MAJOR ร่วงแรงรับ ครม. เคาะปิดโรงหนังชั่วคราว 14 วัน คุมเข้มการระบาดของโควิด-19 โบรกฯ คาดครึ่งปีแรกกำไรทรุดหนัก เหตุรายได้ 70% มาจากธุรกิจหนัง ประเมินหากครึ่งหลังสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ กำไรจะทรุดเพียง 39% แต่ยืดเยื้ออาจกระทบหนัก พร้อมแนะหลีกเลี่ยง รอเข้าลงทุนในครึ่งปีหลังก็ยังไม่สาย
วานนี้ (17 มี.ค.) ราคาหุ้น บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) ปรับตัวลดลง 11.25% มาปิดที่ 14.20 บาท หลังจาก มีมติ ครม.เกี่ยวกับมาตรการเพื่อลดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยหนึ่งในนั้นคือ ให้ปิดโรงภาพยนตร์ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชั่วคราว
MAJOR เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยตรง ซึ่งเพียงเดือนเดียวตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้น MAJOR ลดลงไปกว่า 63% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ระดับ 23.20 บาท
ลองมาดูกันว่า นักวิเคราะห์ประเมินผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และการปิดโรงหนักชั่วคราวครั้งนี้ไว้อย่างไรบ้าง
**ครม. ออกมาตรการคุมเข้มโควิด – 19 สั่งปิดโรงหนัง 2 สัปดาห์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยครม. เห็นชอบมาตรการ 6 ด้านเพื่อลดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้แก่ มาตรการด้านสาธารณสุข ,มาตรการด้านเวชภัณฑ์ป้องกัน ,มาตรการด้านข้อมูล การสื่อสารข้อมูลค่าง ๆ ของรัฐบาล , มาตรการด้านต่างประเทศ ,มาตรการช่วยเหลือเยียวยา และมาตรการด้านมาตรการป้องกัน เพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งรวมถึงโรงภาพยนตร์ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยให้ปิดชั่วคราวเป็นเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. เป็นต้นไป
**คาดกระทบกำไรระยะสั้น เหตุรายได้ 70% มาจากธุรกิจโรงหนัง
บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า การปิดโรงภาพยนตร์จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ MAJOR เนื่องจากรายได้ราว 70% มาจากธุรกิจโรงภาพยนตร์ (รวมไปถึงโฆษณาในโรงภาพยนตร์ด้วย) แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด – 19 จะส่งผลกระทบต่อ MAJOR ในระยะสั้นในระยะใดระยะหนึ่งเพียงเท่านั้น หากสถานการณ์ดังกล่าวผ่านพ้นไป MAJOR น่าจะฟื้นตัวกลับมาสู่สภาวะปกติได้ โดยเชื่อว่า MAJOR จะมีแผนรับมือที่ดีกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้บริษัทมีการส่งสัญญาณทั้งการลดเงินเดือนผู้บริหาร ลดจำนวนพนักงาน Part-time เป็น 0 จาก 900 คน
**แนวโน้มกำไรครึ่งปีแรกทรุดหนัก แถมหนังฮอลีวู้ดตบเท้าเลื่อนฉายเพียบ
บทวิเคราะห์ บล.เอเชีย พลัส ระบุว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ลุกลามไปทั่วโลกในขณะนี้ ส่งผลให้หนังฮอลลีวูด จํานวนมากต้องเลื่อนฉายออกไป เริ่มจาก Fast&Furious 9 เลื่อนฉายออกไป 1 ปี จากกําหนดเดิม 22 พ.ย.63 เป็น 2 เม.ย.64 ตามหนังอีกหลายเรื่องที่แพลนว่าจะเข้าฉายในช่วง มี.ค.-มิ.ย.63 ต่างถูกเลื่อน ออกไป ได้แก่ A Quiet Place Part 2 (ไม่มีกําหนด) , 007 No Time To Die (เลื่อนไป พ.ย.62), Peter Rabbit 2 (เลื่อนไป ต.ค.62), The New Mutants (ไม่มีกําหนด), Antlers (ไม่มีกําหนด), Mulan (ไม่มีกําหนด) และมีแนวโน้มสูงว่า Black Widow จะถูกเลื่อนเช่นกัน สําหรับมาตราการปิดโรงหนังเพื่อ ควบคุมโรค จะเริ่มตั้งแต่ 18 มี.ค.63 ถึงสิ้นเดือน หลังจากนั้นจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
โดยคาดว่า แนวโน้มกําไรครึ่งปีแรกน่าจะทรุดตัวหนัก จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการออกจากบ้านและเข้าโรงหนัง สังเกตุได้จากจํานวนรอบฉาย หนังและจํานวนโรงหนังที่เปิดให้บริการลดลงค่อนข้างมาก นอกจากนี้ในช่วงปลายไตรมาสแรกถึงไตรมาส 2/63 จะไม่มีหนังใหญ่เข้าฉาย เนื่องจากมีการเลื่อนฉายหนังฮอลลีวูดออกไปเกือบ 10 เรื่องแล้ว ส่งกระทบต่อ รายได้อย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วงที่หน้าหนังแข็งแกร่งที่สุดของปี โดยจะเหลือเพียงหนัง ฟอร์มกลางและฟอร์มเล็กจากค่ายหนังอิสระ ดังนั้นจํานวนคนเข้าโรงหนังน่าจะลดลงเป็นอย่างมาก
**ประเมินหากสถานการณ์จบภายในช่วงครึ่งปีหลัง กระทบกำไรทั้งปีหดตัว 39%
นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ บล.เอเชีย พลัส ได้ปรับลดประมาณการกําไรปี 2563 สะท้อนสถานการณ์ของ COVID-19 ในปัจจุบัน และการเลื่อนฉายหนังจํานวนมาก โดยเฉพาะหนังเรื่อง Fast&Furious 9 ซึ่งถือเป็นความหวังของหนังทําเงินในปีนี้ (ภาค 8 ทํารายได้ถึง 441 ล้านบาท) ถูกเลื่อนออกไปถึง 1 ปี ผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวส่งผล กระทบต่อทุกหน่วยธุรกิจของ MAJOR ไม่ว่าจะเป็นตั๋วหนัง เครื่องดื่มและป๊อปคอร์น โฆษณา โบว์ลิ่ง และให้เช่าพื้นที่ คาดรายได้ปีนี้อยู่ที่ราว 6.9 พันล้านบาท ลดลง 35% YoY และกําไรหลักอยู่ที่ 698 ล้านบาท ลดลง 39% YoY ภายใต้สมมติฐานว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติในช่วงครึ่งปีหลัง
**โบรกฯ แนะหลีกเลี่ยง ระบุรอลงทุนในครึ่งปีหลังก็ยังไม่สาย
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า จังหวะนี้เป็นโอกาสในการรอ ซื้อเมื่ออ่อนตัว ที่ราคาเป้าหมาย 21 บาท แนะนำให้ Wait and See รอเข้าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ประเมินใหม่มูลค่าเหมาะสมปี 2563 อิงวิธี PER 19x (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ) เท่ากับ 15.10 บาท แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลงมามาก แต่เชื่อว่าราคาหุ้นยังถูกกดดันต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนของ COVID-19 ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร ดังนั้น จึงแนะนําหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น
ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ยากลำบากมากสำหรับ MAJOR ในการนำพาธุรกิจฝ่าวิกฤติการระบาดของโควิด – 19 ไปให้ได้ โดยบาดเจ็บน้อยที่สุด คงได้แต่ภาวนาว่า สถานการณ์นี้จะจบภายในครึ่งปีแรก มิเช่นนั้นผลกระทบนี้อาจกัดกร่อนมูลค่าของ MAJOR ให้ลดลงไปได้อีก
**ข่าวหุ้นยอดนิยม** MAJOR ชัตดาวน์โรงหนัง สะเทือนกำไรแค่ไหน?
วานนี้ (17 มี.ค.) ราคาหุ้น บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) ปรับตัวลดลง 11.25% มาปิดที่ 14.20 บาท หลังจาก มีมติ ครม.เกี่ยวกับมาตรการเพื่อลดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยหนึ่งในนั้นคือ ให้ปิดโรงภาพยนตร์ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชั่วคราว
MAJOR เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยตรง ซึ่งเพียงเดือนเดียวตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้น MAJOR ลดลงไปกว่า 63% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ระดับ 23.20 บาท
ลองมาดูกันว่า นักวิเคราะห์ประเมินผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และการปิดโรงหนักชั่วคราวครั้งนี้ไว้อย่างไรบ้าง
**ครม. ออกมาตรการคุมเข้มโควิด – 19 สั่งปิดโรงหนัง 2 สัปดาห์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยครม. เห็นชอบมาตรการ 6 ด้านเพื่อลดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้แก่ มาตรการด้านสาธารณสุข ,มาตรการด้านเวชภัณฑ์ป้องกัน ,มาตรการด้านข้อมูล การสื่อสารข้อมูลค่าง ๆ ของรัฐบาล , มาตรการด้านต่างประเทศ ,มาตรการช่วยเหลือเยียวยา และมาตรการด้านมาตรการป้องกัน เพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งรวมถึงโรงภาพยนตร์ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยให้ปิดชั่วคราวเป็นเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. เป็นต้นไป
**คาดกระทบกำไรระยะสั้น เหตุรายได้ 70% มาจากธุรกิจโรงหนัง
บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า การปิดโรงภาพยนตร์จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ MAJOR เนื่องจากรายได้ราว 70% มาจากธุรกิจโรงภาพยนตร์ (รวมไปถึงโฆษณาในโรงภาพยนตร์ด้วย) แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด – 19 จะส่งผลกระทบต่อ MAJOR ในระยะสั้นในระยะใดระยะหนึ่งเพียงเท่านั้น หากสถานการณ์ดังกล่าวผ่านพ้นไป MAJOR น่าจะฟื้นตัวกลับมาสู่สภาวะปกติได้ โดยเชื่อว่า MAJOR จะมีแผนรับมือที่ดีกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้บริษัทมีการส่งสัญญาณทั้งการลดเงินเดือนผู้บริหาร ลดจำนวนพนักงาน Part-time เป็น 0 จาก 900 คน
**แนวโน้มกำไรครึ่งปีแรกทรุดหนัก แถมหนังฮอลีวู้ดตบเท้าเลื่อนฉายเพียบ
บทวิเคราะห์ บล.เอเชีย พลัส ระบุว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ลุกลามไปทั่วโลกในขณะนี้ ส่งผลให้หนังฮอลลีวูด จํานวนมากต้องเลื่อนฉายออกไป เริ่มจาก Fast&Furious 9 เลื่อนฉายออกไป 1 ปี จากกําหนดเดิม 22 พ.ย.63 เป็น 2 เม.ย.64 ตามหนังอีกหลายเรื่องที่แพลนว่าจะเข้าฉายในช่วง มี.ค.-มิ.ย.63 ต่างถูกเลื่อน ออกไป ได้แก่ A Quiet Place Part 2 (ไม่มีกําหนด) , 007 No Time To Die (เลื่อนไป พ.ย.62), Peter Rabbit 2 (เลื่อนไป ต.ค.62), The New Mutants (ไม่มีกําหนด), Antlers (ไม่มีกําหนด), Mulan (ไม่มีกําหนด) และมีแนวโน้มสูงว่า Black Widow จะถูกเลื่อนเช่นกัน สําหรับมาตราการปิดโรงหนังเพื่อ ควบคุมโรค จะเริ่มตั้งแต่ 18 มี.ค.63 ถึงสิ้นเดือน หลังจากนั้นจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
โดยคาดว่า แนวโน้มกําไรครึ่งปีแรกน่าจะทรุดตัวหนัก จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการออกจากบ้านและเข้าโรงหนัง สังเกตุได้จากจํานวนรอบฉาย หนังและจํานวนโรงหนังที่เปิดให้บริการลดลงค่อนข้างมาก นอกจากนี้ในช่วงปลายไตรมาสแรกถึงไตรมาส 2/63 จะไม่มีหนังใหญ่เข้าฉาย เนื่องจากมีการเลื่อนฉายหนังฮอลลีวูดออกไปเกือบ 10 เรื่องแล้ว ส่งกระทบต่อ รายได้อย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วงที่หน้าหนังแข็งแกร่งที่สุดของปี โดยจะเหลือเพียงหนัง ฟอร์มกลางและฟอร์มเล็กจากค่ายหนังอิสระ ดังนั้นจํานวนคนเข้าโรงหนังน่าจะลดลงเป็นอย่างมาก
**ประเมินหากสถานการณ์จบภายในช่วงครึ่งปีหลัง กระทบกำไรทั้งปีหดตัว 39%
นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ บล.เอเชีย พลัส ได้ปรับลดประมาณการกําไรปี 2563 สะท้อนสถานการณ์ของ COVID-19 ในปัจจุบัน และการเลื่อนฉายหนังจํานวนมาก โดยเฉพาะหนังเรื่อง Fast&Furious 9 ซึ่งถือเป็นความหวังของหนังทําเงินในปีนี้ (ภาค 8 ทํารายได้ถึง 441 ล้านบาท) ถูกเลื่อนออกไปถึง 1 ปี ผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวส่งผล กระทบต่อทุกหน่วยธุรกิจของ MAJOR ไม่ว่าจะเป็นตั๋วหนัง เครื่องดื่มและป๊อปคอร์น โฆษณา โบว์ลิ่ง และให้เช่าพื้นที่ คาดรายได้ปีนี้อยู่ที่ราว 6.9 พันล้านบาท ลดลง 35% YoY และกําไรหลักอยู่ที่ 698 ล้านบาท ลดลง 39% YoY ภายใต้สมมติฐานว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติในช่วงครึ่งปีหลัง
**โบรกฯ แนะหลีกเลี่ยง ระบุรอลงทุนในครึ่งปีหลังก็ยังไม่สาย
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า จังหวะนี้เป็นโอกาสในการรอ ซื้อเมื่ออ่อนตัว ที่ราคาเป้าหมาย 21 บาท แนะนำให้ Wait and See รอเข้าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ประเมินใหม่มูลค่าเหมาะสมปี 2563 อิงวิธี PER 19x (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ) เท่ากับ 15.10 บาท แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลงมามาก แต่เชื่อว่าราคาหุ้นยังถูกกดดันต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนของ COVID-19 ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร ดังนั้น จึงแนะนําหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อนจนกว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น
ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ยากลำบากมากสำหรับ MAJOR ในการนำพาธุรกิจฝ่าวิกฤติการระบาดของโควิด – 19 ไปให้ได้ โดยบาดเจ็บน้อยที่สุด คงได้แต่ภาวนาว่า สถานการณ์นี้จะจบภายในครึ่งปีแรก มิเช่นนั้นผลกระทบนี้อาจกัดกร่อนมูลค่าของ MAJOR ให้ลดลงไปได้อีก