ยอมรับว่า ตอนแรกที่รู้เรื่อง ภูมิคุ้มกันหมู่ ของอังกฤษ
คือตกใจมาก และไม่เข้าใจ ว่าทำไม ถึงตัดสินใจแบบนั้น
ตอนนี้ อังกฤษติดเชื้อ 2600 ตาย 100
แต่ยังปล่อยให้จัดคอนเสิร์ตหลัก 10,000 คนอยู่เลย
ดูเรื่องอังกฤษกับภูมิคุ้มกันหมู่ที่
https://m.ppantip.com/topic/39722997?

ตรงกันข้ามกับจีน
ที่ปิดเมือง ไม่ให้คนเจอกัน
จนตอนนี้ ติดเชื้อจากภายในประเทศ = 0 แล้ว
ที่เจอติดเชื้อใหม่ล้วนมาจากต่างประเทศ

มาถึงตรงนี้ อาจมองว่า จีนสำเร็จแล้วแต่อังกฤษล้มเหลว
แต่ อย่าพึ่งสรุป มาดู ข้อดี ข้อเสีย ของ 2 แนวทางนี้ก่อน

ก่อนอื่น ถ้าไม่ทำอะไร ปล่อยตามธรรมชาติ จะเกิดอะไรขึ้น
ดูกราฟด้านล่าง

ข้อดี
1จบเร็วมาก

ข้อเสีย
1 คนตายเยอะ อาจถึง 20% เพราะมีคนไม่ถึงมือหมอจำนวนมาก
2 เศรษฐกิจเสียหายมหาศาล จากจำนวนคนตายที่มาก

ถ้ากักกันโรค ปิดเมืองแบบจีน ดูกราฟล่าง


จะเห็นว่า จีนแค่สำเร็จในการกักกันเมืองรอบแรก
แต่นอกประเทศจีน มีคนติดเชื้อ รอเข้าไปอีกมาก
เผลอหลุดรอดไปเมื่อใด ก็ต้องวนมากักตัว ปิดเมืองอีกรอบ
แล้วถ้าเข้าหน้าหนาว หน้าฝน ซึ่งไวรัสพวกนี้ระบาดง่าย
โอกาสเอาไม่อยู่จะสูงมาก
ความหวังเดียวคือ วัคซีน ซึ่งเร็วสุดน่าจะปีหน้า
หรือ อาจไม่สำเร็จก็ได้

ข้อดี
1 คนติดเชื้อน้อย ตายน้อย

ข้อเสีย
1 เศรษฐกิจเสียหายมาก ยิ่งถ้าวัคซีนไม่สำเร็จ อาจเรื้อรัง เสียหายมากกว่า ไม่ทำอะไรเลย
2 ต้องวนกักกัน ปิดเมืองไปเรื่อยๆ รอวัคซีน
3 ถ้าหน้าฝน / หนาวเอาไม่อยู่ จะเกิดระบาดหนักจน สาธารณะสุข รับไม่ไหว และจะตายเยอะมาก
4 รอความหวังที่วัคซีน ซึ่งไม่มีอะไรการันตีว่าจะสำเร็จ

ถ้าปล่อยคนติดเชื้อ 60-70% จนเกิด ภูมิคุ้มกันหมู่
(ปล่อยในอัตราที่ไม่ทำให้ระบบสาธารณะสุขล่ม โรงพยาบาลยังรับไหว) แบบที่อังกฤษคิด


ข้อดี
1 มีจุดจบแน่นอน ไม่ว่าวัคซีนจะสำเร็จหรือไม่
2 ไม่ต้องกลัวการกลับมาเป็นอีก เพราะคนมีภูมิคุ้มกันแล้ว
3 ไม่ต้องกลัวหน้าหนาว หน้าฝนเพราะคนมีภูมิคุ้มกันแล้ว
4 เศรษฐกิจเสียหายไม่มาก คนเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนแก่ (คนหนุ่มสาว ถ้าอยู่ในมือหมอโอกาสตายน้อยมาก)

ข้อเสีย
1 ติดเชื้อ 60-70% หมายความว่าคนอังกฤษจะติดเชื้อ 40 ล้านคน ตายน่าจะหลักแสนคนหรือมากกว่า (หนุ่มสาวอัตราตายแค่ 0.2% แต่ผู้สูงอายุโอกาศมากกว่านั้น)
2 ถ้าคุมการติดเชื้อไม่อยู่ และเกินการรับได้ของแพทย์พยาบาล อัตราการเสียชีวิตจะสูงมาก