คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 18
3 ปรมาจารย์แพทย์” วอน ปชช.”อดทน-มีวินัย”คุมโควิดได้แน่
วันพฤหัสบดี ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563, 18.47 น.
วันที่ 19 มี.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข แถลงภายหลังการหารือร่วมกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมทีมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการควบคุมป้องโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในการรับมือกับโรค อยากให้ประชาชนเชื่อมั่นและร่วมมือกันสู้โควิด-19 อย่าสู้กันเอง อย่ามีความขัดแย้ง อย่าแยกกันเดิน หากร่วมมือกันหยุดเคลื่อนที่ไปตามสถานที่ต่างๆ ตนมั่นใจว่าประเทศไทยรับมือกับสถานการณ์ระบาดได้และผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พร้อมย้ำว่า “กินร้อน ช้อนกู ต่างคนต่างอยู่ ห่างกู 2 เมตร”
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษาคณะกรรมการโรคอุบัติใหม่ กล่าวว่า มาตรการรับมือกับโรคประเทศไทยทำได้ดี และยืนยันว่าเรามาถูกทาง แต่โรคมันก็ต้องดำเนินต่อไปเพราะว่าทั้งโลกเป็นอย่างนี้ เรากำลังเข้าสู่ระยะที่มีผู้บาดเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมาตรการเตรียมความพร้อมบุคลากร สถานะยาบาล ยาเวชภัณฑ์ รับมือไว้แล้ว ภาคส่วนต่างๆ มีความเข้าใจมากขึ้น สำคัญที่สุดคือตัวประชาชนเองต้องให้ความมั่นใจ ต้องมีวินัย แต่ละคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนอื่นเป็นอะไรด้วย ถ้าทุกคนร่วมมือกันเราก้าวข้ามและผ่านไปได้แน่นอน
นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาคณะกรรมการโรคอุบัติใหม่ กล่าวว่า ระยะหลัง มีผู้ป่วยเพิ่มวันละ 30 คน ล่าสุด เพิ่มอีก 60 คน นั้น เหตุผลเพราะมีคนที่ติดเชื้อแต่ไม่รับผิดชอบต่อสังคมและต่อไปแพร่เชื้อกัน สำคัญมากเพราะรัฐบาลบอกว่าไม่ให้มีการชุมนุมเกิน 50 คน เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ตอนนี้เราต้องลดความเสี่ยงในการที่จะแพร่เชื้อติดเชื้อให้มากที่สุดเพื่อที่จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ทั้งนี้ ถ้าดูจากข้อมูลทางวิชาการที่ศึกษาในจีน พบว่าก่อนปิดเมืองมีคนที่สามารถแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวประมาณ6 เท่า ถ้าเอามาคูณกับจำนวนผู้ป่วยยืนยันในไทย จะพบว่ามีผู้ที่ติดและอาจแพร่เชื้อไม่รู้ตัวอีกมาก
นพ.อุดม กล่าวต่อว่า แต่การศึกษาก็พบด้วยว่าเมื่อมีประเทศจีนมีมาตรการเข้มข้นไม่ให้คนออกจากบ้าน ทำให้คนที่ไม่รู้ตัวเหลือเพียง 0.5 เท่า เมื่อคูณตัวเลขคนติดเชื้อยืนยันจะพบว่าตัวเลขคนที่อาจจะแพร่เชื้อไม่รู้ตัวลดลงถึง 12 เท่า เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งสำคัญที่คนไทยต้องหยุด อดทนต่อความลำบากไปสักระยะ อย่าตามใจตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการทำร้ายประเทศชาติ และเศรษฐกิจอีกเป็นหมื่นๆล้าน เพียงเพราะตัวท่านไม่มีความรับผิดชอบ ประเทศไทยเข้าระยะ 3 แน่นอนถ้าประชาชนไม่ช่วย ดังนั้นวันนี้บุคลากรสาธารณสุขสู้เต็มที่ เหนื่อยก็ยอม จึงขอความร่วมมือประชาชนทำตามมาตรการอย่างเคร่งครัดด้วย
นพ.ยง ภู่วรวรรณหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขพยายามยื้อไม่ให้เจอผู้ป่วยมาก ก็เพื่อรอให้มียา และวัคซีนป้องกันรักษา รวมถึงเตรียมความพร้อมสถานพยาบาลเพื่อรับมือ ซึ่งเรื่องยาวันนี้เห็นแสงไฟแล้วว่ามียารักษา และกดเชื้อไม่ให้แพร่จำนวน และลดความรุนแรงของโรคได้ นับเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราใจชื้นขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงของโรคนี้คือกว่า 80 % มีอาการน้อยมาก ประมาณ 10 % จำเป็นต้องรักษาใน รพ. และมีเพียง 4 % ที่อาการวิกฤต ต้องนอนไอซียู ซึ่งปัจจัยที่ทำให้อาการหนัก คนสูงอายุ ตั้งแต่ 50-60 ปี ขึ้นไป แต่ที่เสี่ยงเสียชีวิตคือมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ที่อิตาลีเสียชีวิตเยอะเพราะเป็นสังคมผู้สูงอายุ นอกจากนี้ที่เสี่ยงอาการหนักอีกคือคน มีโรคประจำตัว อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด ถุงลมโป่งพอง กลุ่มเหล่านี้ถ้าพบจะรีบให้ยาเลยเพื่อลดอัตราการสูญเสีย ทั้งนี้การต่อสู้กับโรคนี้อาจจะใช้เวลานานพอสมควร ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน มีระเบียบวินัย
https://www.banmuang.co.th/news/bangkok/184522
วันพฤหัสบดี ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563, 18.47 น.
วันที่ 19 มี.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข แถลงภายหลังการหารือร่วมกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมทีมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการควบคุมป้องโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในการรับมือกับโรค อยากให้ประชาชนเชื่อมั่นและร่วมมือกันสู้โควิด-19 อย่าสู้กันเอง อย่ามีความขัดแย้ง อย่าแยกกันเดิน หากร่วมมือกันหยุดเคลื่อนที่ไปตามสถานที่ต่างๆ ตนมั่นใจว่าประเทศไทยรับมือกับสถานการณ์ระบาดได้และผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พร้อมย้ำว่า “กินร้อน ช้อนกู ต่างคนต่างอยู่ ห่างกู 2 เมตร”
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษาคณะกรรมการโรคอุบัติใหม่ กล่าวว่า มาตรการรับมือกับโรคประเทศไทยทำได้ดี และยืนยันว่าเรามาถูกทาง แต่โรคมันก็ต้องดำเนินต่อไปเพราะว่าทั้งโลกเป็นอย่างนี้ เรากำลังเข้าสู่ระยะที่มีผู้บาดเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมาตรการเตรียมความพร้อมบุคลากร สถานะยาบาล ยาเวชภัณฑ์ รับมือไว้แล้ว ภาคส่วนต่างๆ มีความเข้าใจมากขึ้น สำคัญที่สุดคือตัวประชาชนเองต้องให้ความมั่นใจ ต้องมีวินัย แต่ละคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนอื่นเป็นอะไรด้วย ถ้าทุกคนร่วมมือกันเราก้าวข้ามและผ่านไปได้แน่นอน
นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาคณะกรรมการโรคอุบัติใหม่ กล่าวว่า ระยะหลัง มีผู้ป่วยเพิ่มวันละ 30 คน ล่าสุด เพิ่มอีก 60 คน นั้น เหตุผลเพราะมีคนที่ติดเชื้อแต่ไม่รับผิดชอบต่อสังคมและต่อไปแพร่เชื้อกัน สำคัญมากเพราะรัฐบาลบอกว่าไม่ให้มีการชุมนุมเกิน 50 คน เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ตอนนี้เราต้องลดความเสี่ยงในการที่จะแพร่เชื้อติดเชื้อให้มากที่สุดเพื่อที่จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ทั้งนี้ ถ้าดูจากข้อมูลทางวิชาการที่ศึกษาในจีน พบว่าก่อนปิดเมืองมีคนที่สามารถแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวประมาณ6 เท่า ถ้าเอามาคูณกับจำนวนผู้ป่วยยืนยันในไทย จะพบว่ามีผู้ที่ติดและอาจแพร่เชื้อไม่รู้ตัวอีกมาก
นพ.อุดม กล่าวต่อว่า แต่การศึกษาก็พบด้วยว่าเมื่อมีประเทศจีนมีมาตรการเข้มข้นไม่ให้คนออกจากบ้าน ทำให้คนที่ไม่รู้ตัวเหลือเพียง 0.5 เท่า เมื่อคูณตัวเลขคนติดเชื้อยืนยันจะพบว่าตัวเลขคนที่อาจจะแพร่เชื้อไม่รู้ตัวลดลงถึง 12 เท่า เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งสำคัญที่คนไทยต้องหยุด อดทนต่อความลำบากไปสักระยะ อย่าตามใจตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการทำร้ายประเทศชาติ และเศรษฐกิจอีกเป็นหมื่นๆล้าน เพียงเพราะตัวท่านไม่มีความรับผิดชอบ ประเทศไทยเข้าระยะ 3 แน่นอนถ้าประชาชนไม่ช่วย ดังนั้นวันนี้บุคลากรสาธารณสุขสู้เต็มที่ เหนื่อยก็ยอม จึงขอความร่วมมือประชาชนทำตามมาตรการอย่างเคร่งครัดด้วย
นพ.ยง ภู่วรวรรณหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขพยายามยื้อไม่ให้เจอผู้ป่วยมาก ก็เพื่อรอให้มียา และวัคซีนป้องกันรักษา รวมถึงเตรียมความพร้อมสถานพยาบาลเพื่อรับมือ ซึ่งเรื่องยาวันนี้เห็นแสงไฟแล้วว่ามียารักษา และกดเชื้อไม่ให้แพร่จำนวน และลดความรุนแรงของโรคได้ นับเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราใจชื้นขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงของโรคนี้คือกว่า 80 % มีอาการน้อยมาก ประมาณ 10 % จำเป็นต้องรักษาใน รพ. และมีเพียง 4 % ที่อาการวิกฤต ต้องนอนไอซียู ซึ่งปัจจัยที่ทำให้อาการหนัก คนสูงอายุ ตั้งแต่ 50-60 ปี ขึ้นไป แต่ที่เสี่ยงเสียชีวิตคือมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ที่อิตาลีเสียชีวิตเยอะเพราะเป็นสังคมผู้สูงอายุ นอกจากนี้ที่เสี่ยงอาการหนักอีกคือคน มีโรคประจำตัว อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด ถุงลมโป่งพอง กลุ่มเหล่านี้ถ้าพบจะรีบให้ยาเลยเพื่อลดอัตราการสูญเสีย ทั้งนี้การต่อสู้กับโรคนี้อาจจะใช้เวลานานพอสมควร ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน มีระเบียบวินัย
https://www.banmuang.co.th/news/bangkok/184522
แสดงความคิดเห็น
🔖🔖🔖มาลาริน/อุปทูตจีนโทร.สายตรงถึงนายกฯ และเข้าพบ รมว.สธ. ยืนยันพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขช่วยเหลือไทยสู้โควิด19
MGR Online - อุปทูตจีนโทร.สายตรงถึงนายกฯ ประยุทธ์ เข้าพบ รมว.สาธารณสุข ยืนยันพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขช่วยเหลือประเทศไทยสู้ภัยโควิด-19 ด้วยการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ หน้ากาก N95 และชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ประสานงานกับผู้ประกอบการให้จำหน่ายยาสำหรับรักษาไวรัสโควิด-19 ให้ฝ่ายไทย
วันนี้ (19 มี.ค.) เฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่ข้อมูลเรื่อง “ประเทศจีนให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการต่อสู้กับโรคระบาดอย่างเต็มที่” โดยมีรายละเอียดังนี้
“เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 นายหยาง ซิน อุปทูต รักษาแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยพูดคุยโทรศัพท์กับ ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย เพื่อแจ้งให้ทราบว่าฝ่ายจีนจะให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563 อุปทูต หยาง ซิน เข้าพบฯพณฯ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดดังกล่าว
“อุปทูตหยาง ซิน กล่าวว่า ในช่วงของการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศจีนและประเทศไทยได้เอาชนะความยากลำบาก ดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แสดงให้เห็นถึงการร่วมกันฝ่าวิกฤต ร่วมทุกข์ร่วมสุข และการร่วมแรงร่วมใจของมิตรภาพระหว่างสองประเทศ ถือเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีมายาวนาน ช่วงระยะนี้การระบาดของโรคในประเทศไทยรุนแรงมากขึ้น ประชาชนจีนรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แม้ว่ากำลังเผชิญกับภารกิจต่อต้านการแพร่ระบาดในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นเดียวกัน ฝ่ายจีนยินดีที่จะช่วยเหลือฝ่ายไทยในรูปแบบต่างๆ เท่าที่จะทำได้ รัฐบาลจีนจะให้ความช่วยเหลือฝ่ายไทยในการจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ เช่น ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ หน้ากาก N95 และชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ประสานงานกับผู้ประกอบการให้จำหน่ายยาสำหรับรักษาไวรัสโควิด-19 ให้แก่ฝ่ายไทย ผู้ประกอบการจีนจะส่งออกเวชภัณฑ์มายังประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะตอบสนองต่อความต้องการสูงสุดของฝ่ายไทย กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจจีนในประเทศไทยและองค์กรมิตรภาพระหว่างประชาชนของจีนต่างก็รวมตัวกันบริจาคเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับฝ่ายไทย ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ประชาชนชนชาวจีนจะคอยอยู่เคียงข้างประชาชนชาวไทย ด้วยความร่วมมืออย่างจริงใจและความพยายามร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ทั้งสองฝ่ายจะสามารถเอาชนะโรคระบาดและฟื้นฟูการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างแน่นอน
“ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก
รัฐมนตรี และ ฯพณฯ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงการสนับสนุนประเทศจีนในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 แสดงความยินดีกับจีนที่มีความคืบหน้าที่ดีในการต่อสู้กับโรคระบาดภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เชื่อมั่นว่าภายใต้การนำของรัฐบาลจีน จีนจะประสบชัยชนะในการต่อสู้กับโรคระบาดในครั้งนี้ได้
ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ขอขอบคุณฝ่ายจีนที่ให้การสนับสนุนอันล้ำค่าแก่ฝ่ายไทยในการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีนเป็นอย่างสูง เชื่อว่าประเทศไทยและประเทศจีนจะร่วมมือกันเพื่อเอาชนะโรคระบาด ในการร่วมกันต่อสู้กับโรคระบาดนี้ จะยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่งด้วย ฯพณฯ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมฝ่ายจีนที่ให้ความช่วยเหลืออันมีค่าแก่ฝ่ายไทยในช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดความมีน้ำใจของจีนสะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพที่แสนพิเศษดังคำกล่าวที่ว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” อีกครั้ง เชื่อว่าเมื่อสองประเทศได้ผ่านบททดสอบอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ร่วมกัน ความสัมพันธ์ไทย-จีนจะแนบแน่นและใกล้ชิดยิ่งขึ้น” เฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยระบุ
https://mgronline.com/china/detail/9630000027646
'จีน' เสนอช่วยไทยสู้ ‘โควิด-19’
“สถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย” เสนอให้ความช่วยเหลือไทย ต่อสู้การแพร่ระบาด “โควิด-19” พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์
สถานเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊คว่า ลงเรือลำเดียวกัน ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ประเทศจีนยินดีให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) อย่างเต็มที่
ประเทศไทยและประเทศจีนเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดที่มีทัศนียภาพที่เชื่อมโยงกัน ปีนี้เป็นปีครบรอบ 45 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ ในช่วงการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศจีนและประเทศไทยได้เอาชนะความยากลำบาก ดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แสดงให้เห็นถึงการร่วมกันฝ่าวิกฤต ร่วมทุกข์ร่วมสุข และการร่วมแรงร่วมใจของมิตรภาพดั้งเดิมระหว่างสองประเทศ
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชสาส์นแสดงความห่วงใยไปยัง ฯพณฯ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีพระราชทานเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับฝ่ายจีน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนอันมีค่าที่มอบให้กับฝ่ายจีน
ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรและทุกแวดวงสังคมไทยต่างก็ได้แสดงความห่วงใยและสนับสนุนฝ่ายจีน ช่วงระยะนี้ การระบาดของโรคในประเทศไทยรุนแรงมากขึ้น ประชาชนจีนรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แม้ว่ากำลังเผชิญกับภารกิจต่อต้านการแพร่ระบาดในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นเดียวกัน ฝ่ายจีนยินดีที่จะช่วยเหลือฝ่ายไทยในรูปแบบต่าง ๆเท่าที่จะทำได้ เช่น อุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/871559
ขอบคุณนะคะ...