เรื่องราวความกล้าหาญของเหล่าสุนัขในอดีต

 ทีมสุนัขผู้กล้าหาญแห่งเหตุการณ์ 9/11



 Apollo สุนัขกู้ภัยตัวแรกที่ไปถึงตึกเวิร์ลเทรด เซ็นเตอร์  (ที่มาภาพ 3MillionDogs)
 




Sirius สุนัขตำรวจที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11 (ที่มาภาพ  NY Daily News)





 Bretagne สุนัขกู้ภัยที่ได้จากโลกนี้ไปเป็นตัวสุดท้ายของทีมช่วยเหลือกว่า 300 ตัว (ที่มาภาพ  assets.nydailynews.com)


เมื่อเครื่องบินสองลำได้พุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลเทรด เซ็นเตอร์ อันเป็นการก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ เหล่าทีมกู้ภัยและสุนัขตำรวจได้มุ่งตรงไปยังตึกทั้ง 2 อย่างไม่ลังเล แม้ว่าสถานการณ์ในบริเวณขณะนั้นอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา

ในการกู้ภัยนั้นสุนัขถือเป็นหนึ่งในทีมงานที่มีความสำคัญมาก เพราะจมูกสุนัขสามารถดมกลิ่นได้ดีและสามารถค้นหาผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในซากปรักหักพักดีกว่าคนหรือเครื่องมือใดๆ  ซึ่งในปฏิบัติการกู้ภัยในเหตุการณ์ 9/11 ก็ได้มีการใช้สุนัขตำรวจและสุนัขกู้ภัยจำนวนเกือบ 300 ตัว มาปฏิบัติหน้าที่ด้วย ซึ่งสุนัขที่โดดเด่นในปฏิบัติการครั้งนั้นมีอยู่ 3 ตัว คือ Apollo, Sirius และ Bretagne

หลังเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิร์ลเทรด เซ็นเตอร์ สุนัขตำรวจพันธุ์เยอรมัน เชปเพิร์ด นามว่า Apollo และ Peter Davis เจ้าหน้าที่ควบคุมได้รับการแจ้งถึงการก่อวินาศภัยและรีบเดินทางไปยังตึกเวิร์ลเทรด เซ็นเตอร์ทันที พวกเขาไปถึงเป็นทีมแรกๆ และ Apollo เป็นสุนัขตัวแรกที่เข้าไปในพื้นที่ ซึ่งการปฏิบัติงานครั้งนั้น Apollo เกือบตายจากการถูกไฟคลอกและถูกซากปูนหล่นทับ แต่ Apollo ก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดและปฏิบัติงานได้จนสำเร็จ

แต่สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ที่ชื่อว่า Sirius ไม่ได้โชคดีเช่นนั้น Sirius เป็นสุนัขตำรวจที่อยูในตึกเวิร์ลเทรด เซ็นเตอร์ ทำหน้าที่คอยค้นหาวัตถุระเบิด เมื่อเครื่องบินพุ่งชนตึกทำให้ตึกถล่มและ Sirius ได้เสียชีวิตลง ทำให้ Sirius เป็นสุนัขตำรวจตัวเดียวที่เสียชีวิตจากการก่อวินาศกรรมครั้งนี้

ภายหลังจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เมื่อ 16 ปี ผ่านไป ในบรรดาเหล่าสุนัขกู้ภัยที่ปฏิบัติภารกิจ 9/11 Bretagne สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ สุนัขตัวสุดท้ายของทีมก็ได้จากไปด้วยอาการไตวาย แม้ว่าตอนนี้ทีมสุนัขกู้ภัยทั้งหมดจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว  แต่คุณงามความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละ ที่พวกเขาได้เคยทำไว้ จะยังคงอยู่ในใจพวกเราตลอดไป
ที่มาภาพ : assets.nydailynews.com
Cr.https://www.readhowl.com/2017/07/15/apollo-sirius-bretagne/

สุนัขลากเลื่อนของ Amundsen


(ที่มาภาพ: depo.ua)

Roald Amundsen เป็นหนึ่งในนักสำรวจผู้หวังจะพิชิตขั้วโลกใต้เป็นคนแรก ในตอนนั้นเขามีคู่แข่งสำคัญคือ Robert Scott ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกัน การขับเคี่ยวเฉือนเหลี่ยมเฉือนคมกันระหว่าง Amundsen กับ Scott เป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งสองคนต่างเตรียมตัวกันมาเป็นอย่างดีเพื่อฝ่าสภาพอากาศอันหนาวเหน็บและเลวร้ายที่สุดของขั้วโลกใต้ แต่สิ่งที่เป็นจุดพลิกผันและทำให้ Amundsen เป็นผู้กำชัยชนะในการพิชิตขั้วโลกใต้ได้เป็นคนแรกกลับเป็นสุนัข

ในขณะที่ Scott เลือกที่จะใช้ม้าและเครื่องจักรในการขนของ Amundsen กลับเชื่อมั่นในความสามารถเฉพาะตัวของเหล่าสุนัขลากเลื่อน Greenland ที่โดดเด่นทั้งด้านการทนความหนาวและความแข็งแรงอดทน ซึ่งปรากฏว่า Amundsen คิดถูกเพราะอุณหภูมิติดลบของขั้วโลกใต้ทำให้ม้าและเครื่องจักรของ Scott ทำงานต่อไม่ได้ ต่างจากเหล่าสุนัขลากเลื่อนของ Amundsen ที่ยังสามารถลากสัมภาระได้เป็นอย่างดี ทำให้สุดท้าย Amundsen เป็นผู้กำชัยชนะในการพิชิตขั้วโลกใต้ครั้งนี้   แต่ทุกความสำเร็จล้วนแต่มีราคาของมัน

กลุ่มสุนัขลากเลื่อนกว่า 96 ตัว ในตอนเริ่มแรก เหลือเพียงแค่ 11 ตัวที่มีชีวิตรอดกลับออกมาจากขั้วโลกใต้ได้ ในระหว่างทางสุนัขลากเลื่อนที่บาดเจ็บหรือป่วยจะถูกกำจัดทิ้งระหว่างทางเพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วง และเพื่อลดภาระในการดูแลจะมีการกำจัดสุนัขลากเลื่อนไปเรื่อยๆ แล้วนำเนื้อของสุนัขเหล่านั้นมาเป็นเสบียงให้กับสุนัขที่ยังเหลืออยู่ต่อไป แต่ถึงกระนั้นสุนัขลากเลื่อนทั้งหมดก็ยังคงซื่อสัตย์และทำงานเพื่อทีมนักสำรวจของ Amundsen จนถึงวินาทีสุดท้าย
Cr.https://www.readhowl.com/2017/07/02/amundsen-sledge-dog/

Red Dog : สุนัขพเนจร


ตัวจริงของสุนัข Red Dog นักเดินทางทั่วออสเตรเลีย (ที่มาภาพ  The Drinking Traveller)
 
Red dog ไม่มีประวัติแน่นอน แต่กล่าวกันว่าน่าจะเกิดที่เมือง Paraburdoo ประเทศออสเตรเลีย ตั้งแต่เกิดมานั้นสุนัขตัวนี้มีชื่อเรียกอยู่หลากหลาย เมื่อได้อยู่กับเจ้านายคนแรก Red dog มีชื่อว่า Tally Ho ก่อนที่ได้เปลี่ยนชื่อเรียกตามคนต่างๆ ที่ได้พบเจอ เช่น Bluey หรือ Pilbara Wanderer

 ในตอนที่ Red dog อยู่กับเจ้านายคนที่สองที่มีชื่อว่า John Stazzonelli มักจะพา Red dog ขึ้นรถบรรทุกไปเที่ยวเล่นในเมืองและแถบข้างเคียงอยู่บ่อยๆ ซึ่งตรงนี้อาจทำให้ Red dog เริ่มชอบการเดินทาง และเมื่อเจ้าของคนที่สองได้จากไป Red dog ก็ได้เริ่มต้นการเดินทางด้วยตัวเอง

การเดินทางไปเรื่อยทำให้ Red dog ได้พบเจอกับผู้คนหลากหลาย และได้เปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อยๆ เพราะมีคนมากมายรู้สึกถูกชะตากับสุนัขตัวนี้จึงพาขึ้นรถพร้อมตระเวนไปหลากหลายที่ และ Red Dog ยังเป็นสมาชิกกิตติมาศักดิ์ของสมาคมต่างๆ อีกด้วย เช่น Dampier Salts Sport and Social Club และ the Transport Workers’ Union
รวมไปถึงธนาคาร New South Wales ยังเปิดบัญชีธนาคารให้เพื่อใช้ Red Dog เป็นมาสค็อต กล่าวกันว่าหากให้นับกันจริงๆ Red dog คงได้เดินทางไปเยือนมาทั้ง Perth, Broome, Roebourne, Point Samson และ Port Hedland ซึ่งเรียกได้ว่าแทบจะทั่วทวีปออสเตรเลียเลยทีเดียว

แม้ว่าจะได้ผูกมิตรกับผู้คนไว้มากมาย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีคนใจร้ายไม่ชอบ Red Dog ด้วยเช่นกัน เพราะว่าสุนัขตัวนี้จบชีวิตการเดินทางลงด้วยการถูกวางยาพิษ หลังจากโลกนี้ไป Red dog ได้ถูกฝังลงในที่ใดซักแห่งในเมือง Roebourne และไม่มีป้ายหลุมศพแน่นอน สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีคนบอกว่าจิตวิญญาณของ Red Dog นั้นเป็นนักเดินทางอย่างแท้จริง ดังนั้นแล้ว Red Dog จึงน่าจะยังคงอยากเดินทางเพื่อพบเจอเรื่องราวใหม่ๆ ต่อไป



แม้จะไม่มีหลุมศพแน่ชัด แต่ Red Dog มีอนุเสาวรีย์เป็นของตัวเองอยู่ที่เมืองแดมปิแอร์ ออสเตรเลีย  เรื่องราวของ Red Dog ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ชื่อเรื่อง Red Dog เช่นกัน
(ที่มาภาพ : tolli-movieworld.blogspot.com)
Cr.https://www.readhowl.com/2017/07/15/red-dog/

Strelka & Belka : คู่หูสุนัขผู้สืบทอดความฝันของ Laika


Strelka และ Belka ในชุดอวกาศ (ที่มาภาพ anchoragemuseum.org)

สุนัขส่วนใหญ่ที่ถูกฝึกเป็นนักบินอวกาศของโซเวียตนั้นเป็นสุนัขพันทางและเคยเป็นสุนัขจรจัดมาก่อนเพราะเชื่อว่าสุนัขเหล่านี้มีความอดทน แข็งแรง และเอาตัวรอดได้ดีกว่าสุนัขที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดี ทางการโซเวียตได้มีการจัดการฝึกสุนัขเพื่อไปท่องอวกาศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการกดดันเพื่อต้องอยู่ในที่แคบๆ เป็นระยะเวลานานๆ สุนัขที่ถูกฝึกทั้งหมดจะเป็นเพศเมีย เนื่องจากชุดอวกาศสำหรับสุนัขสมัยนั้นจะมีระบบระบายของเสียออกจากร่างได้แค่เพศเมียเท่านั้น
นอกจาก Laika ที่ถูกฝึกเพื่อปฏิบัติการท่องอวกาศแล้ว รุ่นน้องของ Laika อีก 2 ตัว คือ Strelka และ Belka ก็เป็นตัวเต็งด้วยเช่นกัน และได้มีโอกาสสำรวจอวกาศในเวลาถัดมา โดยสุนัขคู่หู 2 ตัวนี้ได้ขึ้นยาน สปุตนิก 5 เมื่อ 19 สิงหาคม ค.ส.1960 พร้อมๆ กับเหล่าคณะสิ่งมีชีวิตมากมาย อันประกอบด้วย กระต่าย หนูไมซ์ 42 ตัว หนูบ้าน 2 ตัว แมลงวัน พืชอีกหลายชนิด และเห็ด

ในระหว่างที่อยู่บนวงโคจร ทั้ง Strelka และ Belka จะถูกวัดอัตราการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ และคลื่นไฟฟ้าหัวใจ รวมไปถึงดูพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วย โดยพบว่า Belka มักจะไม่ค่อยสบายตัว เมื่อยานเริ่มโคจรรอบโลกและยังอาเจียนอีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นประโยชน์มากสำหรับนักบินอวกาศในเวลาต่อมและเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่ Strelka Belka และคณะเดินทางส่วนใหญ่ทั้งหมดนี้ได้ขึ้นสู่วงโคจรก่อนที่จะลงจอดบนพื้นโลกได้อย่างปลอดภัย
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ Strelka และ Belka เป็นสุนัข 2 ตัวแรกที่ได้เดินทางสู่อวกาศและกลับมาลงพื้นโลกสำเร็จโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยหลังจากลงมาสู่พื้นโลกแล้ว Strelka ได้ให้กำเนิดลูกอีก 6 ตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นทางโซเวียตได้ส่งให้กับแคโรไลน์ ลูกสาวของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี อีกด้วย
แม้เรื่องราวของ Laika จะจบลงด้วยความเศร้า  แต่สุดท้าย Belka และ Strelka ก็สามารถสานต่อเจตนารมณ์ของ Laika จนสำเร็จ
Cr.https://www.readhowl.com/2017/07/11/strelka-belka/

ภารกิจ “Great Race of Mercy”


Togo และ เลออนฮาร์ต เซปปาลา ผู้บังคับสุนัขลากเลื่อนทีมที่สอง (Cr.ภาพ Time)



 Balto และ Gunnar Kaasen ผู้บังคับสุนัขลากเลื่อนทีมสุดท้าย (Cr.ภาพ  Wikipedia)

เมื่อปี ค.ศ.1925 โรคคอตีบเริ่มระบาดทั่วสหรัฐอเมริกา ในเมืองโนมแห่งรัฐอลาสก้านี้ก็เริ่มมีสัญญาณว่ามีชาวเมืองเป็นโรคคอตีบบ้างแล้ว โรคคอตีบนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตโดยเฉพาะในเด็กๆ และจำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ในเมืองโนมไม่มียาตัวนี้ และเมือง Anchorage ที่มียาและอยู่ใกล้ที่สุดก็ยังห่างออกไปกว่า 800 กิโลเมตร
ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายและหนาวจัด ทำให้ไม่สามารถใช้เครื่องบินได้ รวมไปถึงรถไฟก็สามารถขนส่งได้แค่ระยะทางใกล้ๆ เท่านั้นเพราะว่ารางรถไฟส่วนใหญ่ถูกหิมะกองถมจนมิด ด้วยเหตุนี้ภารกิจการขนส่งยารักษาโรคคอตีบสู่เมืองโนมจึงเหลือแค่วิธีเดียวคือการใช้สุนัขลากเลื่อน

ด้วยระยะทางที่ไกลมากทำให้ต้องมีการแบ่งทีมขนส่งยาครั้งนี้เป็นหลายทีมส่งต่อกันเป็นทอดๆ เมื่อรถไฟขนส่งยามาถึงเมือง Nenana ทีมสุนัขลากเลื่อนของไวล์ บิลล์ แชนนอน ได้เป็นทีมแรกที่ขนส่งยานั้น ภายใต้อุณหภูมิติดลบกว่า 50 องศาเซลเซียส แชนนอนและกลุ่มสุนัขลากเลื่อนของเขาได้ขนส่งไปจนถึงจุดผลัดที่สอง อุณหภูมิที่ลดต่ำมากทำให้แชนนอนเกิดภาวะหิมะกัดจมูกจนจมูกกลายเป็นสีดำ

จุดผลัดที่สองเป็นหน้าที่ของทีม เลออนฮาร์ต เซปปาลา นำทีมด้วยสุนัขลากเลื่อนไซบีเรียน ฮัสกี้ ที่มีชื่อว่า Togo สภาพอากาศตอนนี้เริ่มเลวร้ายลงไปอีกเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงกว่า 60 องศาเซลเซียส แต่ทีมของเซปปาลาและ Togo ก็ไม่ย่อท้อ วิ่งขนส่งยาด้วยระยะทางกว่า 273 กิโลเมตร เป็นทีมที่วิ่งไกลและวิ่งเร็วที่สุดด้วย
ในที่สุดก็ถึงจุดผลัดสุดท้าย โดยมี ชาร์ลี โอลเซน เป็นผู้รับช่วงต่อ โดยสุนัขลากเลื่อนที่เป็นหัวหน้าทีมคือ Balto แต่เดิม บัลโต ตัวเล็กไม่เหมาะที่จะมาเป็นผู้นำฝูง แต่โอลเซนก็เชื่อมั่นในตัว Balto และมันก็แสดงความสามารถให้เห็นด้วยการนำทางสู่เมืองโนมได้สำเร็จแม้สภาพอากาศจะมีพายุหิมะหนักมากจนโอลเซนมองไม่เห็นแม้กระทั่งมือตัวเองเลยก็ตาม



ภารกิจครั้งนี้ได้ถูกขนานนามว่า “Great Race of Mercy” ยาปฏิชีวนะที่ขนส่งมานั้นได้ช่วยชีวิตชาวเมืองโนมได้อย่างมากมาย และได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ Balto ที่ Central Park ในเมือง New York เพื่อสดุดีวีรกรรมอันยิ่งใหญ่นี้   เรื่ิองราวนี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดยดิสนีย์ + ในปี 2019

Cr.https://www.readhowl.com/2017/06/28/balto-togo/

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่