EP 30 ศึกชิงตำแหน่ง (ทำไมต้องโจผี)
เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ
https://youtu.be/vlXrwaYYpUs
ฝากกดติดตามที่ยูทูปด้วยนะครับ
หลังจากที่โจโฉตั้งตัวเองเป็น “เว่ยกง” และ “เว่ยอ๋อง” ประมาณ ปีคศ 213 ก็มีขุนนางอยู่ไม่น้อย ที่เกลี้ยกล่อมให้โจโฉขึ้นเป็นฮ่องเต้ ซึ่งโจโฉเองเมื่อชั่งใจผลได้ผลเสียทางการเมืองแล้ว ก็ยังปฏิเสธ แต่สำหรับเรื่องอำนาจในราชสำนักแล้ว โจโฉถือได้ว่ามีอำนาจสูงสุด และสำหรับกับการแต่งตั้งผู้สืบอำนาจต่อนั้น ก็เป็นประเด็นสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็มีการต่อสู้กันอย่างลับๆ ระหว่างบุตรชายของโจโฉ ว่าจะเป็นใครขึ้นมารับตำแหน่งสืบทอดอำนาจต่อ
ซึ่งในตอนนั้นจากข้อมูลที่สืบค้นได้ โจโฉมีลูกชายจำนวน 25 คน จากภรรยา 15 คน โดยเดิมที คนสำคัญที่คิดว่า จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมากที่สุดก็คือ บุตรชายคนโต ชื่อ “เฉาอ๋าง” หรือว่า “โจงั่ง” แต่ก็เสียชีวิตในศึกเมืองอ้วนเซียตอนรบกับเตียวสิ้ว ในปีเจี้ยนอันศกที่ 2 และโจโฉก็ยังมีลูกชายที่ตนเองรักมากอีกคนนึง ชื่อว่า “เฉาชง” หรือว่า “โจฉอง” แต่ป่วยหนักและเสียชีวิตไปในปีเจี้ยนอันศกที่ 13
โดยในตอนนั้นโจโฉเสียใจอย่างมาก จนโจผีเข้ามาปลอบใจบิดา โจโฉจึงพูดว่า “นี่คือโชคร้ายของข้า แต่เป็นโชคดีของพวกเจ้าทั้งหลาย” ซึ่งคำว่าพวกเจ้าทั้งหลาย อ.อี้จงเทียน อธิบายเพิ่มเติมว่า หมายถึง ลูกของโจโฉ 3 คน ก็คือ โจผี โจเจียงและโจสิด แล้วทำไมจึงเป็นแค่ 3 คนนี้ ทั้งที่มีลูกชายตั้ง 25 คน
อธิบายก็คือ ในหลักการแต่งตั้งผู้สืบทอดของคนสมัยก่อนนั้น เป็นการสืบทอดทางสายเลือด ก็คือ “พ่อสู่ลูก” ไม่ก็ “พี่ให้น้อง” และการที่จะให้ใครเป็นผู้สืบทอดต่อนั้น มีอยู่ 4 ทางเลือก ก็คือ ตั้งจากลูกเมียหลวง ตั้งเพราะเป็นลูกคนโต ตั้งเพราะเป็นลูกคนเก่ง ตั้งเพราะเป็นลูกที่ตนเองรัก
ระบบการแต่งงานในสมัยก่อน คือ ระบบ ผัวเดียว เมียเดียว แต่หลายนางบำเรอ ดังนั้นจะมีภรรยาที่เป็นทางการเพียงคนเดียวเท่านั้น เรียกว่า “ภรรยาหลวง” ส่วนลูกที่เกิดจากภรรยาหลวงจึงเรียกว่า “ลูกแม่ใหญ่” ลูกที่เกิดจากนางบำเรอ เรียกว่า “ลูกอนุ” และจะเลือกผู้สืบทอด ต้องเลือกจากลูกเมียหลวงก่อน นี่คือ “ตั้งลูกเมียหลวง” และถ้าหาก “เมียหลวง” มีลูกชายหลายคน ก็จะเลือกลูกคนโตสุด เรียกว่า “ตั้งลูกคนโต” นี่คือการตั้งเพราะเป็นลูกเมียหลวง และเป็นลูกคนโต ไม่ใช่เพราะความสามารถ
ซึ่งหากไม่ใช้ในหลักการทั้งสองนี้ โดยการถอยออกมาใช้หลักการ “ตั้งลูกคนเก่ง” แบบนี้ก็ยังเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งก็อาจจะเป็นผลดีกับทุกคน แต่สิ่งที่รับไม่ได้มากที่สุด ก็คือ การ “ตั้งเพราะเป็นลูกรัก” อันนี้ถือว่าไม่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้น โจผี โจสิดและโจเจียงทั้งสาม เป็นลูกของนางเปี้ยนฮูหยิน ซึ่งภรรยาคนแรกของโจโฉคือนางติงฮูหยิน โดยหลังจากที่ โจงั่งลูกชายคนโตของโจโฉตายไป ทำให้นางติงฮูหยินไม่พอใจโจโฉอย่างมาก จนต้องแยกทางกันไป และตอนหลังจึงเลื่อนให้นางเปี้ยนฮูหยินขึ้นเป็นภรรยาหลวงแทน ซึ่งตามธรรมเนียม ผู้สืบทอดตำแหน่งก็ต้องเป็นลูกของภรรยาหลวง และทั้งสามคนนี้ก็เข้าเงื่อนไขทั้งหมด
แล้วสามคนนี้ โจโฉจะเลือกใคร คนแรกที่ตัดออกก่อน ก็คือ “โจเจียง” แล้วทำไมถึงเป็นโจเจียง อ.อี้จงเทียนอธิบายว่า เพราะด้วยเหตุว่า โจเจียงนั้น ดูแล้วไม่ค่อยเหมาะที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองเท่าไหร่นัก ซึ่งโจเจียงนั้น มีความกล้าหาญและโดดเด่นมากในการออกรบ
ในแต่ละครั้งที่โจโฉให้โจเจียงออกรบ ต่างก็ได้ชัยชนะกลับมา ในปีเจี้ยนอันศกที่ 23 โจเจียงออกรบได้ชัย และเมื่อกลับมาที่เมืองเย่ ต่อมาโจโฉจึงถามว่า ปณิธานของเจ้าเป็นอย่างไร โจเจียงตอบอย่างองอาจว่า “คนอย่างข้าอยากเป็นแม่ทัพ ใส่เกราะเต็มยศ เสี่ยงตายไม่กลัว บุกนำทัพก่อน แยกชัดโทษและผลงาน” ตามบันทึกจดหมายเหตุสามก๊ก ในประวัติโจเจียง บันทึกไว้ว่า “บรูพกษัตริย์ หัวเราะเป็นการใหญ่” แม้ว่าโจเจียงจะกล้าหาญ แต่ข้อเสียก็คือไม่ชอบเรียนหนังสือ และ อ.อี้จงเทียนเองก็คิดว่า ความคิดของโจโฉนั้น ที่ตัดโจเจียงออกจากการเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อ ก็เมื่อสิ้นสุดเสียงหัวเราะนี่เอง
ดังนั้นก็เหลือ โจผีและโจสิด หากมองความสามารถของโจสิดนั้น โจสิดเขียนบทกลอนได้ดี แต่การเขียนบทกลอนไดดี ก็ใช้ว่าจะปกครองบ้านเมืองได้ด้วยเช่นกัน เมื่อครั้งโจสิด อายุได้ 23 ปี โจโฉตั้งให้โจสิดเป็นผู้ว่าการเมืองตุ้นชิว ซึ่งคาดว่าโจสิดก็น่าจะทำได้ดี เพราะในจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า “หลายครั้งเกือบได้เป็นผู้สืบทอด” แต่ก็อาจจะมองอีกแง่หนึงว่า แม้จะทำได้ดีแต่ก็ไม่เป็นที่โดดเด่น เพราะหากว่าผลงานของโจสิดนั้นโดดเด่น ต้องมีการบันทึกและบรรยายไว้แน่
อีกอย่างในจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า โจสิดนั้น “ทำตามใจตัว ไม่ข่มใจซ่อนตัวตน” ซึ่งต่างกับโจผี ก็คือ “ใช้ศิลป์เข้าคน แต่งซ่อนตัวตน” ซึ่งลักษณะนิสัยของโจผีและโจสิดนั้น ต่างกันสิ้นเชิง โจสิดนั้นดูน่ารัก จริงใจ เปิดเผย แต่สำหรับโจผีแล้ว ไม่ใช้แค่ไม่น่ารัก ยังน่ากลัวอีกด้วย และก็คงเดาใจโจผีไม่ออก ว่าในใจนั้นคิดอะไรอยู่
แต่โจโฉในตอนนี้ไม่ได้กำลังเลือกว่า ใครเป็นลูกที่น่ารักที่สุด แต่โจโฉต้องการ ลูกที่จะมาสืบสอดตำแหน่งทางการเมือง สามารถที่จะพึ่งพาและการันตีได้ว่าจะปกป้องอำนาจให้คงอยู่ไว้ได้ ซึ่งอำนาจของโจโฉในตอนนี้ก็ยังไม่มั่นคง ภายนอกยังมีซุนกวนกับเล่าปี่ ส่วนภายในก็ยังมีเหล่าขุนนางที่ยังต่อต้านอีกไม่น้อย ดังนั้นในปี คศ 217 โจผีถูกแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากโจโฉ
อ.อี้จงเทียน อธิบายในตอนนี้ว่า เหตุที่โจผีได้เป็นผู้สืบทอดนั้น มีอยู่ 4 เหตุผลคือ
ข้อแรก นิสัยของโจผี ก็คือการเก็บซ่อนตัวตน เป็นคนคิดหลายชั้น
ข้อสอง มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู้ ซึ่งหากเราดูประวัติจากทั้งสามคนแล้ว โจเจียงมีความสามารถทางการทหาร เป็นนักรบ โจสิดมีความสามารถทางวรรณกรรม เป็นบัณฑิต แต่สำหรับโจผีแล้ว แม้ว่าจะไม่โดดเด่นในเรื่องการรบเท่ากับโจเจียง แต่ใช่ว่าไม่มีความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนู หรือไม่สามารถเขียนบทกวีดีเท่ากับโจสิด แต่โจผีก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสามของนักกวีตระกูลโจ ในยุคเจี้ยนอัน ก็คือ โจโฉ โจสิดและโจผี
ข้อสาม โจผีเป็นลูกชายคนโต ซึ่งซุยเหยี่ยนเอง ก็ออกมาประกาศว่า หลักการนี้ไม่สามารถละเลยได้ และอีกเหตุการก็คือ โจโฉเองก็เคยถามกาเซี่ยงเรื่องนี้ว่าจะแต่งตั้งใครดี ซึ่งก็ถามอยู่หลายครั้ง แต่กาเซี่ยงกลับไม่ตอบ จนโจโฉพูด “เหตุใดท่านถึงไม่ตอบ” กาเซี่ยงจึงพูดว่า “ที่ข้าไม่ทันได้ตอบทันที ก็เพราะข้าคิดถึงอ้วนเสี้ยวกับเล่าเปียว” ก็คือ ตอบเหมือนไม่ตอบ ว่าตั้งลูกคนเล็กเป็นเหตุให้พ่ายแพ้
ข้อสี่ โจผีมีที่ปรึกษาดี ในช่วงการแย่งชิงตำแหน่ง ระหว่างโจผีและโจสิด ต่างฝ่ายก็มีที่ปรึกษาของตนเอง ซึ่งฝ่ายโจสิดนั้นมี ติงอี๋ ติงอี้และเอียวสิ้ว ฝั่งทางด้านโจผีก็มีที่ปรึกษาคนสำคัญอยู่สองคน คนแรกชื่อ “อู๋จื้อ” ซึ่งที่ปรึกษาของโจสิดทั้งสามคน ติงอี๋ ติงอี้และเอียวสิ้ว สามารถไม่มีใครเทียบอู๋จื้อผู้นี้ได้เลย
โดยครั้งนึง โจโฉจะยกทัพออกรบ ฝ่ายทางโจสิดได้เขียนคำสรรเสริญเยินยอโจโฉไว้อย่างงดงาม ทุกคนต่างก็ประจักษ์ถึงความสามารถและก็ประทับใจ บทความของโจสิดมาก รวมถึงโจโฉด้วย แต่โจผีรู้สึกว่าตนเองนั้นด้อยกว่าโจสิดในเรื่องนี้ ไม่รู้ทำอย่างไร จึงถามความเห็นของ “อู๋จื้อ” ว่าจะทำเช่นไร อู๋จื้อตอบว่า “ร้องไห้ก็พอ” โจผีได้ฟังก็เข้าใจ เมื่อโจโฉจะออกเดินทัพ โจผีนั่งคุกเข่า ร้องไห้เป็นยกใหญ่ น้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุด จนทำให้เหล่าขุนนางต่างๆ พากันร้องไห้ระงมตาม ด้วยเหตุนี้ทุกคนกลับสรรเสริญโจผี ว่ามีใจกตัญญูต่อโจโฉมาก จนลืมเรื่องบทกลอนสรรเสริญเยินยอของโจสิดไปทันที
ดังนั้นแนวทางของอู๋จื้อที่แนะนำโจผีนั้น เป็นวิธีการที่เรียบง่ายที่สุด ลงทุนน้อยที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด สะดวกและรวดเร็วที่สุด เท่านี้ก็สามารถคว้าชัยชนะมาให้โจผีได้แล้ว
อีกคนก็ “กาเซี่ยง” โจผีเคยถามกาเซี่ยงว่าจะทำเช่นไร กาเซี่ยงตอบว่า “ขอเพียงท่านเชิดชูคุณธรรม เพิ่มพูนความรู้ความสามารถ เพียรพยามทุกวันคืน ไม่ละทิ้งความกตัญญู ทำเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว” ฟังดูเผินๆก็เป็นเพียงการแนะนำโดยทั่วๆไป แต่หากมองให้ดีแล้ว หลักการของกาเซี่ยงนั้นอธิบายเน้นหนักถึงรากแกน แสดงถึงความเป็นคนดีให้ได้มากที่สุด ก็คือ ไม่ต้องมีลูกไม้อะไร ไม่ต้องแสดงความฉลาดหัวหมอ เพียงแค่เป็นคนดี รู้จักหน้าที่ของตนเอง มีความกตัญญูต่อผู้พระคุณ สุดท้ายแล้วก็จะได้รับความเอ็นดูจากโจโฉแน่นอน และสุดท้ายแล้วโจผีก็ได้รับตำแหน่ง พอโจผีได้รับการแต่งตั้ง ก็ดีใจจนออกนอกหน้า จนมีผู้หญิงคนนึงวิจารณ์เรื่องนี้ว่า การกระแบบนี้ไม่ดีเลย ซึ่งผู้หญิงคนนี้ชื่อ “เสี้ยนอิง” เป็นลูกสาวองครักษ์ของโจผี นางเสี้ยนอิง บอกว่า “ผู้สืบทอดตำแหน่งเป็นแบบนี้ได้อย่างไร อะไรคือผู้สืบทอดตำแหน่ง ผู้สืบทอดตำแหน่งก็คือคนที่ทำหน้าที่ดูแลบ้านเมืองแทนที่ท่านประมุข และการแทนที่ท่านประมุขก็คือ ท่านประมุขได้ตายไปแล้ว ดังนั้นเมื่อเข้ามาแทนที่ประมุข ต้องรู้สึกโศกเศร้า และการดูแลบ้านเมืองคืออะไร การดูแลบ้านเมืองก็คือต้องรับภาระอันหนักหน่วง ดังนั้นผู้สืบทอดควรจะรู้สึกถึงความกังวลและความเศร้าโศก แต่สำหรับผู้สืบทอดตำแหน่งแคว้นเว่ยของพวกเรานี้ กลับแสดงความรู้สึกยินดีปรีดาเช่นนี้ ดูแล้วชะตาของแคว้นเว่ยคงจะไม่ยืนยาวเป็นแน่”
และเป็นดั่งคำนางเสี้ยนอิงว่า โจผี ในปี คศ 220 สืบทอดตำแหน่งอ๋องเว่ยแทนโจโฉ และในปีเดียวกันนี้ ก็บีบให้พระเจ้าเหี้ยนเต้สละบัลลังก์ ขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน ชื่อว่า “เว่ยเหวินตี้” จากนั้นในปี คศ 226 สวรคต เป็นฮ่องเต้ได้เพียงแค่ 6 ปีเท่านั้นเอง หลังจากโจผีตายได้ 46 ปี แคว้นเว่ยดับสูญ
อ.อี้จงเทียนอธิบายในตอนท้ายนี้ว่า เหตุผลนึงของการดับสูญแคว้นเว่ยของโจโฉนั้น หลักๆมาจากระบบการปกครอง ซึ่งโจผีได้เปลี่ยนระบบสมุหนายกของโจโฉมาเป็นการปกครองระบบขุนนาง 9 ชั้น ซึ่งระบบนี้อธิบายง่ายๆก็คือ คนที่รับราชการสามารถสืบทอดต่อได้ทางสายเลือด จนลูกจนหลาน จึงทำให้คนที่ไม่เคยรับราชการมาก่อนไม่สามารถเข้ามาทำงานได้ ซึ่งต่างกับโจโฉอย่างสิ้นเชิง โดยแนวทางของโจโฉก็คือ “ขอเพียงเก่งยินดีอุ้มชู” และเหตุที่โจผีใช้ระบบนี้ก็เพราะต้องการเสียงสนับสนุนจากชนชั้นสูง และเหล่าตระกูลขุนนางต่างๆ เพื่อที่จะรักษาอำนาจทางการเมืองไว้ แต่สุดท้ายแล้วอำนาจต่างๆกลับตกไปอยู่ในมือของพวกตระกูลขุนนาง อย่างตระกูลซือหม่า ดังนั้นหนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายแคว้นเว่ย ก็มาจากระบบขุนนาง 9 ชั้นนี้
ในตอนหน้าเราจะมาคุย ถึงฝ่ายเล่าปี่กับซุนกวนบ้าง ว่าหลังจากชนะที่ศึกเซ็กเพ็กแล้ว ทั้งสองฝ่ายนี้เป็นอย่างไร กับ EP31 “ฉวยช่องเข้าครอบครอง”
เรื่องเล่าสามก๊ก EP 30 ศึกชิงตำแหน่ง (ทำไมต้องโจผี)
เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ
https://youtu.be/vlXrwaYYpUs
ฝากกดติดตามที่ยูทูปด้วยนะครับ
หลังจากที่โจโฉตั้งตัวเองเป็น “เว่ยกง” และ “เว่ยอ๋อง” ประมาณ ปีคศ 213 ก็มีขุนนางอยู่ไม่น้อย ที่เกลี้ยกล่อมให้โจโฉขึ้นเป็นฮ่องเต้ ซึ่งโจโฉเองเมื่อชั่งใจผลได้ผลเสียทางการเมืองแล้ว ก็ยังปฏิเสธ แต่สำหรับเรื่องอำนาจในราชสำนักแล้ว โจโฉถือได้ว่ามีอำนาจสูงสุด และสำหรับกับการแต่งตั้งผู้สืบอำนาจต่อนั้น ก็เป็นประเด็นสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็มีการต่อสู้กันอย่างลับๆ ระหว่างบุตรชายของโจโฉ ว่าจะเป็นใครขึ้นมารับตำแหน่งสืบทอดอำนาจต่อ
ซึ่งในตอนนั้นจากข้อมูลที่สืบค้นได้ โจโฉมีลูกชายจำนวน 25 คน จากภรรยา 15 คน โดยเดิมที คนสำคัญที่คิดว่า จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมากที่สุดก็คือ บุตรชายคนโต ชื่อ “เฉาอ๋าง” หรือว่า “โจงั่ง” แต่ก็เสียชีวิตในศึกเมืองอ้วนเซียตอนรบกับเตียวสิ้ว ในปีเจี้ยนอันศกที่ 2 และโจโฉก็ยังมีลูกชายที่ตนเองรักมากอีกคนนึง ชื่อว่า “เฉาชง” หรือว่า “โจฉอง” แต่ป่วยหนักและเสียชีวิตไปในปีเจี้ยนอันศกที่ 13
โดยในตอนนั้นโจโฉเสียใจอย่างมาก จนโจผีเข้ามาปลอบใจบิดา โจโฉจึงพูดว่า “นี่คือโชคร้ายของข้า แต่เป็นโชคดีของพวกเจ้าทั้งหลาย” ซึ่งคำว่าพวกเจ้าทั้งหลาย อ.อี้จงเทียน อธิบายเพิ่มเติมว่า หมายถึง ลูกของโจโฉ 3 คน ก็คือ โจผี โจเจียงและโจสิด แล้วทำไมจึงเป็นแค่ 3 คนนี้ ทั้งที่มีลูกชายตั้ง 25 คน
อธิบายก็คือ ในหลักการแต่งตั้งผู้สืบทอดของคนสมัยก่อนนั้น เป็นการสืบทอดทางสายเลือด ก็คือ “พ่อสู่ลูก” ไม่ก็ “พี่ให้น้อง” และการที่จะให้ใครเป็นผู้สืบทอดต่อนั้น มีอยู่ 4 ทางเลือก ก็คือ ตั้งจากลูกเมียหลวง ตั้งเพราะเป็นลูกคนโต ตั้งเพราะเป็นลูกคนเก่ง ตั้งเพราะเป็นลูกที่ตนเองรัก
ระบบการแต่งงานในสมัยก่อน คือ ระบบ ผัวเดียว เมียเดียว แต่หลายนางบำเรอ ดังนั้นจะมีภรรยาที่เป็นทางการเพียงคนเดียวเท่านั้น เรียกว่า “ภรรยาหลวง” ส่วนลูกที่เกิดจากภรรยาหลวงจึงเรียกว่า “ลูกแม่ใหญ่” ลูกที่เกิดจากนางบำเรอ เรียกว่า “ลูกอนุ” และจะเลือกผู้สืบทอด ต้องเลือกจากลูกเมียหลวงก่อน นี่คือ “ตั้งลูกเมียหลวง” และถ้าหาก “เมียหลวง” มีลูกชายหลายคน ก็จะเลือกลูกคนโตสุด เรียกว่า “ตั้งลูกคนโต” นี่คือการตั้งเพราะเป็นลูกเมียหลวง และเป็นลูกคนโต ไม่ใช่เพราะความสามารถ
ซึ่งหากไม่ใช้ในหลักการทั้งสองนี้ โดยการถอยออกมาใช้หลักการ “ตั้งลูกคนเก่ง” แบบนี้ก็ยังเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งก็อาจจะเป็นผลดีกับทุกคน แต่สิ่งที่รับไม่ได้มากที่สุด ก็คือ การ “ตั้งเพราะเป็นลูกรัก” อันนี้ถือว่าไม่เหมาะสมที่สุด
ดังนั้น โจผี โจสิดและโจเจียงทั้งสาม เป็นลูกของนางเปี้ยนฮูหยิน ซึ่งภรรยาคนแรกของโจโฉคือนางติงฮูหยิน โดยหลังจากที่ โจงั่งลูกชายคนโตของโจโฉตายไป ทำให้นางติงฮูหยินไม่พอใจโจโฉอย่างมาก จนต้องแยกทางกันไป และตอนหลังจึงเลื่อนให้นางเปี้ยนฮูหยินขึ้นเป็นภรรยาหลวงแทน ซึ่งตามธรรมเนียม ผู้สืบทอดตำแหน่งก็ต้องเป็นลูกของภรรยาหลวง และทั้งสามคนนี้ก็เข้าเงื่อนไขทั้งหมด
แล้วสามคนนี้ โจโฉจะเลือกใคร คนแรกที่ตัดออกก่อน ก็คือ “โจเจียง” แล้วทำไมถึงเป็นโจเจียง อ.อี้จงเทียนอธิบายว่า เพราะด้วยเหตุว่า โจเจียงนั้น ดูแล้วไม่ค่อยเหมาะที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองเท่าไหร่นัก ซึ่งโจเจียงนั้น มีความกล้าหาญและโดดเด่นมากในการออกรบ
ในแต่ละครั้งที่โจโฉให้โจเจียงออกรบ ต่างก็ได้ชัยชนะกลับมา ในปีเจี้ยนอันศกที่ 23 โจเจียงออกรบได้ชัย และเมื่อกลับมาที่เมืองเย่ ต่อมาโจโฉจึงถามว่า ปณิธานของเจ้าเป็นอย่างไร โจเจียงตอบอย่างองอาจว่า “คนอย่างข้าอยากเป็นแม่ทัพ ใส่เกราะเต็มยศ เสี่ยงตายไม่กลัว บุกนำทัพก่อน แยกชัดโทษและผลงาน” ตามบันทึกจดหมายเหตุสามก๊ก ในประวัติโจเจียง บันทึกไว้ว่า “บรูพกษัตริย์ หัวเราะเป็นการใหญ่” แม้ว่าโจเจียงจะกล้าหาญ แต่ข้อเสียก็คือไม่ชอบเรียนหนังสือ และ อ.อี้จงเทียนเองก็คิดว่า ความคิดของโจโฉนั้น ที่ตัดโจเจียงออกจากการเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อ ก็เมื่อสิ้นสุดเสียงหัวเราะนี่เอง
ดังนั้นก็เหลือ โจผีและโจสิด หากมองความสามารถของโจสิดนั้น โจสิดเขียนบทกลอนได้ดี แต่การเขียนบทกลอนไดดี ก็ใช้ว่าจะปกครองบ้านเมืองได้ด้วยเช่นกัน เมื่อครั้งโจสิด อายุได้ 23 ปี โจโฉตั้งให้โจสิดเป็นผู้ว่าการเมืองตุ้นชิว ซึ่งคาดว่าโจสิดก็น่าจะทำได้ดี เพราะในจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า “หลายครั้งเกือบได้เป็นผู้สืบทอด” แต่ก็อาจจะมองอีกแง่หนึงว่า แม้จะทำได้ดีแต่ก็ไม่เป็นที่โดดเด่น เพราะหากว่าผลงานของโจสิดนั้นโดดเด่น ต้องมีการบันทึกและบรรยายไว้แน่
อีกอย่างในจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า โจสิดนั้น “ทำตามใจตัว ไม่ข่มใจซ่อนตัวตน” ซึ่งต่างกับโจผี ก็คือ “ใช้ศิลป์เข้าคน แต่งซ่อนตัวตน” ซึ่งลักษณะนิสัยของโจผีและโจสิดนั้น ต่างกันสิ้นเชิง โจสิดนั้นดูน่ารัก จริงใจ เปิดเผย แต่สำหรับโจผีแล้ว ไม่ใช้แค่ไม่น่ารัก ยังน่ากลัวอีกด้วย และก็คงเดาใจโจผีไม่ออก ว่าในใจนั้นคิดอะไรอยู่
แต่โจโฉในตอนนี้ไม่ได้กำลังเลือกว่า ใครเป็นลูกที่น่ารักที่สุด แต่โจโฉต้องการ ลูกที่จะมาสืบสอดตำแหน่งทางการเมือง สามารถที่จะพึ่งพาและการันตีได้ว่าจะปกป้องอำนาจให้คงอยู่ไว้ได้ ซึ่งอำนาจของโจโฉในตอนนี้ก็ยังไม่มั่นคง ภายนอกยังมีซุนกวนกับเล่าปี่ ส่วนภายในก็ยังมีเหล่าขุนนางที่ยังต่อต้านอีกไม่น้อย ดังนั้นในปี คศ 217 โจผีถูกแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากโจโฉ
อ.อี้จงเทียน อธิบายในตอนนี้ว่า เหตุที่โจผีได้เป็นผู้สืบทอดนั้น มีอยู่ 4 เหตุผลคือ
ข้อแรก นิสัยของโจผี ก็คือการเก็บซ่อนตัวตน เป็นคนคิดหลายชั้น
ข้อสอง มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู้ ซึ่งหากเราดูประวัติจากทั้งสามคนแล้ว โจเจียงมีความสามารถทางการทหาร เป็นนักรบ โจสิดมีความสามารถทางวรรณกรรม เป็นบัณฑิต แต่สำหรับโจผีแล้ว แม้ว่าจะไม่โดดเด่นในเรื่องการรบเท่ากับโจเจียง แต่ใช่ว่าไม่มีความสามารถในการขี่ม้า ยิงธนู หรือไม่สามารถเขียนบทกวีดีเท่ากับโจสิด แต่โจผีก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสามของนักกวีตระกูลโจ ในยุคเจี้ยนอัน ก็คือ โจโฉ โจสิดและโจผี
ข้อสาม โจผีเป็นลูกชายคนโต ซึ่งซุยเหยี่ยนเอง ก็ออกมาประกาศว่า หลักการนี้ไม่สามารถละเลยได้ และอีกเหตุการก็คือ โจโฉเองก็เคยถามกาเซี่ยงเรื่องนี้ว่าจะแต่งตั้งใครดี ซึ่งก็ถามอยู่หลายครั้ง แต่กาเซี่ยงกลับไม่ตอบ จนโจโฉพูด “เหตุใดท่านถึงไม่ตอบ” กาเซี่ยงจึงพูดว่า “ที่ข้าไม่ทันได้ตอบทันที ก็เพราะข้าคิดถึงอ้วนเสี้ยวกับเล่าเปียว” ก็คือ ตอบเหมือนไม่ตอบ ว่าตั้งลูกคนเล็กเป็นเหตุให้พ่ายแพ้
ข้อสี่ โจผีมีที่ปรึกษาดี ในช่วงการแย่งชิงตำแหน่ง ระหว่างโจผีและโจสิด ต่างฝ่ายก็มีที่ปรึกษาของตนเอง ซึ่งฝ่ายโจสิดนั้นมี ติงอี๋ ติงอี้และเอียวสิ้ว ฝั่งทางด้านโจผีก็มีที่ปรึกษาคนสำคัญอยู่สองคน คนแรกชื่อ “อู๋จื้อ” ซึ่งที่ปรึกษาของโจสิดทั้งสามคน ติงอี๋ ติงอี้และเอียวสิ้ว สามารถไม่มีใครเทียบอู๋จื้อผู้นี้ได้เลย
โดยครั้งนึง โจโฉจะยกทัพออกรบ ฝ่ายทางโจสิดได้เขียนคำสรรเสริญเยินยอโจโฉไว้อย่างงดงาม ทุกคนต่างก็ประจักษ์ถึงความสามารถและก็ประทับใจ บทความของโจสิดมาก รวมถึงโจโฉด้วย แต่โจผีรู้สึกว่าตนเองนั้นด้อยกว่าโจสิดในเรื่องนี้ ไม่รู้ทำอย่างไร จึงถามความเห็นของ “อู๋จื้อ” ว่าจะทำเช่นไร อู๋จื้อตอบว่า “ร้องไห้ก็พอ” โจผีได้ฟังก็เข้าใจ เมื่อโจโฉจะออกเดินทัพ โจผีนั่งคุกเข่า ร้องไห้เป็นยกใหญ่ น้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุด จนทำให้เหล่าขุนนางต่างๆ พากันร้องไห้ระงมตาม ด้วยเหตุนี้ทุกคนกลับสรรเสริญโจผี ว่ามีใจกตัญญูต่อโจโฉมาก จนลืมเรื่องบทกลอนสรรเสริญเยินยอของโจสิดไปทันที
ดังนั้นแนวทางของอู๋จื้อที่แนะนำโจผีนั้น เป็นวิธีการที่เรียบง่ายที่สุด ลงทุนน้อยที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด สะดวกและรวดเร็วที่สุด เท่านี้ก็สามารถคว้าชัยชนะมาให้โจผีได้แล้ว
อีกคนก็ “กาเซี่ยง” โจผีเคยถามกาเซี่ยงว่าจะทำเช่นไร กาเซี่ยงตอบว่า “ขอเพียงท่านเชิดชูคุณธรรม เพิ่มพูนความรู้ความสามารถ เพียรพยามทุกวันคืน ไม่ละทิ้งความกตัญญู ทำเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว” ฟังดูเผินๆก็เป็นเพียงการแนะนำโดยทั่วๆไป แต่หากมองให้ดีแล้ว หลักการของกาเซี่ยงนั้นอธิบายเน้นหนักถึงรากแกน แสดงถึงความเป็นคนดีให้ได้มากที่สุด ก็คือ ไม่ต้องมีลูกไม้อะไร ไม่ต้องแสดงความฉลาดหัวหมอ เพียงแค่เป็นคนดี รู้จักหน้าที่ของตนเอง มีความกตัญญูต่อผู้พระคุณ สุดท้ายแล้วก็จะได้รับความเอ็นดูจากโจโฉแน่นอน และสุดท้ายแล้วโจผีก็ได้รับตำแหน่ง พอโจผีได้รับการแต่งตั้ง ก็ดีใจจนออกนอกหน้า จนมีผู้หญิงคนนึงวิจารณ์เรื่องนี้ว่า การกระแบบนี้ไม่ดีเลย ซึ่งผู้หญิงคนนี้ชื่อ “เสี้ยนอิง” เป็นลูกสาวองครักษ์ของโจผี นางเสี้ยนอิง บอกว่า “ผู้สืบทอดตำแหน่งเป็นแบบนี้ได้อย่างไร อะไรคือผู้สืบทอดตำแหน่ง ผู้สืบทอดตำแหน่งก็คือคนที่ทำหน้าที่ดูแลบ้านเมืองแทนที่ท่านประมุข และการแทนที่ท่านประมุขก็คือ ท่านประมุขได้ตายไปแล้ว ดังนั้นเมื่อเข้ามาแทนที่ประมุข ต้องรู้สึกโศกเศร้า และการดูแลบ้านเมืองคืออะไร การดูแลบ้านเมืองก็คือต้องรับภาระอันหนักหน่วง ดังนั้นผู้สืบทอดควรจะรู้สึกถึงความกังวลและความเศร้าโศก แต่สำหรับผู้สืบทอดตำแหน่งแคว้นเว่ยของพวกเรานี้ กลับแสดงความรู้สึกยินดีปรีดาเช่นนี้ ดูแล้วชะตาของแคว้นเว่ยคงจะไม่ยืนยาวเป็นแน่”
และเป็นดั่งคำนางเสี้ยนอิงว่า โจผี ในปี คศ 220 สืบทอดตำแหน่งอ๋องเว่ยแทนโจโฉ และในปีเดียวกันนี้ ก็บีบให้พระเจ้าเหี้ยนเต้สละบัลลังก์ ขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน ชื่อว่า “เว่ยเหวินตี้” จากนั้นในปี คศ 226 สวรคต เป็นฮ่องเต้ได้เพียงแค่ 6 ปีเท่านั้นเอง หลังจากโจผีตายได้ 46 ปี แคว้นเว่ยดับสูญ
อ.อี้จงเทียนอธิบายในตอนท้ายนี้ว่า เหตุผลนึงของการดับสูญแคว้นเว่ยของโจโฉนั้น หลักๆมาจากระบบการปกครอง ซึ่งโจผีได้เปลี่ยนระบบสมุหนายกของโจโฉมาเป็นการปกครองระบบขุนนาง 9 ชั้น ซึ่งระบบนี้อธิบายง่ายๆก็คือ คนที่รับราชการสามารถสืบทอดต่อได้ทางสายเลือด จนลูกจนหลาน จึงทำให้คนที่ไม่เคยรับราชการมาก่อนไม่สามารถเข้ามาทำงานได้ ซึ่งต่างกับโจโฉอย่างสิ้นเชิง โดยแนวทางของโจโฉก็คือ “ขอเพียงเก่งยินดีอุ้มชู” และเหตุที่โจผีใช้ระบบนี้ก็เพราะต้องการเสียงสนับสนุนจากชนชั้นสูง และเหล่าตระกูลขุนนางต่างๆ เพื่อที่จะรักษาอำนาจทางการเมืองไว้ แต่สุดท้ายแล้วอำนาจต่างๆกลับตกไปอยู่ในมือของพวกตระกูลขุนนาง อย่างตระกูลซือหม่า ดังนั้นหนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายแคว้นเว่ย ก็มาจากระบบขุนนาง 9 ชั้นนี้
ในตอนหน้าเราจะมาคุย ถึงฝ่ายเล่าปี่กับซุนกวนบ้าง ว่าหลังจากชนะที่ศึกเซ็กเพ็กแล้ว ทั้งสองฝ่ายนี้เป็นอย่างไร กับ EP31 “ฉวยช่องเข้าครอบครอง”