กลับมาแล้ว กลับมาต่อสำหรับตอนจบของเที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วย Work and Holiday visa ฉบับทิงนองนอย เข้าป่า ตกปลา ปีนเขา คราวนี้จะไปต่อกันกับอีก 3 รัฐ และ 2 ดินแดนที่เหลืออยู่ ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก กลับไปอ่านก่อนเน้อจะได้เข้าใจรูปแบบการเที่ยวที่เราเอามาฝากมากขึ้น
จิ้มจึ้กๆ >>
https://ppantip.com/topic/39686918
4.Queensland (QLD)
มาถึงอีกหนึ่งรัฐใหญ่ที่กินพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ มีของโอทอปขึ้นชื่อเลื่องลือก็คือแนวปะการังขนาดยาวที่สุดในโลกที่ดึงดูดนักดำน้ำให้มาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย แม้ว่าปัจจุบันจะใกล้ซี้แหงแก๋แล้วก็ตามทีอย่าง Great Barrier Reef แถมยังเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญของประเทศอีกด้วย เราเริ่มการไปเยี่ยมเยือนรัฐนี้ด้วยการไปทำงานที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งประมาณครึ่งปี ก่อนจะได้กลับมาอีกครั้งในช่วงกึ่งๆ ตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อ สำหรับเรา Queensland เป็นรัฐที่ไม่ได้มีที่เที่ยวหวือหวาอะไรมากนัก เหมือนคุณป้าวัยกลางคน ใจดี มีตังค์ คบไว้สบายใจ555
4.1 Bowen
ตอนแรกคิดว่าจะเขียนเรียงตามแผนที่ แต่คิดอีกทีเขียนตามลำดับที่เราไปดีกว่าจะได้เล่าเรื่องได้ต่อเนื่อง หลังจากที่เจ็บช้ำจากอากาศสุดแปรปรวนเหมือนมนุษย์เมนส์ใน Melbourne เราก็ตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนบินหนีมาทำงานยังเมืองเล็กๆ ติดชายฝั่งทะเลที่มีของดีประจำเมืองคือ มะม่วง (แต่ไม่ได้กินเพราะลาออกจากงานก่อนหน้ามะม่วง แป่ว) อย่าง Bowen โชคดีที่ได้งานโรงแรมก่อนที่จะมาถึง เพราะในตอนนั้นคิดว่าถ้าหางาน Hospitality ไม่ได้ก็คงต้องไปทำงานฟาร์มเพื่อเก็บวันสำหรับต่อวีซ่าปี 2
หมายเหตุ – ใครที่งงว่าทำไมต้องไปทำฟาร์ม หรือทำงานที่กำหนดเพื่อต่อวีซ่า จะเล่าให้ฟังคร่าวๆ แบบนี้ละกันนะคะ ตัววีซ่า Work and Holiday นี้มีขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ให้นักท่องเที่ยววัยหนุ่มสาวสามารถเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ (ก่อให้เกิดเม็ดเงิน) ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้สามารถทำงาน ทดแทนแรงงานคนที่ขาดแคลนของประเทศได้ เป็น Win-Win Situation ของทั้งสองฝ่าย แต่เพื่อป้องกันการกระจุกตัวเข้ามาอยู่แต่ในเมืองยอดฮิตอย่าง Sydney หรือ Melbourne ทางการก็เลยออกกฎเพิ่มเติมว่าถ้าเราเดินทางไปทำงานที่กำหนด ในพื้นที่ที่กำหนด (ซึ่งก็แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นอาชีพที่ขาดแคลนแรงงานคน ในพื้นที่ที่ไม่ใช่เมนสตรีมเพื่อกระจายคนออกไป) ในช่วงเวลาที่กำหนดให้ ก็สามารถต่อวีซ่าปี 2 และปี 3 ได้ ซึ่งล่าสุดอย่างที่รู้กันว่าออสเตรเลียเพิ่งเผชิญไฟป่าครั้งใหญ่ไป เกิดความเสียหายทั่วทุกภาคส่วนทั้งอาคารบ้านเรือนที่ต้องได้รับการซ่อมแซม สัตว์ป่าที่ต้องได้รับการดูแลเยียวยา จึงมีการออกกฎใหม่ให้งานช่วยเหลือหลังไฟป่าสามารถนำมานับวันยื่นต่อวีซ่าได้ เรียกว่ารัฐบาลเค้าฉลาดนะคะ แฮ่ม
โอเคกลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อ อย่างที่เล่าไปว่า Bowen เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ไม่ค่อยมีที่เที่ยวสำคัญสักเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่จึงใช้เป็นแค่เมืองทางผ่านแวะกินข้าวเที่ยง ยกเว้นช่วงหน้าเทศกาลสำคัญประจำปีอย่าง Super Boat ซึ่งเป็นงานแข่งเรือเร็ว ในเมืองจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวแน่นขนัดโดยเฉพาะริมชายหาด อ่อ อย่าถามนะว่าสนุกมั้ย อิหาดที่ว่านี่ก็คือหาดหน้าโรงแรมที่นุ้งทำงานอยู่นั่นแหละท่านผู้ชม วิ่งเสิร์ฟอาหาร ช่วยจัดจานสลัดหน้าเริ่ด หมดแรงไปดูเรือแล้ว
แต่ถ้าใครอยากแวะเที่ยวเมืองนี้ จริงๆ แล้ว Bowen ก็มีหาดสวยๆ ที่เงียบสงบเหมาะแก่การไปนอนอาบแดดอยู่หลายหาดเลย ไม่ว่าจะเป็น Horseshoe Bay, Grays Bay หรือ Queens Beach น้ำที่นี่ค่อนข้างสงบเหมาะแก่การเล่น SUP (เราหัด SUP ครั้งแรกก็ที่นี่แหละ) มาก ตกเย็นก็สามารถเดินหรือขับรถขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Flagstaff Hill ได้ จะบอกว่าจากบนนี้ดาวสวยมวาก
สำหรับเรา Bowen เป็นเมืองที่มีความทรงจำเยอะมาก เป็นที่ที่ทำให้เรากล้าที่จะออกจากกรอบหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการใช้ภาษาอังกฤษ ด้วยความที่เมืองแทบไม่มีคนไทยเลย เพื่อนร่วมงานก็เป็นต่างชาติล้วน มาหมดทั้งสกอตติช ไอริช แคเนเดียน ไปยันออสซี่สูงวัยที่ชอบงึมงำในลำคอ ทำให้เราได้ภูมิคุ้มกันสำเนียงยากๆ มาจากที่นี่นี่แหละ ที่สำคัญยังเป็นเมืองที่เราไปเจอคนร่วมทางสำหรับทุกการเดินทางครั้งต่อๆ มา วรั้ยย
อันนี้พา ซูส น้องหมาของเพื่อนไปปิกนิก
ส่วนอันนี้ มูมู่ น้องสล็อตที่เลี้ยงไว้นั่นเอง
4.2 Airlie Beach
และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ของสายรักน้ำรักปลารักซากุระกับเมืองเล็กๆ แค่ชั่วโมงกว่าจาก Bowen ที่เราใช้เป็นฐานทัพในการออกทะเลไปชมเจ้าแนวปะการังเลื่องชื่อ Great Barrier Reef นั่นเอง ที่นี่มีทัวร์หลายเจ้าให้เลือกสรร มาเป็นแพ็กเกจคือ Snorkeling ชมปะการัง พร้อมอาหารหนึ่งมื้อ และสแน็คระหว่างวัน ไม่ต้องคิดเยอะ จ่ายไป คุ้ม ส่วนใครที่อยากดำน้ำลึกก็ซื้อแพ็กเกจเพิ่มบนเรือได้เลย
เริ่มแรกเรือจะพาเราไปรับคนเพิ่มจากเกาะ Hamilton ก่อน (ใครอยากลองมาพักผ่อนชิลล์ๆ เกาะนี้ก็ซื้อแพ็กเกจมาได้นะ แต่ได้ข่าวว่าค่าที่พักแพงมวาก) จากนั้นจึงตรงไปยังจุด Outer Reef แล้วทิ้งสมอให้เราอยู่ตรงนั้นจนจุใจ ระหว่างนั้นใครอยากกินข้าวก็กิน ใครอยากอาบแดดก็มีเตียงผ้าใบที่ดาดฟ้าเรือ แต่เราดีดมาก ตรงดิ่งไปใส่ Wetsuit (บอกก่อนเลยว่าน้ำหนาวมากบิกินี่เอาไม่อยู่นาจา) จับจองอุปกรณ์ลงน้ำทันที ส่วนใครที่ไม่อยากลงน้ำ (มีจริงๆ นะแบบอาเจ้ที่แต่งหน้ามาเต็มกลัวเปียก) เค้าก็มีส่วนเรือท้องกระจกให้เดินลงไปดูปลาจากในเรือได้
ด้วยความที่เคยดำน้ำตื้นทะเลใต้ที่ไทยมาบ้าง แต่มากสุดที่เคยเห็นก็ปลาการ์ตูนฝูงสองฝูง เมื่อมาเจอของจริงที่นี่บอกได้คำเดียวเลยว่า แม่เอ๊ย ตายตาหลับแล้ว ภาพของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลที่เราเคยเห็นแค่ใน Nat Geo มาอยู่ตรงหน้า ปลาที่ตัวใหญ่กว่าเราสามเท่าว่ายเฉียดเราไป ฝูงปลาสีเงินนับหมื่นที่พุ่งผ่านเราเหมือนเป็นหินก้อนนึง แนวปะการังที่ใหญ่เว่อร์ ใหญ่จนไม่รู้จะบรรยายยังไง ถึงแม้ว่าปะการังส่วนใหญ่จะกลายเป็นสีขาวที่หมายถึงตายไปแล้ว แต่เรายังคงเห็นถึงความยิ่งใหญ่ เห็นถึงความพยายามที่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งผ่านสีสันเล็กๆ ที่ขึ้นแซมตลอดแนว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่เราคิดไว้มาก อยากบอกว่าถ้าผ่านมาทางนี้เมื่อไรให้เธอเข้ามาทักทายบ้าง เพราะมันดีมากจริงๆ ลงน้ำจนตัวเย็น มือเหี่ยวก็ยังรู้สึกไม่พอ ไม่อิ่ม อยากสำรวจต่อเรื่อยๆ อ้อ แต่ต้องระวังนิดนึงนะ อย่าเข้าไปใกล้จนเกินไป อย่าจับ หรือแลนดิ้งเท้าเราลงบนปะการังเพราะจะทำให้ระบบนิเวศเสียหาย แถมที่นั่นยังมีหอยเม่นอยู่เยอะมาก ลงสุ่มสี่สุ่มห้ามีพรุนแน่จ้า
นอกจากกิจกรรมดำน้ำที่ควรต้องมาโดนแล้วที่ Airlie Beach ก็ยังมีอีกสองกิจกรรมน่าทำ (แต่เราเวลาไม่พอ ไว้กลับไปซ้ำ) ก็คือ Sky Diving กับไปพักผ่อนบนหาดทรายละเอียดที่ Whitsunday Islands แล้วจะกลับมาปาร์ตี้ที่ฝั่งแบบแบ็กแพกเกอร์สไตล์ก็จัดว่าดี
4.3 Townsville
จริงๆ แล้วเมืองนี้เป็นแค่เมืองทางผ่าน แต่เผื่อใครได้ผ่านไป เลยเขียนแนบเป็นข้อมูลไว้หน่อย อันที่จริง Townsville ก็จัดว่าเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีอะไรเหมือน Bowen เหมาะแก่การแวะพักผ่อนรอต่อรถไปเมืองอื่น ไฮไลท์ที่ดูจะดึงดูดผู้คนได้มากที่สุดของที่นี่คือ The Strand ทางเดินเลียบหาดความยาวราว 2 km ที่เหมาะจะมาปิกนิก วิ่งออกกำลังกาย หรือแวะหาอะไรอร่อยๆ ตามร้านอาหารที่เรียงรายตลอดแนวหาด ส่วนใครที่อยากดูปะการังแต่ไม่อยากดำน้ำ ที่นี่ก็มี Reef HQ Aquarium ซึ่งเป็นอควาเรียมของปะการังมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้ชมกัน
[CR] เที่ยวทั่วออสเตรเลียด้วย Work and Holiday Visa แคมป์ปิ้ง ตกปลา เดินป่า ปีนเขา (ตอนจบ)
จิ้มจึ้กๆ >> https://ppantip.com/topic/39686918
4.Queensland (QLD)
มาถึงอีกหนึ่งรัฐใหญ่ที่กินพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ มีของโอทอปขึ้นชื่อเลื่องลือก็คือแนวปะการังขนาดยาวที่สุดในโลกที่ดึงดูดนักดำน้ำให้มาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย แม้ว่าปัจจุบันจะใกล้ซี้แหงแก๋แล้วก็ตามทีอย่าง Great Barrier Reef แถมยังเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญของประเทศอีกด้วย เราเริ่มการไปเยี่ยมเยือนรัฐนี้ด้วยการไปทำงานที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งประมาณครึ่งปี ก่อนจะได้กลับมาอีกครั้งในช่วงกึ่งๆ ตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อ สำหรับเรา Queensland เป็นรัฐที่ไม่ได้มีที่เที่ยวหวือหวาอะไรมากนัก เหมือนคุณป้าวัยกลางคน ใจดี มีตังค์ คบไว้สบายใจ555
4.1 Bowen
ตอนแรกคิดว่าจะเขียนเรียงตามแผนที่ แต่คิดอีกทีเขียนตามลำดับที่เราไปดีกว่าจะได้เล่าเรื่องได้ต่อเนื่อง หลังจากที่เจ็บช้ำจากอากาศสุดแปรปรวนเหมือนมนุษย์เมนส์ใน Melbourne เราก็ตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนบินหนีมาทำงานยังเมืองเล็กๆ ติดชายฝั่งทะเลที่มีของดีประจำเมืองคือ มะม่วง (แต่ไม่ได้กินเพราะลาออกจากงานก่อนหน้ามะม่วง แป่ว) อย่าง Bowen โชคดีที่ได้งานโรงแรมก่อนที่จะมาถึง เพราะในตอนนั้นคิดว่าถ้าหางาน Hospitality ไม่ได้ก็คงต้องไปทำงานฟาร์มเพื่อเก็บวันสำหรับต่อวีซ่าปี 2
หมายเหตุ – ใครที่งงว่าทำไมต้องไปทำฟาร์ม หรือทำงานที่กำหนดเพื่อต่อวีซ่า จะเล่าให้ฟังคร่าวๆ แบบนี้ละกันนะคะ ตัววีซ่า Work and Holiday นี้มีขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ให้นักท่องเที่ยววัยหนุ่มสาวสามารถเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ (ก่อให้เกิดเม็ดเงิน) ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้สามารถทำงาน ทดแทนแรงงานคนที่ขาดแคลนของประเทศได้ เป็น Win-Win Situation ของทั้งสองฝ่าย แต่เพื่อป้องกันการกระจุกตัวเข้ามาอยู่แต่ในเมืองยอดฮิตอย่าง Sydney หรือ Melbourne ทางการก็เลยออกกฎเพิ่มเติมว่าถ้าเราเดินทางไปทำงานที่กำหนด ในพื้นที่ที่กำหนด (ซึ่งก็แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นอาชีพที่ขาดแคลนแรงงานคน ในพื้นที่ที่ไม่ใช่เมนสตรีมเพื่อกระจายคนออกไป) ในช่วงเวลาที่กำหนดให้ ก็สามารถต่อวีซ่าปี 2 และปี 3 ได้ ซึ่งล่าสุดอย่างที่รู้กันว่าออสเตรเลียเพิ่งเผชิญไฟป่าครั้งใหญ่ไป เกิดความเสียหายทั่วทุกภาคส่วนทั้งอาคารบ้านเรือนที่ต้องได้รับการซ่อมแซม สัตว์ป่าที่ต้องได้รับการดูแลเยียวยา จึงมีการออกกฎใหม่ให้งานช่วยเหลือหลังไฟป่าสามารถนำมานับวันยื่นต่อวีซ่าได้ เรียกว่ารัฐบาลเค้าฉลาดนะคะ แฮ่ม
โอเคกลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อ อย่างที่เล่าไปว่า Bowen เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ไม่ค่อยมีที่เที่ยวสำคัญสักเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่จึงใช้เป็นแค่เมืองทางผ่านแวะกินข้าวเที่ยง ยกเว้นช่วงหน้าเทศกาลสำคัญประจำปีอย่าง Super Boat ซึ่งเป็นงานแข่งเรือเร็ว ในเมืองจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวแน่นขนัดโดยเฉพาะริมชายหาด อ่อ อย่าถามนะว่าสนุกมั้ย อิหาดที่ว่านี่ก็คือหาดหน้าโรงแรมที่นุ้งทำงานอยู่นั่นแหละท่านผู้ชม วิ่งเสิร์ฟอาหาร ช่วยจัดจานสลัดหน้าเริ่ด หมดแรงไปดูเรือแล้ว
แต่ถ้าใครอยากแวะเที่ยวเมืองนี้ จริงๆ แล้ว Bowen ก็มีหาดสวยๆ ที่เงียบสงบเหมาะแก่การไปนอนอาบแดดอยู่หลายหาดเลย ไม่ว่าจะเป็น Horseshoe Bay, Grays Bay หรือ Queens Beach น้ำที่นี่ค่อนข้างสงบเหมาะแก่การเล่น SUP (เราหัด SUP ครั้งแรกก็ที่นี่แหละ) มาก ตกเย็นก็สามารถเดินหรือขับรถขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Flagstaff Hill ได้ จะบอกว่าจากบนนี้ดาวสวยมวาก
สำหรับเรา Bowen เป็นเมืองที่มีความทรงจำเยอะมาก เป็นที่ที่ทำให้เรากล้าที่จะออกจากกรอบหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการใช้ภาษาอังกฤษ ด้วยความที่เมืองแทบไม่มีคนไทยเลย เพื่อนร่วมงานก็เป็นต่างชาติล้วน มาหมดทั้งสกอตติช ไอริช แคเนเดียน ไปยันออสซี่สูงวัยที่ชอบงึมงำในลำคอ ทำให้เราได้ภูมิคุ้มกันสำเนียงยากๆ มาจากที่นี่นี่แหละ ที่สำคัญยังเป็นเมืองที่เราไปเจอคนร่วมทางสำหรับทุกการเดินทางครั้งต่อๆ มา วรั้ยย
อันนี้พา ซูส น้องหมาของเพื่อนไปปิกนิก
ส่วนอันนี้ มูมู่ น้องสล็อตที่เลี้ยงไว้นั่นเอง
4.2 Airlie Beach
และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ของสายรักน้ำรักปลารักซากุระกับเมืองเล็กๆ แค่ชั่วโมงกว่าจาก Bowen ที่เราใช้เป็นฐานทัพในการออกทะเลไปชมเจ้าแนวปะการังเลื่องชื่อ Great Barrier Reef นั่นเอง ที่นี่มีทัวร์หลายเจ้าให้เลือกสรร มาเป็นแพ็กเกจคือ Snorkeling ชมปะการัง พร้อมอาหารหนึ่งมื้อ และสแน็คระหว่างวัน ไม่ต้องคิดเยอะ จ่ายไป คุ้ม ส่วนใครที่อยากดำน้ำลึกก็ซื้อแพ็กเกจเพิ่มบนเรือได้เลย
เริ่มแรกเรือจะพาเราไปรับคนเพิ่มจากเกาะ Hamilton ก่อน (ใครอยากลองมาพักผ่อนชิลล์ๆ เกาะนี้ก็ซื้อแพ็กเกจมาได้นะ แต่ได้ข่าวว่าค่าที่พักแพงมวาก) จากนั้นจึงตรงไปยังจุด Outer Reef แล้วทิ้งสมอให้เราอยู่ตรงนั้นจนจุใจ ระหว่างนั้นใครอยากกินข้าวก็กิน ใครอยากอาบแดดก็มีเตียงผ้าใบที่ดาดฟ้าเรือ แต่เราดีดมาก ตรงดิ่งไปใส่ Wetsuit (บอกก่อนเลยว่าน้ำหนาวมากบิกินี่เอาไม่อยู่นาจา) จับจองอุปกรณ์ลงน้ำทันที ส่วนใครที่ไม่อยากลงน้ำ (มีจริงๆ นะแบบอาเจ้ที่แต่งหน้ามาเต็มกลัวเปียก) เค้าก็มีส่วนเรือท้องกระจกให้เดินลงไปดูปลาจากในเรือได้
ด้วยความที่เคยดำน้ำตื้นทะเลใต้ที่ไทยมาบ้าง แต่มากสุดที่เคยเห็นก็ปลาการ์ตูนฝูงสองฝูง เมื่อมาเจอของจริงที่นี่บอกได้คำเดียวเลยว่า แม่เอ๊ย ตายตาหลับแล้ว ภาพของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลที่เราเคยเห็นแค่ใน Nat Geo มาอยู่ตรงหน้า ปลาที่ตัวใหญ่กว่าเราสามเท่าว่ายเฉียดเราไป ฝูงปลาสีเงินนับหมื่นที่พุ่งผ่านเราเหมือนเป็นหินก้อนนึง แนวปะการังที่ใหญ่เว่อร์ ใหญ่จนไม่รู้จะบรรยายยังไง ถึงแม้ว่าปะการังส่วนใหญ่จะกลายเป็นสีขาวที่หมายถึงตายไปแล้ว แต่เรายังคงเห็นถึงความยิ่งใหญ่ เห็นถึงความพยายามที่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งผ่านสีสันเล็กๆ ที่ขึ้นแซมตลอดแนว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่เราคิดไว้มาก อยากบอกว่าถ้าผ่านมาทางนี้เมื่อไรให้เธอเข้ามาทักทายบ้าง เพราะมันดีมากจริงๆ ลงน้ำจนตัวเย็น มือเหี่ยวก็ยังรู้สึกไม่พอ ไม่อิ่ม อยากสำรวจต่อเรื่อยๆ อ้อ แต่ต้องระวังนิดนึงนะ อย่าเข้าไปใกล้จนเกินไป อย่าจับ หรือแลนดิ้งเท้าเราลงบนปะการังเพราะจะทำให้ระบบนิเวศเสียหาย แถมที่นั่นยังมีหอยเม่นอยู่เยอะมาก ลงสุ่มสี่สุ่มห้ามีพรุนแน่จ้า
นอกจากกิจกรรมดำน้ำที่ควรต้องมาโดนแล้วที่ Airlie Beach ก็ยังมีอีกสองกิจกรรมน่าทำ (แต่เราเวลาไม่พอ ไว้กลับไปซ้ำ) ก็คือ Sky Diving กับไปพักผ่อนบนหาดทรายละเอียดที่ Whitsunday Islands แล้วจะกลับมาปาร์ตี้ที่ฝั่งแบบแบ็กแพกเกอร์สไตล์ก็จัดว่าดี
4.3 Townsville
จริงๆ แล้วเมืองนี้เป็นแค่เมืองทางผ่าน แต่เผื่อใครได้ผ่านไป เลยเขียนแนบเป็นข้อมูลไว้หน่อย อันที่จริง Townsville ก็จัดว่าเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีอะไรเหมือน Bowen เหมาะแก่การแวะพักผ่อนรอต่อรถไปเมืองอื่น ไฮไลท์ที่ดูจะดึงดูดผู้คนได้มากที่สุดของที่นี่คือ The Strand ทางเดินเลียบหาดความยาวราว 2 km ที่เหมาะจะมาปิกนิก วิ่งออกกำลังกาย หรือแวะหาอะไรอร่อยๆ ตามร้านอาหารที่เรียงรายตลอดแนวหาด ส่วนใครที่อยากดูปะการังแต่ไม่อยากดำน้ำ ที่นี่ก็มี Reef HQ Aquarium ซึ่งเป็นอควาเรียมของปะการังมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้ชมกัน