วันอาทิตย์
ชายหนุ่มนั่งอยู่หน้าหลุมศพพ่อ ในวันอาทิตย์ที่เงียบสงบ สุสานคนจีนหรือฮวงซุ้ยที่ปกตินอกจากช่วงเช็งเม้งแล้วจะไม่ค่อยมีคน แต่วันนี้ชายหนุ่มมาที่นี่แม้ไม่ใช่เทศกาล ในมือถือดอกไม้ มาเปลียนให้ที่หลุมศพพ่อ และเขาก็เอ่ยคำว่า " ผมเข้าใจแล้วครับพ่อ " ก่อนเขาจะบอกลาหลุมศพพ่อและเดินจากไป
วันศุกร์ สองวันก่อนหน้านั้น
ท่ามกลางการจราจรในช่วงเช้า ที่ฝรั่งเขาเรียกกันเหมือนชื่อหนังเฉินหลงว่า Rush hour
สุธีนั่งอยู่ในรถยนตร์คันหรูขนาดใหญ่รุ่นท้อปของรถญี่ปุ่นที่เขาซื้อมือสองมาจากน้องที่เคยทำงานด้วยกันเมื่อ 7 ปีก่อน จากรถราคามือหนึ่งล้านกว่าบาท ใช้ไปได้ 6 ปีเขาซื้อต่อมาในราคา 3 แสนกว่าๆ ซึ่งตอนซื้อมานั้นสุธีคิดว่าเขาช่างโชคดีที่เคยรู้จักรุ่นน้องคนนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า หลังจากสุธีลาออกจากบริษัทเก่าได้ปีนึง น้องคนนี้แต่งงานกับแฟน และ รถคันนี้ก็เป็นรถของแฟนรุ่นน้องคนนั้น และเขาเพิ่งตายไปได้ 3 เดือนก่อนประกาศขายลงในเฟสบุ๊ค และ สุธีก็ซื้อมาโดยไม่รู้เลยว่า รถคันนี้เป็นของคนที่ตายแล้ว เนื่องจากชื่อเจ้าของรถเป็นชื่อรุ่นน้องคนนั้น บางที สุธีก็นั่งยิ้มกระหยิ่มในใจ เวลาขับไปจอดที่ออฟฟิศแล้วคนมองว่าเขาเป็นชายที่ประสบความสำเร็จในวัยเพียง 29 ขณะที่คนอายุ 40 - 50 ที่บริษัทเขาหลายคนยังขับ รถคันเล็กๆกันอยู่เลย
หลังจากฝ่ารถติดนรกแตกมาถึงที่ทำงานได้ ด้วยเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ สุธี เข้าไปประชุมสาย และทุกคนก็ไม่ว่าอะไร จนประชุมเสร็จ หัวหน้าเรียกสุธีไปคุยส่วนตัว หัวหน้าชื่อ สุธน
สุธน : สุธี คุณทำงานดีมาก ปีที่ผ่านมาลูกค้าพอใจในผลงานบริการของคุณ จนทำให้ต่อสัญญากับเราไปอีก สองปี พวกเราก็มั่นคงมากขึ้นนะ
สุธี : อ๋อ ครับหัวหน้า แต่บริษัทก็ขึ้นเงินเดือนให้ผมแล้ว มีโบนัสด้วย ถือว่าช่วยๆกันครับพี่
สุธน : พรุ่งนี้วันเสาร์แฟนผมเขาจะทำกับข้าว ผมเชิญพนักงานระดับบริหารบางคน และ ผมขอเชิญคุณด้วย ไปกินข้าวบ้านผมกัน ถือว่าสังสรรค์นิดหน่อย
สุธี : ได้เลยครับ พรุ่งนี้ผมจะเอาไวน์ไปด้วย แต่ถ้าเมา ผมนอนบ้านพี่เลยนะครับ เพราะวันอาทิตย์ไม่ต้องทำงาน
สุธน : เมาเลยเหรอ ได้ๆ เต็มที่ๆ เมาแล้วนอนบ้านผมได้เลย ห้องคนใช้ว่าง เพราะเขากลับไปทำนา 555 ( หัวหน้าแหย่เล่น แต่ สุธีหน้าเจื่อนไปนิดนึง )
วันเสาร์
สุธี ขับรถแอคคอร์ด มาจอดที่บ้านหัวหน้า ที่ใกล้ๆกันมีแต่รถ วิออส ซิตี้ และ อีโค่คาร์ของเพื่อนร่วมงานจอดกันอีก 4 - 5 คัน สุธี มองรถตัวเองแล้วภูมิใจอีกที ก่อนเดินเข้าไปในบ้านหัวหน้าสุธน
บรรยากาศในบ้านเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ระดับบริหาร อายุ 30 กว่าๆ - 40 ปลายๆ ก็นั่งคุยกันสนุกสนาน รอกินข้าวเที่ยงกัน สุธี นำไวน์ฝรั่งเศสมีราคาฝากให้แฟนหัวหน้าไปแช่เย็น ก่อนเข้าร่วมวงสนทนากับเพื่อนร่วมงานคุยเรื่องต่างๆนานา ทั้งโควิด การเมือง รถ อนาคต และ ลูก มาถึงคำว่า ลูก สุธี ยังไม่มีภรรยา ดังนั้นคำว่าลูกคงได้แต่ฟังเพื่อนๆเขาคุยกัน
สุทิน หัวหน้าฝ่ายบัญชี : โอย ลูกผมวัยรุ่น ตอนนี้กำลังจะเข้า ม 4 กำลังหาที่เรียนให้อยู่ ค่าใช้จ่ายเยอะทีเดียว
สุชาติ ฝ่ายผลิต : โอย ลูกผมนี่เพิ่งจะ ขึ้น ป 4 ยังอีกไกล แต่ ซนอย่างกะลิง วันๆ มีเรื่องเจ็บตัว ถลอกได้แผลประจำ
สุรศักดิ์ : ฝ่ายขาย แห่ะๆ ลูกผมสิพี่ เพิ่งจะ 2 เดือน นี่ผมกับแฟนต้องตื่นมากลางดึกสลับกันดูแลตลอด นอนไม่ค่อยพอเลย
ขณะที่บรรดาพ่อๆ คุยกัน สุธีก็นั่งฟังอย่างคนไม่มีความรู้ ว่าเป็นพ่อเขาทำอะไรกันมั่งหว่า ทันใดนั้น ก็มีร่างของเด็กหญิงสาววัยรุ่น เดินลงมาจากกระได แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกนอกบ้าน เธอคือลูก หัวหน้าสุธน นั่นเอง
สุธน : เอ้า หมวย มาสวัสดีพวก คุณอา คุณลุง เขาหน่อยสิ แล้วนี่จะไปไหน เอาตังค์มั้ย มาๆ เอาเงิน ( สุธน ส่งเสียงเรียกลูก )
หมวยมองมาที่กลุ่มลูกน้องของพ่อ แล้ว หันหน้าไปทางพ่อ โดยไม่ได้กล่าวสวัสดีใคร และพูดขึ้นว่า
พ่อ : เลิกเรียกหมวยได้แล้ว บอกกี่ทีให้เรียก น้องออร่า หนูบอกเพื่อนตั้งแต่ ม 3 แล้วว่า หนูชื่อ ออร่า นี่ก็เข้ามหาลัยปี 1 แล้วเรียกอยู่ได้ หมวย เชยจะแย่ อายคนอื่น
สุธน : อ้อ ขอโทษลูก น้อง ออร่า มาเอาเงินก่อนออกนอกบ้านสิลูก สองพัน พอมั้ย ? ( ว่าแล้ว สุธน ก็ลุกขึ้นยื่นเงินให้ )
ลูกสาวเดินมารับเงินจากพ่อ แล้ว หันหลังเดินมุ่งหน้าออกประตู
สุธน : จะไปไหนน่ะลูก ให้พ่อไปส่งไหม ? ( สุธน ถามลูกก่อนออกจากประตูบ้าน )
ลูกสาวหยุดที่หน้าประตู และหันกลับมาและพูดว่า
หมวย : พ่อไม่ต้องเลย เพื่อนหนูเห็นพ่อแล้วนึกว่าเป็นปู่หนู พ่อน่ะแก่มากแล้ว อ้อ แล้วก็ที่มหาลัยน่ะ ก็ไม่ต้องไปส่งแล้วนะ หนูโตแล้วไปเองได้ ถ้าจะไปส่งน่ะ ซื้อรถให้หนูดีกว่า
พูดจบ หมวยออร่า ก็ออกจากบ้านไป ทำให้บรรยากาศ ของบรรดาคนในบริษัทเงียบอึ้งกันไปได้หลายวินาทีเลย ก่อน ที่สุธน จะส่งเสียงขึ้นมาให้คุยกันต่อไป แต่ สุรศักดิ์ ก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า
สุรศักดิ์ : โห ลูกผมอายุ 2 เดือน กว่าจะโตเท่านี้ ผมจะต้องเจออะไรบ้างเนี่ย
สุชาติ : เหอะ ลูกผม 10 ขวบ ผมก็เหนื่อยทั้งใจ เหนื่อยทั้งกาย คุณเตรียมใจได้เลยสุรศักดิ์เอ๊ย
สุทิน : แหม รอเข้าวัยรุ่นก่อนเหอะ จะรู้ว่า ปวดหัว ปวดใจ แบบ เหนื่อยกายเทียบไม่ได้เลยพวกคุณสองคน
สุธี ฟังอย่างเดียว แต่ก็เหลือบไปเห็น สุธนหัวหน้า นั่งน้ำตาคลอเบ้าเอ่อๆ ก่อนจะลุกหนีจากวงสนทนาไป ปล่อยให้ลูกน้องคุยกันต่อ
สุธน เดินไปยืนระเบียงบ้าน และ สุธี ก็ตามไป เห็นน้ำตาหัวหน้าไหล ก่อนสุธน จะพูดขึ้นมาว่า
สุธน : ผมมีลูกตอนนอายุเยอะ 40 กว่าค่อยมีลูก เลยดูห่างกัน ผมไปส่งลูกเข้าเรียน ลูกก็โดนล้อว่าพ่อหรือปู่ ผมก็เหนื่อยนะ อยากจะเกษียณเพราะวัยมันก็สมควรแล้ว ผมจะ 60 แล้ว แต่นี่มันบริษัทของผม ผมจะเลิกทำลำพังตัวคนเดียวคงได้ แต่ลูกก็ยังเรียนไม่จบ ต้องส่งเขาเรียนให้สูงๆ นี่แค่ปริญญาตรี ปี 1 ถ้าเขาอยากเรียนต่อ โท หรือ อะไรก็ตาม ผมก็ต้องหาเงินเผื่อเอาไว้ให้เขา ( สุธน พูดทั้งน้ำตาไหลอาบแก้ม )
สุธี : พี่ก็รวยแล้วนี่ครับ ทำไมไม่พักแล้วหาความสุขใส่ตัว ไปเที่ยว ไปพักผ่อน อะไรก็ได้น่ะผมว่า
สุธน : สุธี คุณยังเด็ก เงินน่ะ มันไม่มีคำว่าพอหรอก ถึงตอนนี้ผมมีเงินมาก แต่ก็ต้องเผื่อไว้ ยามเจ็บป่วย ค่าเงินถดถอย แต่ก็อย่างที่บอก ลำพังผมอยู่ได้ แต่ เมีย และลูกผมจะลำบาก ผมลำบากได้ แต่ลูกผมต้องมีทัดเทียมคนอื่น
พูดจบ สุธนก็ขอตัดบทบอกให้เลิกคุยเรื่องลูก ก่อนกลับเข้าไปร่วมวงสนทนากับลูกน้องกินข้าวเที่ยงกัน
และมื้อเที่ยงก็จบลง ทุกคนแยกย้ายบอกลากลับบ้าน รวมถึง สุธี เองก่อนกลับ หัวหน้ามาแตะไหล่ และบอกว่า ให้รีบๆมีลูกนะ อย่าให้แก่แบบเขา จะได้เป็นเพื่อนลูกได้ และก็ต้องขยัน อดทน ทำงานมันมีเรื่องลำบากใจเยอะ โดนลูกค้าด่า เพื่อนร่วมงานไม่ดี เดินทางขับรถบนถนนก็เจอ คนสารพัดประเภท ชีวิตอีกยาวไกล สุธี ต้องเจอกับปัญหาอีกมากมาย แต่ถ้ามีลูกแล้ว สุธีจะมีความหนักแน่นมากขึ้น นั่นคือคำพูดฝากก่อนจากกันของหัวหน้า
คืนวันเสาร์
สุธี นั่งอยุ่ที่ระเบียงบ้านชั้นสองของทาวน์เฮาส์ราคากลางๆ มองพระจันทร์ มันเป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆ เด็กๆในซอยบ้านเขาเริ่มเข้าบ้าน เพื่อนบ้านเริ่มใช้ชีวิตกันในครอบครัว ไม่ค่อยมีคนออกมาเดินแล้ว บรรยากาศเริ่มเงียบ สุธี ค่อยๆนึกทบทวน ถึงเรื่องที่ได้พบ ได้เห็น ได้ยิน จากบ้านหัวหน้า เรื่องลูกของแต่ละคน และสุธีก็นึกถึง ว่าสมัยก่อนได้ปฏิบัตกับพ่อไว้อย่างไร
สุธี จำได้ ถึงตอนเถียงกับพ่อ ตอนขึ้นเสียง ตอนใช้คำพูดดูถูกว่าพ่อนั้นแก่แล้วไ การกระแทกสิ่งของประชด และอีกมากมาย และที่สุธีฉุกคิดขึ้นมาตอนเหลือบไปเห็นรถตนเองที่จอดอยู่ เพราะพ่อของ สุธี ขับรถเก่าอายุ 20 กว่าปีไม่ยอมเปลี่ยน จนเขาเองเคยโดนเพื่อนล้อว่า นั่นรถพ่อนายหรือที่ปลูกสระแหน่อ่ะ และเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ดังก้อนหัวสุธี จนมาทำงาน สุธี จึงอยากได้รถหรูมาไว้คู่กายไม่อยากขับรถเก่าๆอีกต่อไปแล้ว
แต่คำพูดที่พ่อเคยบอกสุธีไว้ก็คือ : รถน่ะ มันแสดงฐานะคน แต่ไม่ได้แสดงจิตใจคน ถ้าลูกมีเพื่อนมีฐานะสองคน คนนึงนิสัยดี คนนึงนิสัยไม่ดี เลือกคบคนไหนล่ะ ? ในเมื่อเรามองกันที่ฐานะ ตัดสินคนกันที่ภายนอก. แต่ตอนนั้นสุธีไม่ได้เข้าใจคำพูดพ่อ หรือเรียกว่า ไม่สนใจคำพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว
ยิ่งเมื่อนึกถึงงานของพ่อ กับคำพูดของหัวหน้า ที่ว่า พ่อต้องไปทำงาน มีปัญหากับงานไหม ต้องโดนใครด่าไหม ต้องอดทนกับอะไรบ้าง สุธี เคยเห็นพ่อนั่งเหม่อเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยใส่ใจ จนตัวเองมาทำงาน สุธีก็รู้ว่า ตัวเองก็ผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งคนดี คนไม่ดี ต้องอดทน ต้องอดกลั้น แต่ถ้าสุธีไม่อยากทน ก็ไม่ต้องทน เพราะเขาตัวคนเดียว ไม่มีภาระ ลูก และ เมีย เหมือนหัวหน้า และพ่อของเขา
ท่ามกลางความเงียบ หลายอย่างเหมือนได้เข้าใจต่อความคิดของสุธี ว่า พ่อ ที่เขาไม่เคยรู้สึกภูมิใจนั้น เหนือกว่าเขาขนาดไหน ที่เลี้ยงครอบครัวจนตัวเขาและพี่น้อง ได้เรียนจบได้งานดีๆทำกันทุกคน ขณะที่ตัวเขาเองคนเดียว เวลาเจอสิ่งที่ไม่พอใจเขาก็หนีได้ หลบได้ ไม่ต้องนั่งทนเหมือนพ่อเขา ที่ทำงานที่เดียว 20 กว่าปี จนเสียชีวิตไปเมื่อน้องคนเล็กเรียนจบได้ปีเดียว และเรื่องนี้ก็ตามสุธีเข้านอนไปในคืนวันเสาร์อันแสนเงียบงัน
เช้าวันอาทิตย์
สุธี ตื่นเช้าและขับรถหรูไปซื้อดอกไม้ และมุ่งหน้าไปยังสุสานที่พ่อของเขาได้ฝังร่างไว้ พร้อมเดินถือดอกไม้ในมือ ......ในสุสานไม่มีใครเลย สุธีแอบนึกขึ้นได้ว่ากลัวผี แล้วดันมีคนงานมาซ่อมฮวยซุ้ย นั่งเอาผ้าขาวม้าคลุมหัวเสียด้วย สุธีนึกขึ้นมาได้ว่า เคยมากับแม่ แล้วเจอแบบนี้ สุธี ถามแม่ว่า
" แม่ๆ นั่นคนหรือ ...? "
แต่แม่เอามืออุดปากสุธีก่อนจะหลุดคำว่า ผี ออกมาเพราะแม่รู้ทันว่า สุธี คิดอะไร
สุธี นึกแล้วยิ้ม หายกลัวผี และเดินตรงต่อไปคนเดียวในสุสาน ของวันอาทิตย์ที่ร่มรื่นและแสงตะวันอันอ่อนโยน ...
จบแล้วครับ
เรื่องสั้น : เพิ่งเข้าใจ
ชายหนุ่มนั่งอยู่หน้าหลุมศพพ่อ ในวันอาทิตย์ที่เงียบสงบ สุสานคนจีนหรือฮวงซุ้ยที่ปกตินอกจากช่วงเช็งเม้งแล้วจะไม่ค่อยมีคน แต่วันนี้ชายหนุ่มมาที่นี่แม้ไม่ใช่เทศกาล ในมือถือดอกไม้ มาเปลียนให้ที่หลุมศพพ่อ และเขาก็เอ่ยคำว่า " ผมเข้าใจแล้วครับพ่อ " ก่อนเขาจะบอกลาหลุมศพพ่อและเดินจากไป
วันศุกร์ สองวันก่อนหน้านั้น
ท่ามกลางการจราจรในช่วงเช้า ที่ฝรั่งเขาเรียกกันเหมือนชื่อหนังเฉินหลงว่า Rush hour
สุธีนั่งอยู่ในรถยนตร์คันหรูขนาดใหญ่รุ่นท้อปของรถญี่ปุ่นที่เขาซื้อมือสองมาจากน้องที่เคยทำงานด้วยกันเมื่อ 7 ปีก่อน จากรถราคามือหนึ่งล้านกว่าบาท ใช้ไปได้ 6 ปีเขาซื้อต่อมาในราคา 3 แสนกว่าๆ ซึ่งตอนซื้อมานั้นสุธีคิดว่าเขาช่างโชคดีที่เคยรู้จักรุ่นน้องคนนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า หลังจากสุธีลาออกจากบริษัทเก่าได้ปีนึง น้องคนนี้แต่งงานกับแฟน และ รถคันนี้ก็เป็นรถของแฟนรุ่นน้องคนนั้น และเขาเพิ่งตายไปได้ 3 เดือนก่อนประกาศขายลงในเฟสบุ๊ค และ สุธีก็ซื้อมาโดยไม่รู้เลยว่า รถคันนี้เป็นของคนที่ตายแล้ว เนื่องจากชื่อเจ้าของรถเป็นชื่อรุ่นน้องคนนั้น บางที สุธีก็นั่งยิ้มกระหยิ่มในใจ เวลาขับไปจอดที่ออฟฟิศแล้วคนมองว่าเขาเป็นชายที่ประสบความสำเร็จในวัยเพียง 29 ขณะที่คนอายุ 40 - 50 ที่บริษัทเขาหลายคนยังขับ รถคันเล็กๆกันอยู่เลย
หลังจากฝ่ารถติดนรกแตกมาถึงที่ทำงานได้ ด้วยเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ สุธี เข้าไปประชุมสาย และทุกคนก็ไม่ว่าอะไร จนประชุมเสร็จ หัวหน้าเรียกสุธีไปคุยส่วนตัว หัวหน้าชื่อ สุธน
สุธน : สุธี คุณทำงานดีมาก ปีที่ผ่านมาลูกค้าพอใจในผลงานบริการของคุณ จนทำให้ต่อสัญญากับเราไปอีก สองปี พวกเราก็มั่นคงมากขึ้นนะ
สุธี : อ๋อ ครับหัวหน้า แต่บริษัทก็ขึ้นเงินเดือนให้ผมแล้ว มีโบนัสด้วย ถือว่าช่วยๆกันครับพี่
สุธน : พรุ่งนี้วันเสาร์แฟนผมเขาจะทำกับข้าว ผมเชิญพนักงานระดับบริหารบางคน และ ผมขอเชิญคุณด้วย ไปกินข้าวบ้านผมกัน ถือว่าสังสรรค์นิดหน่อย
สุธี : ได้เลยครับ พรุ่งนี้ผมจะเอาไวน์ไปด้วย แต่ถ้าเมา ผมนอนบ้านพี่เลยนะครับ เพราะวันอาทิตย์ไม่ต้องทำงาน
สุธน : เมาเลยเหรอ ได้ๆ เต็มที่ๆ เมาแล้วนอนบ้านผมได้เลย ห้องคนใช้ว่าง เพราะเขากลับไปทำนา 555 ( หัวหน้าแหย่เล่น แต่ สุธีหน้าเจื่อนไปนิดนึง )
วันเสาร์
สุธี ขับรถแอคคอร์ด มาจอดที่บ้านหัวหน้า ที่ใกล้ๆกันมีแต่รถ วิออส ซิตี้ และ อีโค่คาร์ของเพื่อนร่วมงานจอดกันอีก 4 - 5 คัน สุธี มองรถตัวเองแล้วภูมิใจอีกที ก่อนเดินเข้าไปในบ้านหัวหน้าสุธน
บรรยากาศในบ้านเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ระดับบริหาร อายุ 30 กว่าๆ - 40 ปลายๆ ก็นั่งคุยกันสนุกสนาน รอกินข้าวเที่ยงกัน สุธี นำไวน์ฝรั่งเศสมีราคาฝากให้แฟนหัวหน้าไปแช่เย็น ก่อนเข้าร่วมวงสนทนากับเพื่อนร่วมงานคุยเรื่องต่างๆนานา ทั้งโควิด การเมือง รถ อนาคต และ ลูก มาถึงคำว่า ลูก สุธี ยังไม่มีภรรยา ดังนั้นคำว่าลูกคงได้แต่ฟังเพื่อนๆเขาคุยกัน
สุทิน หัวหน้าฝ่ายบัญชี : โอย ลูกผมวัยรุ่น ตอนนี้กำลังจะเข้า ม 4 กำลังหาที่เรียนให้อยู่ ค่าใช้จ่ายเยอะทีเดียว
สุชาติ ฝ่ายผลิต : โอย ลูกผมนี่เพิ่งจะ ขึ้น ป 4 ยังอีกไกล แต่ ซนอย่างกะลิง วันๆ มีเรื่องเจ็บตัว ถลอกได้แผลประจำ
สุรศักดิ์ : ฝ่ายขาย แห่ะๆ ลูกผมสิพี่ เพิ่งจะ 2 เดือน นี่ผมกับแฟนต้องตื่นมากลางดึกสลับกันดูแลตลอด นอนไม่ค่อยพอเลย
ขณะที่บรรดาพ่อๆ คุยกัน สุธีก็นั่งฟังอย่างคนไม่มีความรู้ ว่าเป็นพ่อเขาทำอะไรกันมั่งหว่า ทันใดนั้น ก็มีร่างของเด็กหญิงสาววัยรุ่น เดินลงมาจากกระได แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกนอกบ้าน เธอคือลูก หัวหน้าสุธน นั่นเอง
สุธน : เอ้า หมวย มาสวัสดีพวก คุณอา คุณลุง เขาหน่อยสิ แล้วนี่จะไปไหน เอาตังค์มั้ย มาๆ เอาเงิน ( สุธน ส่งเสียงเรียกลูก )
หมวยมองมาที่กลุ่มลูกน้องของพ่อ แล้ว หันหน้าไปทางพ่อ โดยไม่ได้กล่าวสวัสดีใคร และพูดขึ้นว่า
พ่อ : เลิกเรียกหมวยได้แล้ว บอกกี่ทีให้เรียก น้องออร่า หนูบอกเพื่อนตั้งแต่ ม 3 แล้วว่า หนูชื่อ ออร่า นี่ก็เข้ามหาลัยปี 1 แล้วเรียกอยู่ได้ หมวย เชยจะแย่ อายคนอื่น
สุธน : อ้อ ขอโทษลูก น้อง ออร่า มาเอาเงินก่อนออกนอกบ้านสิลูก สองพัน พอมั้ย ? ( ว่าแล้ว สุธน ก็ลุกขึ้นยื่นเงินให้ )
ลูกสาวเดินมารับเงินจากพ่อ แล้ว หันหลังเดินมุ่งหน้าออกประตู
สุธน : จะไปไหนน่ะลูก ให้พ่อไปส่งไหม ? ( สุธน ถามลูกก่อนออกจากประตูบ้าน )
ลูกสาวหยุดที่หน้าประตู และหันกลับมาและพูดว่า
หมวย : พ่อไม่ต้องเลย เพื่อนหนูเห็นพ่อแล้วนึกว่าเป็นปู่หนู พ่อน่ะแก่มากแล้ว อ้อ แล้วก็ที่มหาลัยน่ะ ก็ไม่ต้องไปส่งแล้วนะ หนูโตแล้วไปเองได้ ถ้าจะไปส่งน่ะ ซื้อรถให้หนูดีกว่า
พูดจบ หมวยออร่า ก็ออกจากบ้านไป ทำให้บรรยากาศ ของบรรดาคนในบริษัทเงียบอึ้งกันไปได้หลายวินาทีเลย ก่อน ที่สุธน จะส่งเสียงขึ้นมาให้คุยกันต่อไป แต่ สุรศักดิ์ ก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า
สุรศักดิ์ : โห ลูกผมอายุ 2 เดือน กว่าจะโตเท่านี้ ผมจะต้องเจออะไรบ้างเนี่ย
สุชาติ : เหอะ ลูกผม 10 ขวบ ผมก็เหนื่อยทั้งใจ เหนื่อยทั้งกาย คุณเตรียมใจได้เลยสุรศักดิ์เอ๊ย
สุทิน : แหม รอเข้าวัยรุ่นก่อนเหอะ จะรู้ว่า ปวดหัว ปวดใจ แบบ เหนื่อยกายเทียบไม่ได้เลยพวกคุณสองคน
สุธี ฟังอย่างเดียว แต่ก็เหลือบไปเห็น สุธนหัวหน้า นั่งน้ำตาคลอเบ้าเอ่อๆ ก่อนจะลุกหนีจากวงสนทนาไป ปล่อยให้ลูกน้องคุยกันต่อ
สุธน เดินไปยืนระเบียงบ้าน และ สุธี ก็ตามไป เห็นน้ำตาหัวหน้าไหล ก่อนสุธน จะพูดขึ้นมาว่า
สุธน : ผมมีลูกตอนนอายุเยอะ 40 กว่าค่อยมีลูก เลยดูห่างกัน ผมไปส่งลูกเข้าเรียน ลูกก็โดนล้อว่าพ่อหรือปู่ ผมก็เหนื่อยนะ อยากจะเกษียณเพราะวัยมันก็สมควรแล้ว ผมจะ 60 แล้ว แต่นี่มันบริษัทของผม ผมจะเลิกทำลำพังตัวคนเดียวคงได้ แต่ลูกก็ยังเรียนไม่จบ ต้องส่งเขาเรียนให้สูงๆ นี่แค่ปริญญาตรี ปี 1 ถ้าเขาอยากเรียนต่อ โท หรือ อะไรก็ตาม ผมก็ต้องหาเงินเผื่อเอาไว้ให้เขา ( สุธน พูดทั้งน้ำตาไหลอาบแก้ม )
สุธี : พี่ก็รวยแล้วนี่ครับ ทำไมไม่พักแล้วหาความสุขใส่ตัว ไปเที่ยว ไปพักผ่อน อะไรก็ได้น่ะผมว่า
สุธน : สุธี คุณยังเด็ก เงินน่ะ มันไม่มีคำว่าพอหรอก ถึงตอนนี้ผมมีเงินมาก แต่ก็ต้องเผื่อไว้ ยามเจ็บป่วย ค่าเงินถดถอย แต่ก็อย่างที่บอก ลำพังผมอยู่ได้ แต่ เมีย และลูกผมจะลำบาก ผมลำบากได้ แต่ลูกผมต้องมีทัดเทียมคนอื่น
พูดจบ สุธนก็ขอตัดบทบอกให้เลิกคุยเรื่องลูก ก่อนกลับเข้าไปร่วมวงสนทนากับลูกน้องกินข้าวเที่ยงกัน
และมื้อเที่ยงก็จบลง ทุกคนแยกย้ายบอกลากลับบ้าน รวมถึง สุธี เองก่อนกลับ หัวหน้ามาแตะไหล่ และบอกว่า ให้รีบๆมีลูกนะ อย่าให้แก่แบบเขา จะได้เป็นเพื่อนลูกได้ และก็ต้องขยัน อดทน ทำงานมันมีเรื่องลำบากใจเยอะ โดนลูกค้าด่า เพื่อนร่วมงานไม่ดี เดินทางขับรถบนถนนก็เจอ คนสารพัดประเภท ชีวิตอีกยาวไกล สุธี ต้องเจอกับปัญหาอีกมากมาย แต่ถ้ามีลูกแล้ว สุธีจะมีความหนักแน่นมากขึ้น นั่นคือคำพูดฝากก่อนจากกันของหัวหน้า
คืนวันเสาร์
สุธี นั่งอยุ่ที่ระเบียงบ้านชั้นสองของทาวน์เฮาส์ราคากลางๆ มองพระจันทร์ มันเป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆ เด็กๆในซอยบ้านเขาเริ่มเข้าบ้าน เพื่อนบ้านเริ่มใช้ชีวิตกันในครอบครัว ไม่ค่อยมีคนออกมาเดินแล้ว บรรยากาศเริ่มเงียบ สุธี ค่อยๆนึกทบทวน ถึงเรื่องที่ได้พบ ได้เห็น ได้ยิน จากบ้านหัวหน้า เรื่องลูกของแต่ละคน และสุธีก็นึกถึง ว่าสมัยก่อนได้ปฏิบัตกับพ่อไว้อย่างไร
สุธี จำได้ ถึงตอนเถียงกับพ่อ ตอนขึ้นเสียง ตอนใช้คำพูดดูถูกว่าพ่อนั้นแก่แล้วไ การกระแทกสิ่งของประชด และอีกมากมาย และที่สุธีฉุกคิดขึ้นมาตอนเหลือบไปเห็นรถตนเองที่จอดอยู่ เพราะพ่อของ สุธี ขับรถเก่าอายุ 20 กว่าปีไม่ยอมเปลี่ยน จนเขาเองเคยโดนเพื่อนล้อว่า นั่นรถพ่อนายหรือที่ปลูกสระแหน่อ่ะ และเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ดังก้อนหัวสุธี จนมาทำงาน สุธี จึงอยากได้รถหรูมาไว้คู่กายไม่อยากขับรถเก่าๆอีกต่อไปแล้ว
แต่คำพูดที่พ่อเคยบอกสุธีไว้ก็คือ : รถน่ะ มันแสดงฐานะคน แต่ไม่ได้แสดงจิตใจคน ถ้าลูกมีเพื่อนมีฐานะสองคน คนนึงนิสัยดี คนนึงนิสัยไม่ดี เลือกคบคนไหนล่ะ ? ในเมื่อเรามองกันที่ฐานะ ตัดสินคนกันที่ภายนอก. แต่ตอนนั้นสุธีไม่ได้เข้าใจคำพูดพ่อ หรือเรียกว่า ไม่สนใจคำพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว
ยิ่งเมื่อนึกถึงงานของพ่อ กับคำพูดของหัวหน้า ที่ว่า พ่อต้องไปทำงาน มีปัญหากับงานไหม ต้องโดนใครด่าไหม ต้องอดทนกับอะไรบ้าง สุธี เคยเห็นพ่อนั่งเหม่อเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยใส่ใจ จนตัวเองมาทำงาน สุธีก็รู้ว่า ตัวเองก็ผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งคนดี คนไม่ดี ต้องอดทน ต้องอดกลั้น แต่ถ้าสุธีไม่อยากทน ก็ไม่ต้องทน เพราะเขาตัวคนเดียว ไม่มีภาระ ลูก และ เมีย เหมือนหัวหน้า และพ่อของเขา
ท่ามกลางความเงียบ หลายอย่างเหมือนได้เข้าใจต่อความคิดของสุธี ว่า พ่อ ที่เขาไม่เคยรู้สึกภูมิใจนั้น เหนือกว่าเขาขนาดไหน ที่เลี้ยงครอบครัวจนตัวเขาและพี่น้อง ได้เรียนจบได้งานดีๆทำกันทุกคน ขณะที่ตัวเขาเองคนเดียว เวลาเจอสิ่งที่ไม่พอใจเขาก็หนีได้ หลบได้ ไม่ต้องนั่งทนเหมือนพ่อเขา ที่ทำงานที่เดียว 20 กว่าปี จนเสียชีวิตไปเมื่อน้องคนเล็กเรียนจบได้ปีเดียว และเรื่องนี้ก็ตามสุธีเข้านอนไปในคืนวันเสาร์อันแสนเงียบงัน
เช้าวันอาทิตย์
สุธี ตื่นเช้าและขับรถหรูไปซื้อดอกไม้ และมุ่งหน้าไปยังสุสานที่พ่อของเขาได้ฝังร่างไว้ พร้อมเดินถือดอกไม้ในมือ ......ในสุสานไม่มีใครเลย สุธีแอบนึกขึ้นได้ว่ากลัวผี แล้วดันมีคนงานมาซ่อมฮวยซุ้ย นั่งเอาผ้าขาวม้าคลุมหัวเสียด้วย สุธีนึกขึ้นมาได้ว่า เคยมากับแม่ แล้วเจอแบบนี้ สุธี ถามแม่ว่า
" แม่ๆ นั่นคนหรือ ...? "
แต่แม่เอามืออุดปากสุธีก่อนจะหลุดคำว่า ผี ออกมาเพราะแม่รู้ทันว่า สุธี คิดอะไร
สุธี นึกแล้วยิ้ม หายกลัวผี และเดินตรงต่อไปคนเดียวในสุสาน ของวันอาทิตย์ที่ร่มรื่นและแสงตะวันอันอ่อนโยน ...