ขอบคุณข้อมูล :
https://www.share2trade.com/index.php?mod=news&file=view&id=6531
บอร์ด SUPER ไฟเขียวส่งบริษัทย่อย SST เทกโอเวอร์โซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 4 โครงการ ขนาด 750 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท บิ๊กบอส “จอมทรัพย์ โลจายะ”คาดสามารถจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนธ.ค.63 ประเมิน IRR ที่ 15-17% หนุนผลงานทะยานลิ่ว สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SUPER) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติให้บริษัท ซุปเปอร์ โซล่าร์ (ประเทศไทย) จำกัด (SST) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศเวียดนามจำนวน 4 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 750 เมกะวัตต์ โดยมีมูลค่าการเข้าทำรายการทั้งหมดไม่เกิน 456,700,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ไม่เกิน 14,614,400,000 บาท
สำหรับโครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ที่ จังหวัด บิ่ญเฟื้อก (Binh Phuoc Province) ประเทศเวียดนาม โดยการไฟฟ้าเวียดนาม Electricity of Vietnam (EVN) จะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า มีอัตราการรับซื้อไฟฟ้าในรูปของเงินดอลลาร์ ราคาประมาณ 7.09 เซนต์ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 20 ปี นับจากวันที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ให้อัตราผลตอบแทนจากการเข้าลงทุนโครงการดังกล่าว IRR อยู่ที่ 15-17%
“การลงทุนโรงไฟฟ้าทั้ง 4 โปรเจค ขนาดกำลังการผลิต 750 เมกะวัตต์ ที่เวียดนามในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้แนวโน้มธุรกิจของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง หลังจากช่วงต้นปี ได้เข้าไปลงทุนโซลาร์ฟาร์มเวียดนามขนาดกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้มีโซลาร์ฟาร์มเวียดนามในมือ ขนาดกำลังการผลิตรวมกัน 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเรายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในประเทศอื่นๆ ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าและวินด์ฟาร์มเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัท และยังเตรียมขยายการลงทุนวินด์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น และอินโดนีเซียอีกด้วย”
ประธานคณะกรรมการ SUPER กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2563 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน และมีโอกาสในการทำสถิติสูงสุดใหม่ จากการรับรู้รายได้จากการขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ทั้งจากโรงไฟฟ้าเดิมและโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะ COD เพิ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศ
SUPER เสือซุ่ม! ทุ่ม 1.4 หมื่นลบ. เทกฯโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 750 MW หนุนผลงานปี 63 ทะยานฟ้า ทุบสถิติสูงสุด
บอร์ด SUPER ไฟเขียวส่งบริษัทย่อย SST เทกโอเวอร์โซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 4 โครงการ ขนาด 750 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท บิ๊กบอส “จอมทรัพย์ โลจายะ”คาดสามารถจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนธ.ค.63 ประเมิน IRR ที่ 15-17% หนุนผลงานทะยานลิ่ว สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SUPER) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติให้บริษัท ซุปเปอร์ โซล่าร์ (ประเทศไทย) จำกัด (SST) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศเวียดนามจำนวน 4 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 750 เมกะวัตต์ โดยมีมูลค่าการเข้าทำรายการทั้งหมดไม่เกิน 456,700,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ไม่เกิน 14,614,400,000 บาท
สำหรับโครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ที่ จังหวัด บิ่ญเฟื้อก (Binh Phuoc Province) ประเทศเวียดนาม โดยการไฟฟ้าเวียดนาม Electricity of Vietnam (EVN) จะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า มีอัตราการรับซื้อไฟฟ้าในรูปของเงินดอลลาร์ ราคาประมาณ 7.09 เซนต์ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 20 ปี นับจากวันที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ให้อัตราผลตอบแทนจากการเข้าลงทุนโครงการดังกล่าว IRR อยู่ที่ 15-17%
“การลงทุนโรงไฟฟ้าทั้ง 4 โปรเจค ขนาดกำลังการผลิต 750 เมกะวัตต์ ที่เวียดนามในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้แนวโน้มธุรกิจของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง หลังจากช่วงต้นปี ได้เข้าไปลงทุนโซลาร์ฟาร์มเวียดนามขนาดกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้มีโซลาร์ฟาร์มเวียดนามในมือ ขนาดกำลังการผลิตรวมกัน 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเรายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในประเทศอื่นๆ ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าและวินด์ฟาร์มเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัท และยังเตรียมขยายการลงทุนวินด์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น และอินโดนีเซียอีกด้วย”
ประธานคณะกรรมการ SUPER กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2563 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน และมีโอกาสในการทำสถิติสูงสุดใหม่ จากการรับรู้รายได้จากการขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ทั้งจากโรงไฟฟ้าเดิมและโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะ COD เพิ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศ