ครับ
ความคิดเห็นที่ 40
ผมเชื่อว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดของเหตุการณ์ COVID-19 แล้ว
https://ppantip.com/topic/39749975

ออกตัวก่อนว่า
- ไม่ใช่อวยรัฐบาล และไม่ใช่ด่ารัฐบาล
- ขอพูดถึงหุ้น เพราะขอมองยาวไปถึงตลาดหลักทรัพย์ด้วย
- ตอนนี้ทุกอย่างฝุ่นตลบอาจบดบังทัศนวิสัยและ cloud your mind ด้วยอคติจากการเสพสื่อมากเกินไป
- ขอให้มองข้ามเรื่องดราม่าต่าง ๆ เพราะพิจารณาไปก็รกสมอง
- ไม่เชื่อเลยว่าจะวิกฤตเท่าปี 2540 แบบที่ล้มระเนระนาด เพราะสถาบันการเงินไม่ล้ม ทว่า ศก. ฝืดเคืองคงหลีกเลี่ยงไม่ได้

เหตุผลที่ทำไมจึงเชื่อว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดของเหตุการณ์แล้ว ถ้าไม่พิจารณาอย่างตระหนก

1. มาตรการของราชการไทยค่อนข้างได้ผลในระดับหนึ่ง ทั้งที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ และไม่ได้ทำถูกทุกเรื่อง จากข้อมูลยอดคนป่วย มีแนวโน้มสูงที่เราจะเดินรอยตามฮ่องกง สิงค์โปร์ และญี่ปุ่นมากกว่าเก่าหลีใต้ หรือสหรัฐ ฯ ยอดคนป่วยคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จริงแต่ไม่ใช่ในอัตราเร่ง ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดี เพราะถ้าเป็นแบบนี้คนป่วยหนัก เราจะรับมือไหว ส่วนคนป่วยไม่หนักก็ดูแลควบคุมได้ไม่ยาก

2. วิกฤตครั้งนี้ ยังไม่ผ่านพ้นไปในสามวันเจ็ดวันนี้ดอก เชื้อโรคมันไม่ได้หายไปเฉย ๆ วันนี้พรุ่งนี้ แต่การชะลอยอดติดเชื้อ ช่วยทำให้ความวิกฤตมันบรรเทาได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ รพ. มีศักยภาพพอจะรักษาคนป่วยที่วิกฤตได้ ไม่ต้องปล่อยให้ใครตาย แม้ว่าคนส่วนใหญ่ยังไร้วินัยขาดจิตสำนึกไม่ยอมกักตัว มีคนไร้สำนึกเที่ยวกินเล่นมั่วสุมอยู่เนือง ๆ แต่คิดว่าไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ ประกอบกับประเทศไทยโชคดีที่อากาศร้อน การกระจายตัวของเชื้อมันเลยไม่สะดวกดายเหมือนประเทศเมืองหนาว ก็ถือเป็นแต้มต่อหนึ่งที่ใช้ต่อกรกับเชื้อโรค และอีกไม่นานเราจะเข้าฤดูร้อนชนิดง่ามขาเปียก เพราะฉะนั้นการกระจายมันจะยากยิ่งขึ้นไปอีก

3. อเมริกาพิมพ์เงินกงเต๊กออกมาซื้อของทั่วโลก QE Infinity Stone คนที่เทรดบ่อยจะรู้ว่ามันต้องลงหุ้นไม่มากก็น้อย และหุ้นจะขึ้นทุกครั้งที่ปั๊มเงินกงเต๊กเช่นนี้ ความหวังที่จะได้เห็น 9xx จุดคงต้องรอชาติหน้า ถ้าพิจารณาดี ๆ มันไม่ได้ลงเละเทะทุกตัว หลายตัวก็น่าเก็บเพื่อถือระยะยาว ประเทศไทยเป็น safe heaven ของฝรั่งมาสักพักแล้วเดี๋ยวหัวทองก็หอบเงินกลับมาซื้อหุ้นบ้านเรา

4. เชื่อมั่นว่าวัคซีนออกแล้วทุกอย่างจะจบ และน่าจะภายในปีนี้ โรคมันลามเร็วแต่นักวิจัยก็ไม่ใช่หยุดนิ่ง อีกหน่อยมันก็จะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ระบาดอยู่เป็นประจำ คนตายปีหนึ่งก็ไม่ใช่น้อย แต่ไม่ได้รายงานข่าว เพราะมันเป็นโรคประจำถิ่น ตอนนี้ที่ทุกอย่างมันดูเลวร้ายกันไปหมด เพราะไม่มีวัคซีน จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งการกระจายของเชื้อโรคให้ได้ วัคซีนออกเมื่อไหร่ทุกอย่างจะจบด้วยความรวดเร็ว และทุกคนจะลืมช่วงเวลาวิบัตินี้จนสิ้น กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ จำคำพูดผมไว้เลย

6. ผมเชื่อมั่นว่าบุคลากรทางการแพทย์ของไทยไม่แพ้ชาติใด คงจะประคับประคองให้ประเทศไทยรอดพ้นไปได้ คือ ประเทศไทยคงไม่ปลอดคนติดเชื้อ 100% ดอกแต่ก็คงไม่มีคนตายมากมายจนเผาศพไม่ทัน โรคนี้คงอยู่กับเราทั้งปีแน่ ๆ แต่คนไทยปรับตัวเก่ง เอาตัวรอดเก่ง เชื่อว่าผ่านไปสักสามสี่เดือนก็จะสามารถปรับตัว ปรับชีวิต และปรับช่องทางทำกินให้เข้าสภาวะการณ์นี้ได้ เราไม่ใช่อาเจนติน่า อาหารและเครื่องอุปโภคเราก็ผลิตเอง ของอาจแพงไปบ้าง ขาดตลาดบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นกับไม่มีขาย สุดท้ายแล้วก็ยังมีบ้านนอกคอกนาที่ยังทำเกษตรกรรมได้ คนไทยส่วนใหญ่อดตายคงไม่เกิด

สิ่งที่เราต้องเผชิญแน่นอนต่อจากนี้ คือ การใช้ชีวิตที่ลำบากมากขึ้น การทำมาหากินที่ลำบากมากขึ้น แต่ผมเชื่อมั่นว่ามันก็ไม่ได้ถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก บ้านเมืองจะพังพินาศ หรือ ศก. ล่มสลาย เกิดสงครามแย่งชิงฆ่าฟันทรัพยากร ท้ายสุดแล้วทุกคนจะสามารถปรับตัวกันได้ ภายในเดือน พ.ค. นี้ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน การกักกันจะน้อยลง เดินทางสะดวกมากขึ้น แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังกันต่อไป

ขอให้อดทนอีกนิดเดียว ผมว่าสภาพการณ์แบบนี้อยู่แค่เดือน เมษายนเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดของผม ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิกทุกท่าน
ความคิดเห็นที่ 3
ขึ้นอยู่กับประชาชนให้ความร่วมมือกับทางการในการควบคุมโรคมากแค่ไหนด้วยละครับ ยิ่งให้ความร่วมมือดีเท่าไหร่ การควบคุมโรคก็จะยิ่งทำได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ดูอย่างจีนเป็นตัวอย่างได้ พอทำท่าจะลุกลามหนักก็รีบใช้ไม้แข็งจัดการปิดเมืองชนิดเต็มรูปแบบ สุดท้ายใช้เวลาเพียงไม่ถึง 3 เดือนดี สถานการณ์ก็เริ่มคลี่คลาย จากที่ประเทศอื่นต้องช่วยจีน ตอนนี้กลายเป็นว่าจีนต้องออกไปช่วยชาวบ้านแทน
ความคิดเห็นที่ 56
ขอออกความเห็นในฐานะบุคลากรสาธารณสุขครับ

1.ผมคิดว่ายังไม่ผ่านจุดต่ำสุดของ covid-19 แน่นอนครับ แต่ถือว่าควบคุมได้ดีขึ้นเมื่อดูจากตัวเลข
การระบาดจะมาเป็นระลอกตามช่วงที่มีคนไปอยู่ในที่เสี่ยงเป็นจำนวนมาก โรคมีระยะก่อนเกิดอาการประมาณ 1 สัปดาห์
จะเห็นว่าช่วงระบาดเวฟแรกคือหลังสนามมวย 1 สัปดาห์ ดังนั้นสัปดาห์นี้ก็จะเป็นช่วงเฝ้าระวังอีกครั้ง หลังจากคนเดินทางกลับ ตจว จำนวนมากครบ 1 สัปดาห์พอดี และจะมีระยะแบบนี้ไปอีกเรื่อยๆ ถ้ายังมีกิจกรรมเสี่ยงที่คนไปรวมกันมากๆ เช่นไปธนาคาร

2.การตรวจของไทยต้องยอมรับว่าน้อยกว่าประเทศอื่น แต่ด้วยศักยภาพที่มีก็คงต้องใช้หลายมาตรการร่วมกัน ทั้งจากสาธารณสุข และภาคประชาชนที่ต้องเข้มแข็งมากๆ ขอให้ทุกคนช่วยกันไปก่อนในช่วงนี้ ไม่เช่นนั้น รพ จะเอาไม่อยู่

3.จะนานไปถึงไหน ถ้าควบคุมได้จริงๆน่าจะผ่อนปรนได้ในประมาณ 2-3 เดือน ถ้าตัวเลขลดลงต่อเนื่อง
"แต่ยังต้องมี social distancing ตลอดเวลา" เพื่อลดการเกิดเวฟใหม่ที่รุนแรงจนต้องเข้าสู่มาตรการที่มากขึ้นเหมือนเดิม
กิจการในประเทศน่าจะกลับมาเดินได้ด้วยการจับจ่ายในประเทศ ถ้าเราช่วยกันไม่ทำให้เกิด uncontrollable wave อีกระลอก

4.end point มีหลายอย่าง
อันแรกคือมีวัคซีน น่าจะ 1-2 ปี
อันที่สองคือค่อยๆติดกันไปเรื่อยๆช้าๆจนเกิด herd immunity ซึ่งอาจจะต้องเกิน 70% ของประชากร แต่เราจะคุมได้เพราะเคสไม่ได้มาพร้อมกันทีเดียว ทรัพยากรยังเพียงพอรองรับได้ อันนี้อาจจะนาน 1-2 ปีเช่นกัน
อันสุดท้ายคือไม่อยากให้เกิด คือ uncontrollable wave ติดเชื้อทีเดียวพร้อมๆกันหลักหมื่นหรือหลักแสน อันนี้จะสูญเสียมาก แต่อาจจะจบเร็วเพราะมีภูมิคุ้มกันกันเยอะ แต่ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะจะคุมอะไรไม่ได้เลย

5.หลักการอันนึงที่เข้าใจง่ายคือ Hammer & Dancing ทุบด้วยค้อนแล้วรำวงต่อ โดย Tomas Pueyo คือมาตรการเข้มงวดช่วงนึงให้หมดจากระยะอันตราย จากนั้นผ่อนปรนแต่ยังต้องมี social distancing เสมอ ไปจนจะมี vaccine หรือ herd immunity
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่