ทริปนี้ไม่ได้บอกใครเลยแม้กระทั่งแม่ เนื่องด้วยลงไปทำงานที่หาดใหญ่คือเข้าใกล้กับจังหวัดที่อยากไปแล้ว "ปัตตานี"
ทำงานเสร็จประมาณบ่าย 2 โดดขึ้นรถไฟ ที่สถานีหาดใหญ่ ใจจริงอยากจะไปไหว้หลวงปู่ทวดอย่างเดียวที่วัดช้างไห้ ลงสถานนีรถไฟ "วัดช้างไห้" เลยก็ได้ แต่เวลาที่ไปถึงก็เกือบเย็นมากแล้ว จึงขอเปลี่ยนแผนก่อนดีกว่า ทริปนี้คือไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย กระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบใหญ่ก็ฝากพี่ที่มาด้วยกันอีกคนไว้ในรถ เพราะเขาไม่ไปกับเราแน่นอน ถึงจะยังไม่ได้ถาม แต่ถามแล้วก็ไม่ไปอยู่ดี
เวลารถไฟออกจากสถานีรถไฟหาดใหญ่ (ชุมทางหาดใหญ่) เวลา 14.33 น. ถึง สถานีนาประดู่ สถานีก่อนถึงวัดช้างไห้ (ศึกษามาแล้วว่าไปลงที่วัดช้างไห้ ไม่มีรถนั่งไปในตัวเมืองแน่นอน) จึงลงน่าประดู่
บรรยากาศบนรถไฟขบวนที่ 455 นครศรีธรรมราช-ยะลา ราคาตั๋ว 19 บาท
บรรยกาศนอกหน้าต่างรถไฟขบวนที่ 455 ยังคงเป็นธรรมชาติเสมอ เมื่อไม่มีใครมารุกราน
จริงเราควรจะลงสถานี ปัตตานี (โคกโพธิ์) เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันหารถไปในตัวเมืองง่ายกว่าไปลง นาประดู่
รถไฟมาถึงนาประดู่ช้าไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง เพราะไปจอดที่ สถานีปัตตานี(โคกโพธิ์) นานมาก เมื่อลงมาจากสถานีเราก็เดินหารถสองแถวเพื่อไปในเมือง ซึ่งเอาจริงๆก็ยังไม่ได้หาที่พักไว้เลย ลงมาจากรถอากาศร้อนๆ ก็มาหาน้ำเย็นๆดื่ม สไตล์เราก็มาหาซื้อน้ำดื่มก่อนจะเริ่มการสนทนากับพ่อค้า
เลยถามบังว่าจะเข้าไปในเมืองยังไง (ที่นี่เรียกอาบังว่าอาแบ) อาแบบอกว่าต้องต่อรถเข้าไปในเมืองเป็นรถสองแถวสีน้ำเงิน แต่ตอนนี้เย็นมากแล้วน่าจะไม่มี ต้องนั่งรถสองแถวไปต่อรถที่แยกอะไรสักแยกเนี่ยหละ นี่ก็จำชื่อแยกไม่ได้เหมือนกัน แต่โชคดีที่ตาไวเห็น รถสองแถวสีน้ำเงิน เขียนว่า นาประดู่-ปัตตานี เลยโบกและกระโดดขึ้นรถเป็นทีเรียบร้อย
สถานีรถไฟนาประดู่ ก่อนถึง สถานีวัดช้างไห้เพียงหนึ่งสถานี
ร้านน้ำปั่นอาแบ ที่เราอุดหนุนแล้วก็สอบถามเส้นทาง ขายดีเชียว
กระโดดขึ้นรถสองแถวสีน้ำเงินเป็นที่เรียบร้อย
เวลาก็เริ่มเย็นตะวันคล้อยแล้ว แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงซะรถก็ตรงไปในเมืองปัตตานีเลย (ตามเขียนข้างรถว่าไปปัตตานี) ระหว่างทางก็แวะรับผู้โดยสาร และที่คนขับกับพูดภาษาท้องถิ่นกับน้องอีกคนที่ขึ้นรถเนี่ยหละ เราฟังไม่รู้เรื่อง
พอรถขับไปได้สักพักนึง น้องที่ขึ้นมาก็บอกเราว่า รถเขาจะไม่ไปถึงที่ปัตตานีนะ เขาต้องไปธุระที่หาดใหญ่ น้องก็ถามต่อไปว่าพี่เป็นทหารหรอ? ในใจคิด เอาแล้วไง!!! เราก็ปฏิเสธไป บอกว่าพี่มาเที่ยว น้องก็ชวนคุยไปเรื่อย น้องบอกว่าไม่ต้องห่วงพี่ บ้านผมอยู่แถวๆนี้แหละ รถตู้เขาจะไปจอดให้เราตรงแยกโคกโพธิ์ ถ้าจำไม่ผิดนะ พอรถจอดสนิทพี่คนขับก็ลงมาหาเลย บอกว่าพี่ต้องไปทำธุระพี่มาส่งได้แค่นี้นะ น่าจะมีรถต่อเข้าไปในเมือง แล้วพี่แกก็ไม่เก็บค่าโดยสารเรา ใจดีมากๆเลย ส่วนน้องที่นั่งรถมาด้วยกัน ก็ชวนพาไปนั่งตรงป้ายรถเมล์ ช่วยหารถให้เราเข้าไปที่เมือง นางยังบอกอีกถ้าไม่มีรถ เดี๋ยวจะให้เพื่อนขี่มอเตอร์ไซต์ไปส่งในเมือง อากาศกำลังดีไม่ร้อนเกินไป มีลมจากรถผ่านไปคอยผ่อนคลายอาการตื่นตะหนกของเราว่าถ้าไม่มีรถไปในเมือง จะทำยังไงดี เราก็นั่งคุยกับน้องจนรถผ่านไปหนึ่งคัน ก็นั่งขำกันว่ามัวแต่คุย สักพักก็มีรถตู้ป้ายปัตตานีขับผ่านมา เรากับน้องก็ทำการโบก แต่รถอยู่เลนส์ในสุดเลยผ่านเราไป แต่คุณพระช่วย รถตู้ตีเข้าซ้าย แล้วค่อยๆถอยหลังมาหาเรา เราก็รีบวิ่งไปขึ้นรถตู้และขอบคุณน้อง
ไม่ได้น้องพี่คงแย่แน่ๆเลย น้องที่ขึ้นรถมากับเราแล้วช่วยโบกรถเข้าเมือง
ระหว่างนั่งรถเข้าตัวเมืองปัตตานีก็ลองค้นหาที่พัก สรุปได้ว่า เราใช้ศาลหลักเมืองปัตตานีเป็นที่ค้นหาโรงแรมโดยรอบ แรกเลยหาได้โรงแรมนึงอยู่โค้งคุ้งแม่น้ำปัตตานีในรีวิวบอกว่าวิวคุ้งน้ำสวยมาก เราก็ตรวจสอบแผนที่ดู ค่อนข้างห่างไกลจากศาลหลักเมือง จึงดูโรงแรมอื่นๆ ซึ่งได้เป็นโรงแรมหนึ่งที่อยู่
ตรงข้ามแม่น้ำคนละฝั่งกับศาลหลักเมือง แค่เดินข้ามสะพานไปก็ถึงที่พักแล้ว พี่คนขับรถตู้ถามว่าเราลงไหน ก็บอกแกว่าลงโรงพยาบาล เพราะเป็นจุดที่รถตู้จอดใกล้สุดแล้วเดินจากโรงพยาบาลไปที่ศาลหลักเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร ถือว่าไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก เราก็ถามแกว่าค่ารถเท่าไหร่ แกก็บอกแล้วแต่จะให้ คือเราก็งง เพราะมาครั้งแรก ก็เลยให้ไป 50 บาท คิดซะว่าถ้าไม่ได้พี่เขาเราก็ไม่ได้เข้าเมือง ลงจากรถตู้เราก็เดินตรงไปข้ามถนนเลี้ยวขวา ผ่านโรงเรียนบดินเดชา แล้วก็เดินตัดเข้าไปเส้นถนนศาลหลักเมือง ข้ามสะพานเดชาฯ แปปเดียวก็เดินถึงที่พักแล้ว ราคา 500 บาท แต่น่าจะเป็นโรงแรมเก่าแก่ของที่นี่เลย ก่อนที่แสงจะหมดก็รีบออกมาชม ความงามของเมืองปัตตานีในยาม Twilight
ถนนหน้าศาลหลักเมือง มีเวลาปิด-เปิดให้รถเข้าออกตามเวลา ระหว่างที่ปิดถนนก็ให้ผู้คนได้พักผ่อนหย่อนใจ
วิวแม่น้ำปัตตานียามเย็น (ถ่ายบนสะพานเดชานุชิต) ผู้คนนั่งพักผ่อนหย่อนใจริมแม่น้ำสายนี้ บ้างก็มากันเป็นคู่ บ้างก็มากับเพื่อนๆ บ้างก็มากับครอบครัว
บริเวณสะพานเดชาฯ คนก็จะมาวิ่งออกกำลังกายกัน ซึ่งยอมรับว่าชอบวิ่งแต่ว่าไม่ได้เอารองเท้าวิ่งมา ก็คิดว่าที่นี่เขาไม่วิ่งกันเย็นๆหรอก คงเข้าบ้านนอนกันหมด ถ้าใครคิดแบบนี้แล้วยังไม่มาสัมผัสด้วยตัวเองให้คิดใหม่เลย เพราะคนวิ่งกันเต็มเลยจ้า อากาศก็ดี ลมพัดขึ้นมาจากแม่น้ำปัตตานีตลอดเวลา เดินๆไปสักหน่อยก็ไปพบกับรูปปั้นปืนใหญ่ สิ่งนี่คือปื่นใหญ่พญาตานี ซึ่งตัวจริงตอนนี้ตั้งอยู่ที่หน้ากระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานครแล้ว (ปืนใหญ่พญาตานีมีความสำคัญอย่างไร ลองไปค้นหาดูนะครับ)
รูปปั้นปืนใหญ่พญาตานี วางให้ชมบริเวณสะพานราชานุชิต
เดินเล่นไปเดินเล่นมาฟ้าก็เริ่มมึดแล้ว แต่ไม่ได้มีท่าทีว่าผู้คนจะกลับบ้านกันเลย ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ ท้องเราเริ่มร้องเป็นจังหวะแล้ว เลยไปเข้าร้านอาหารตามสั่ง สั่งสุกกี้แห้งใส่หมูกรอบมากินซะ อิ่มไปอีกมื้อ
ระหว่างนั่งกินข้าวก็เจอป้าท่านนึงเลยถามว่ามีอะไรน่าเที่ยวบ้าง ป้าแกก็ตกใจเหมือนกันว่าทำไม มาคนเดียวไม่กลัวหรอ เราก็ได้แค่ตอบไปด้วยรอยยิ้มกว้างๆ คนตอบที่ได้กลับมาก็คือไม่มีอะไรหรอก เห็นไหมหละ มาเห็นด้วยตัวเองแล้วหนิ แกก็แนะนำเรื่องตลาดของกินเยอะแยะไปหมด จนเราจำไม่ได้ทั้งหมดหลอก ก็แค่จำได้ว่ามีตลาดอยู่ตรงข้ามสะพานไปอะไรเนี่ยหละ ก็ลองเดินตามคำที่แกบอก (ในใจแอบกลัวเล็กน้อย เพราะเริ่มดึก คนก็เริ่มกลับกันของจริงแล้ว) เดินไปสักครู่นึงตามคำบอกของคุณป้าร้านอาหารตามสั่ง เราก็มาถึงตรงตลาดโต้รุ่งมีทั้งของกิน และเสื้อผ้ามากมาย ก็เดินเพลินๆ สักครู่หนึ่งก็เดินกลับที่พัก ไว้เริ่มกันต่อพรุ่งนี้เช้า เดี๋ยวจะมาพาไปเดินเที่ยวเล่นใกล้ๆภายในเมืองอีกก่อนกลับนะครับ
ศาลหลักเมือง จ.ปัตตานี ซึ่งมาตอนเย็นๆก็จะปิดแล้ว ก็เลยได้แต่ไหว้ข้างนอก
เดินเล่นตลาดโต้รุ่งของกินเยอะแยะมากมาย
ข้าวเกรียบปลาสดกรอบ หรือที่เรียกกันว่า "กะโป๊ะ" อร่อยมาก กินหมดแล้วยังอยากลงมาซื้อกินอีกเลย
มุมนี้ เป็นมุมในดวงใจผมก็ว่าได้ คล้ายๆวิวของยุโรปเลยนะครับ หรือ ผมคิดไปเองก็ไม่รู้นะ แต่ชอบมาก
เลียบแม่น้ำปัตตานีก็จะประดับประดาไฟสวยงาม เป็นอุโมงค์ไฟบ้าง หรือว่าไฟตามสิ่งก่อสร้างต่างๆ
มองอุโมงค์ไฟจากมุมไกลๆ สวยงามไม่แพ้ในเมืองภาคกลางเลยว่าไหมครับ?
คืนนี้ก่อนไปนอน ฝากรูปการตกแต่งประดับประดาไฟสวยงามบริเวณริมแม่น้ำปัตตานี สีสันของสะพานเดชาชุชิต ไฟเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ สวยงามจริงๆ
[CR] คนเดียวเที่ยวปัตตานี ( 1 คืน 1 วัน)
ทำงานเสร็จประมาณบ่าย 2 โดดขึ้นรถไฟ ที่สถานีหาดใหญ่ ใจจริงอยากจะไปไหว้หลวงปู่ทวดอย่างเดียวที่วัดช้างไห้ ลงสถานนีรถไฟ "วัดช้างไห้" เลยก็ได้ แต่เวลาที่ไปถึงก็เกือบเย็นมากแล้ว จึงขอเปลี่ยนแผนก่อนดีกว่า ทริปนี้คือไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย กระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบใหญ่ก็ฝากพี่ที่มาด้วยกันอีกคนไว้ในรถ เพราะเขาไม่ไปกับเราแน่นอน ถึงจะยังไม่ได้ถาม แต่ถามแล้วก็ไม่ไปอยู่ดี
ระหว่างนั่งกินข้าวก็เจอป้าท่านนึงเลยถามว่ามีอะไรน่าเที่ยวบ้าง ป้าแกก็ตกใจเหมือนกันว่าทำไม มาคนเดียวไม่กลัวหรอ เราก็ได้แค่ตอบไปด้วยรอยยิ้มกว้างๆ คนตอบที่ได้กลับมาก็คือไม่มีอะไรหรอก เห็นไหมหละ มาเห็นด้วยตัวเองแล้วหนิ แกก็แนะนำเรื่องตลาดของกินเยอะแยะไปหมด จนเราจำไม่ได้ทั้งหมดหลอก ก็แค่จำได้ว่ามีตลาดอยู่ตรงข้ามสะพานไปอะไรเนี่ยหละ ก็ลองเดินตามคำที่แกบอก (ในใจแอบกลัวเล็กน้อย เพราะเริ่มดึก คนก็เริ่มกลับกันของจริงแล้ว) เดินไปสักครู่นึงตามคำบอกของคุณป้าร้านอาหารตามสั่ง เราก็มาถึงตรงตลาดโต้รุ่งมีทั้งของกิน และเสื้อผ้ามากมาย ก็เดินเพลินๆ สักครู่หนึ่งก็เดินกลับที่พัก ไว้เริ่มกันต่อพรุ่งนี้เช้า เดี๋ยวจะมาพาไปเดินเที่ยวเล่นใกล้ๆภายในเมืองอีกก่อนกลับนะครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้