วันที่เจ็ด ยอดมาชู กูมาแล้ว
วันนี้เป็นไฮไลต์ของทริปนี้เราจะไปยอดที่สูงที่สุดยอดหนึ่งแถวนั้น ชื่อ Waynapichu สําหรับตั๋วเข้าต้องซื้อแยกต่างหาก จองค่อนข้างยากหมดเร็ว เพราะจํากัดจํานวนคนเข้า เพื่อความปลอดภัยและการรักษาความสะอาด ไม่เหมือนม่อนแจ่มกับดอยอินทนนท์ที่อัดกันเข้าไปจนควบคุมอะไรไม่ได้ อาย Peru ครับ แต่อาจจะเป็นเพราะมี Unesco มาดูแล สำหรับคนอายุเกิน 50 เตรียมตัวหน่อยก็ดีครับ เช่นออกกำลังกายเอาไว้ ให้หัวใจไม่ทำงานหนักจนเกินไป ฝึกหายใจ และฝึกกำลังขา
เราตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งแต่งตัวหลายหลายชั้นเพราะมีทั้งแดดทั้งฝน ทานอาหารเช้าแบบรวดเร็ว เพราะต้องไปต่อคิว ตรงทางเข้าหลักที่ตอนเราไปถึงนักท่องเที่ยวที่พักข้างล่างมาต่อคิวยาวแล้ว จากทางเข้าหลัก เดินแบบเร็วเร็วไปประตูทางเข้า Waynapichu ที่อยู่ไกลพอควร ที่นั่นต้องตรวจตั๋วอีกครั้ง มีจํากัดให้ปีนได้รอบละ 200 คน และต้องขึ้นลงภายใน 30 นาที กดดัน แล้วเรายังตัองเซ็นต์ชื่อแจ้งอายุอีกต่างหาก เลยตอนลงมาแอบดูสมุดนี่อีกครั้งพบว่าใน 200 คน ที่ปีนด้วยกันมีแค่ 6 คนที่แก่กว่าเรา แปลว่าเราสูงอายุแล้วซิ
วันนี้ทั้งโชคดีและโชคไม่ดีโชคดี คือฝนหยุดตกแล้ว โชคไม่ดีคือฟ้าไม่เปิด ทัศนวิสัยไม่ดี เห็นวิวไม่ชัด it is what it is ลุย ว่าแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินปีนป่ายต่อหนทาง ไม่ง่ายนักสําหรับคนอายุเลข 5 แต่เห็นเด็กรุ่นลูกกลุ่มใหญ่ใส่เสื้อ Brigham Young University มันเดินกันฉิว ทางเดินนี่ต้องระวังลื่น นี่ขนาดเราลงทุนไปซื้อ hiking shoes มาใส่แล้วนะ อันนี้ แนะนำ เพราะ hiking shoes มันเกาะถนนดีนัก หนทางสู่ยอด Waynapichu มีทั้งปีนแนวตั้งและนอน หรือคลานลอดถํ้า สุดท้ายก็พิชิต peak จนได้ ปัญหาอยู่ที่ขาลงครับGravity บวกความลื่นทําให้ยากเย็นพอสมควร เพื่อนร่วมทางเราประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย แกหนังเหนียวอยู่แล้ว แผนที่วางมาว่าจะมาทิ้งแกไว้บนมาชูเลยไม่สําเร็จ ไม่เป็นไรคราวหน้าลองใหม่
เราใช้เวลา 3 ช.ม. 8 นาที เกินกําหนดนิดหน่อย ก็กลับลงมาถึงฐาน นับก้าวได้โดย Apple Watch ทั้งหมด 7,317 ก้าว ขาลงมาจากWaynapichu เรากลับมาถ่ายรูปรอบรอบอีกครั้ง ก่อนกลับมาโรงแรมอาบนํ้าเปลี่ยนชุดแล้วเช็คเอาท์ มื้อกลางวันสั่งลามาชู ยังอยู่ในแพคเกจของโรงแรมเหมือนเดิม สั่งได้ไม่อั้น เราเลือกเป็นหมูกรอบกับสลัด จําชื่อไม่ได้จริงจริงใครรู้บอกด้วย
ขากลับมาสถานีรถไฟเราเผื่อเวลาไว้มากหน่อย เพราะพี่ชายบอกว่าสถานีหายากต้องเดินผ่านตลาดก่อน เที่ยวนี้เราจอง Bingham train ไม่ได้เลยนั่งรถ Vistadome แทน ขาออกนี่ยุ่งเหยิงนิดนึงเนื่องจากมีหลายขบวนออกเวลาใกล้กัน ข้อมูลชานชาลาก็เปลี่ยนไปมาจนงง รถออกตรงเวลา Vistadome เป็นรถแบบมองเห็นวิวได้กว้าง หลังคาเป็นโดมกระจกโค้งตามชื่อ มีตัวตลกพื้นเมืองมาentertain ตามด้วยแฟชั่นโชว์ขายเสื้อหนาวที่ทําจาก alpaca สวยงามนะแต่แพง ไม่รู้จะใส่ไปอวดใครเพราะดอยแถวบ้านเค้าไม่ใส่กัน แบบนี้นายแบบนางแบบก็ไม่ใช่ใครอื่น พนักงานบนรถนี่เอง ขากลับนี่ใช้เวลาประมาณ 4 ช.ม.ก็มาถึง Cusco รถ Uber หายากมากเราเลยพึ่ง taxi แทน แพงหน่อยแต่เวลานี้อะไรก็เอา ไหนต้องแวะเอากระเป๋าที่โรงแรมเดิมอีก
คืนนี้เราพักที่โรงแรม Palacio del Inca ห้องพักคืนนี้เป็น Executive Suite มีห้องนอนกับห้องนั่งเล่นรวมทั้ง 2 ห้องนํ้าสวยแบบ Art Deco คืนนี้เพื่อนร่วมเดินทางแกคงบอบชํ้าจากการปีนป่าย แล้วยังล้มอีกแกหลับไปโดยไม่กินมื้อเย็น
วันที่แปด Cusco-Lima
ตื่นแต่เช้าไปกิน breakfast หิวซิ รวบมื้อเย็นไป อาหารเช้าถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับสุดยอดเหมือน Belmond Monasterio เราออกจากโรงแรมโดย Uber ตอน 8 โมง เพื่อไปขึ้นเครื่องไปลิมาตอน 9:40 สนามบินที่นี่เล็กเล็กง่ายง่ายเดินไปตู้แล้วพิมพ์ boarding pass กับ bag tag เอง แล้วเอากระเป๋าไป drop ไว้ เที่ยวบินนี้เป็น A320-200 เครื่องใหม่ดี
เครื่องถึงลิมาช้านิดหน่อย กระเป๋ามารอเรา แล้ว Uber ก็ไวดี น่าจะรอในสนามบินอยู่แล้ว พอออกมานอกสนามบินถึงรู้ตัวว่า กลับมาสู่ความเจริญแล้ว รถติดมาก อากาศไม่ดี คล้ายเชียงใหม่บ้านเราตอนฤดูการเผาบ้านเผาเมืองทุกทุกหน้าร้อน
ใช้เวลาเกือบ 30 นาที กว่าจะฝ่ารถติดออกมา express way ริมทะเล เราจะพักกันที่ JW Marriot ที่อยู่ในย่าน Miraflores ถิ่นที่พักของคนมีอันจะกินของ Peru ที่พ้กที่นี่ก็เนื่องจากทําเลที่อยู่ไม่ใกลจากกลางเมืองนัก และไม่ไกลมากจากจุดมุ่งหมายหลักของเรานั่นคือที่กินนั่นเอง
เรามาลิมาก็เพราะเราจะไปกินร้าน Central หนึ่งในร้านที่ถ้ารักการกินชีวิตนี้ต้องลองนะ แต่ถ้าคุณไม่รักการกินแล้วละก็ แนะนําอย่ามาลิมาครับ เสียเวลา พอดีเราสองคนเห็นแก่กิน แล้ว search ดูแล้วว่า ลิมามี chefs เก่งเก่งอยู่มากมายทั้งที่ติดดาวและไม่ติดดาว
หลังจากเช็ดอินเราออกสํารวจถิ่น Miraflores ทันที โจทย์สําหรับมื้อเที่ยงคือหาอาหารญี่ปุ่นแถวโรงแรมที่ดูดีและอร่อย ทําไมกินอาหารญี่ปุ่นที่ Peru เหรอ อันแรกมีร้านญี่ปุ่นดังติดดาวที่นี่ที่ เราพยายามจองแต่ไม่ได้ เลยทําให้กังขาว่าทําไมร้านญี่ปุ่นดีดีถึงมาอยู่ที่นี่คําตอบก็คือคนญี่ปุ่นอพยพมาอยู่ Peru มาก ถึงขนาดอดีตประธานาธิบดีก็ยังมีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่จุดจบแกไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
ว่าแล้วก็ไปลองร้านญี่ปุ่นชื่อ Toshi Nikkei สั่ง Seafood Soup ที่ผสมผสานอาหาร Peru กับญี่ปุ่น ผ่านอาหารทะเลได้ลงตัว ตามด้วยข้าวกับเป็ดทําให้หายคิดถึงบ้านได้ดีเลย ตบท้ายด้วย Grilled Tuna Belly กับSushi อิ่มอร่อยไปอีกมื้อ
เรา Uber ไปถิ่น Barranco ที่ผู้ชื่นชอบ Graffiti สวยสวยต้องไป แถวนั้นมีร้านอาหารอร่อยกับร้านกาแฟดีมากมาย ต้องลองหน่อย เราเลือกร้าน Tostaduría Bisetti ที่รีวิวดี ร้านก็สวยดีครับ สั่ง Cappuccino มาลองกับขนม Bakery ใช้ได้ครับ แต่ตั้งข้อสังเกตหน่อยว่าที่นี่กินกาแฟกันค่อนข้างอ่อน เราชินกับความแข้มแบบเชียงใหม่บ้านเฮา ยังไงก็ไม่คุ้น
หลังจิบกาแฟเดินทอดน่องไปแถว Barranco ดู Graffiti ก็เพลินดีตึกรามบ้านช่อง มีความเป็น Spanish ค่อนข้างมาก เผลอเผลอนึกว่าเดินอยู่ Barcelona แต่ต้องระวังอึน้องน้องนิดนึงนะ
บ่ายแก่แก่กลับมาเดิน mall ริมทะเล ตรงข้ามโรงแรมชื่อ Larcoma ที่มีร้านเหมือน mall ใหญ่ในอเมริกาทั่วไป ราคาไม่ถูก เราก็เลยเดินอย่างเดียว ที่ตั้งที่นี่นับว่าสวยงามทีเดียวเพราะอยู่ริมมหาสมุทร Pacific เราเลยไปเดินดูพระอาทิตย์ตกน้ำ หลังจากนั้นเดินไปเจองาน craft beer อยู่ตรงกลางเลยรีบส่งเพื่อนร่วมห้องไปนอนพัก แกจะได้ไม่ขัดคอ ลองอยู่ 3-4 เจ้าทั้ง IPA Ale fruit beer dark beer ไม่อร่อยครับต้มเถื่อนกินเองดีกว่าเยอะ
เดินกลับโรงแรม โฉบไปที่บาร์ ที่เริ่มมีชาวอเมริกันมานั่ง Happy Hour กันแล้ว ทีแรกเราไปนั่งคุยกับนักดื่มคนอื่นก่อน ชาวอเมริกันนี่ปกติจะ friendly อยู่แล้ว พอได้รสสัมผัสสุราเข้าไปยิ่งคุยกันเหมือนเพื่อนเก่า สักพัก bar tender ก็มาร่วมวงด้วยใน topic เรื่องของbourbon ปรากฎว่า bar tender เป็นนักสะสม bourbon ตัวยงเราเลยให้แกชง Old Fashioned มา 1 แก้ว ไม่ผิดหวังเลย อร่อยติดอันดับต้นต้นตั้งแต่เคยกินมา อ้อที่อร่อยที่สุดอยู่ที่ Scottsdale, Arizona ฝีมือคุณหมอไทยที่เคารพท่านหนึ่ง
หมด Happy Hour ก็ไปเตรียมตัว dinner เราจองร้าน Rafael ที่จองยากกว่า Central และเรื่องมากกว่า เพราะทางร้านขอเบอร์โทร Peru ยํ้าต้องเบอร์ Peru เท่านั้นเพื่อทางร้านจะโทรมาเฟิม 2 ช.ม.ก่อนถึงเวลาจอง เราไปถึงก่อนเวลา 15 นาที มีคนมาเข้าคิวแล้ว เราสั่งPisco Sour มารองท้องระหว่างรอ Seafood with squid ink risotto กับ Spaghetti with lobster ตามด้วยไวน์อเมริกาใต้และของหวาน ร้านนี้ดีตาม review ที่เห็นมาครับ
หลับสนิท
เที่ยว Peru แแบเห็น แก่ กิน (อยู่สบาย) part 5
วันนี้เป็นไฮไลต์ของทริปนี้เราจะไปยอดที่สูงที่สุดยอดหนึ่งแถวนั้น ชื่อ Waynapichu สําหรับตั๋วเข้าต้องซื้อแยกต่างหาก จองค่อนข้างยากหมดเร็ว เพราะจํากัดจํานวนคนเข้า เพื่อความปลอดภัยและการรักษาความสะอาด ไม่เหมือนม่อนแจ่มกับดอยอินทนนท์ที่อัดกันเข้าไปจนควบคุมอะไรไม่ได้ อาย Peru ครับ แต่อาจจะเป็นเพราะมี Unesco มาดูแล สำหรับคนอายุเกิน 50 เตรียมตัวหน่อยก็ดีครับ เช่นออกกำลังกายเอาไว้ ให้หัวใจไม่ทำงานหนักจนเกินไป ฝึกหายใจ และฝึกกำลังขา
เราตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งแต่งตัวหลายหลายชั้นเพราะมีทั้งแดดทั้งฝน ทานอาหารเช้าแบบรวดเร็ว เพราะต้องไปต่อคิว ตรงทางเข้าหลักที่ตอนเราไปถึงนักท่องเที่ยวที่พักข้างล่างมาต่อคิวยาวแล้ว จากทางเข้าหลัก เดินแบบเร็วเร็วไปประตูทางเข้า Waynapichu ที่อยู่ไกลพอควร ที่นั่นต้องตรวจตั๋วอีกครั้ง มีจํากัดให้ปีนได้รอบละ 200 คน และต้องขึ้นลงภายใน 30 นาที กดดัน แล้วเรายังตัองเซ็นต์ชื่อแจ้งอายุอีกต่างหาก เลยตอนลงมาแอบดูสมุดนี่อีกครั้งพบว่าใน 200 คน ที่ปีนด้วยกันมีแค่ 6 คนที่แก่กว่าเรา แปลว่าเราสูงอายุแล้วซิ
วันนี้ทั้งโชคดีและโชคไม่ดีโชคดี คือฝนหยุดตกแล้ว โชคไม่ดีคือฟ้าไม่เปิด ทัศนวิสัยไม่ดี เห็นวิวไม่ชัด it is what it is ลุย ว่าแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินปีนป่ายต่อหนทาง ไม่ง่ายนักสําหรับคนอายุเลข 5 แต่เห็นเด็กรุ่นลูกกลุ่มใหญ่ใส่เสื้อ Brigham Young University มันเดินกันฉิว ทางเดินนี่ต้องระวังลื่น นี่ขนาดเราลงทุนไปซื้อ hiking shoes มาใส่แล้วนะ อันนี้ แนะนำ เพราะ hiking shoes มันเกาะถนนดีนัก หนทางสู่ยอด Waynapichu มีทั้งปีนแนวตั้งและนอน หรือคลานลอดถํ้า สุดท้ายก็พิชิต peak จนได้ ปัญหาอยู่ที่ขาลงครับGravity บวกความลื่นทําให้ยากเย็นพอสมควร เพื่อนร่วมทางเราประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย แกหนังเหนียวอยู่แล้ว แผนที่วางมาว่าจะมาทิ้งแกไว้บนมาชูเลยไม่สําเร็จ ไม่เป็นไรคราวหน้าลองใหม่
เราใช้เวลา 3 ช.ม. 8 นาที เกินกําหนดนิดหน่อย ก็กลับลงมาถึงฐาน นับก้าวได้โดย Apple Watch ทั้งหมด 7,317 ก้าว ขาลงมาจากWaynapichu เรากลับมาถ่ายรูปรอบรอบอีกครั้ง ก่อนกลับมาโรงแรมอาบนํ้าเปลี่ยนชุดแล้วเช็คเอาท์ มื้อกลางวันสั่งลามาชู ยังอยู่ในแพคเกจของโรงแรมเหมือนเดิม สั่งได้ไม่อั้น เราเลือกเป็นหมูกรอบกับสลัด จําชื่อไม่ได้จริงจริงใครรู้บอกด้วย
ขากลับมาสถานีรถไฟเราเผื่อเวลาไว้มากหน่อย เพราะพี่ชายบอกว่าสถานีหายากต้องเดินผ่านตลาดก่อน เที่ยวนี้เราจอง Bingham train ไม่ได้เลยนั่งรถ Vistadome แทน ขาออกนี่ยุ่งเหยิงนิดนึงเนื่องจากมีหลายขบวนออกเวลาใกล้กัน ข้อมูลชานชาลาก็เปลี่ยนไปมาจนงง รถออกตรงเวลา Vistadome เป็นรถแบบมองเห็นวิวได้กว้าง หลังคาเป็นโดมกระจกโค้งตามชื่อ มีตัวตลกพื้นเมืองมาentertain ตามด้วยแฟชั่นโชว์ขายเสื้อหนาวที่ทําจาก alpaca สวยงามนะแต่แพง ไม่รู้จะใส่ไปอวดใครเพราะดอยแถวบ้านเค้าไม่ใส่กัน แบบนี้นายแบบนางแบบก็ไม่ใช่ใครอื่น พนักงานบนรถนี่เอง ขากลับนี่ใช้เวลาประมาณ 4 ช.ม.ก็มาถึง Cusco รถ Uber หายากมากเราเลยพึ่ง taxi แทน แพงหน่อยแต่เวลานี้อะไรก็เอา ไหนต้องแวะเอากระเป๋าที่โรงแรมเดิมอีก
คืนนี้เราพักที่โรงแรม Palacio del Inca ห้องพักคืนนี้เป็น Executive Suite มีห้องนอนกับห้องนั่งเล่นรวมทั้ง 2 ห้องนํ้าสวยแบบ Art Deco คืนนี้เพื่อนร่วมเดินทางแกคงบอบชํ้าจากการปีนป่าย แล้วยังล้มอีกแกหลับไปโดยไม่กินมื้อเย็น
วันที่แปด Cusco-Lima
ตื่นแต่เช้าไปกิน breakfast หิวซิ รวบมื้อเย็นไป อาหารเช้าถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับสุดยอดเหมือน Belmond Monasterio เราออกจากโรงแรมโดย Uber ตอน 8 โมง เพื่อไปขึ้นเครื่องไปลิมาตอน 9:40 สนามบินที่นี่เล็กเล็กง่ายง่ายเดินไปตู้แล้วพิมพ์ boarding pass กับ bag tag เอง แล้วเอากระเป๋าไป drop ไว้ เที่ยวบินนี้เป็น A320-200 เครื่องใหม่ดี
เครื่องถึงลิมาช้านิดหน่อย กระเป๋ามารอเรา แล้ว Uber ก็ไวดี น่าจะรอในสนามบินอยู่แล้ว พอออกมานอกสนามบินถึงรู้ตัวว่า กลับมาสู่ความเจริญแล้ว รถติดมาก อากาศไม่ดี คล้ายเชียงใหม่บ้านเราตอนฤดูการเผาบ้านเผาเมืองทุกทุกหน้าร้อน
ใช้เวลาเกือบ 30 นาที กว่าจะฝ่ารถติดออกมา express way ริมทะเล เราจะพักกันที่ JW Marriot ที่อยู่ในย่าน Miraflores ถิ่นที่พักของคนมีอันจะกินของ Peru ที่พ้กที่นี่ก็เนื่องจากทําเลที่อยู่ไม่ใกลจากกลางเมืองนัก และไม่ไกลมากจากจุดมุ่งหมายหลักของเรานั่นคือที่กินนั่นเอง
เรามาลิมาก็เพราะเราจะไปกินร้าน Central หนึ่งในร้านที่ถ้ารักการกินชีวิตนี้ต้องลองนะ แต่ถ้าคุณไม่รักการกินแล้วละก็ แนะนําอย่ามาลิมาครับ เสียเวลา พอดีเราสองคนเห็นแก่กิน แล้ว search ดูแล้วว่า ลิมามี chefs เก่งเก่งอยู่มากมายทั้งที่ติดดาวและไม่ติดดาว
หลังจากเช็ดอินเราออกสํารวจถิ่น Miraflores ทันที โจทย์สําหรับมื้อเที่ยงคือหาอาหารญี่ปุ่นแถวโรงแรมที่ดูดีและอร่อย ทําไมกินอาหารญี่ปุ่นที่ Peru เหรอ อันแรกมีร้านญี่ปุ่นดังติดดาวที่นี่ที่ เราพยายามจองแต่ไม่ได้ เลยทําให้กังขาว่าทําไมร้านญี่ปุ่นดีดีถึงมาอยู่ที่นี่คําตอบก็คือคนญี่ปุ่นอพยพมาอยู่ Peru มาก ถึงขนาดอดีตประธานาธิบดีก็ยังมีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่จุดจบแกไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
ว่าแล้วก็ไปลองร้านญี่ปุ่นชื่อ Toshi Nikkei สั่ง Seafood Soup ที่ผสมผสานอาหาร Peru กับญี่ปุ่น ผ่านอาหารทะเลได้ลงตัว ตามด้วยข้าวกับเป็ดทําให้หายคิดถึงบ้านได้ดีเลย ตบท้ายด้วย Grilled Tuna Belly กับSushi อิ่มอร่อยไปอีกมื้อ
เรา Uber ไปถิ่น Barranco ที่ผู้ชื่นชอบ Graffiti สวยสวยต้องไป แถวนั้นมีร้านอาหารอร่อยกับร้านกาแฟดีมากมาย ต้องลองหน่อย เราเลือกร้าน Tostaduría Bisetti ที่รีวิวดี ร้านก็สวยดีครับ สั่ง Cappuccino มาลองกับขนม Bakery ใช้ได้ครับ แต่ตั้งข้อสังเกตหน่อยว่าที่นี่กินกาแฟกันค่อนข้างอ่อน เราชินกับความแข้มแบบเชียงใหม่บ้านเฮา ยังไงก็ไม่คุ้น
หลังจิบกาแฟเดินทอดน่องไปแถว Barranco ดู Graffiti ก็เพลินดีตึกรามบ้านช่อง มีความเป็น Spanish ค่อนข้างมาก เผลอเผลอนึกว่าเดินอยู่ Barcelona แต่ต้องระวังอึน้องน้องนิดนึงนะ
บ่ายแก่แก่กลับมาเดิน mall ริมทะเล ตรงข้ามโรงแรมชื่อ Larcoma ที่มีร้านเหมือน mall ใหญ่ในอเมริกาทั่วไป ราคาไม่ถูก เราก็เลยเดินอย่างเดียว ที่ตั้งที่นี่นับว่าสวยงามทีเดียวเพราะอยู่ริมมหาสมุทร Pacific เราเลยไปเดินดูพระอาทิตย์ตกน้ำ หลังจากนั้นเดินไปเจองาน craft beer อยู่ตรงกลางเลยรีบส่งเพื่อนร่วมห้องไปนอนพัก แกจะได้ไม่ขัดคอ ลองอยู่ 3-4 เจ้าทั้ง IPA Ale fruit beer dark beer ไม่อร่อยครับต้มเถื่อนกินเองดีกว่าเยอะ
เดินกลับโรงแรม โฉบไปที่บาร์ ที่เริ่มมีชาวอเมริกันมานั่ง Happy Hour กันแล้ว ทีแรกเราไปนั่งคุยกับนักดื่มคนอื่นก่อน ชาวอเมริกันนี่ปกติจะ friendly อยู่แล้ว พอได้รสสัมผัสสุราเข้าไปยิ่งคุยกันเหมือนเพื่อนเก่า สักพัก bar tender ก็มาร่วมวงด้วยใน topic เรื่องของbourbon ปรากฎว่า bar tender เป็นนักสะสม bourbon ตัวยงเราเลยให้แกชง Old Fashioned มา 1 แก้ว ไม่ผิดหวังเลย อร่อยติดอันดับต้นต้นตั้งแต่เคยกินมา อ้อที่อร่อยที่สุดอยู่ที่ Scottsdale, Arizona ฝีมือคุณหมอไทยที่เคารพท่านหนึ่ง
หมด Happy Hour ก็ไปเตรียมตัว dinner เราจองร้าน Rafael ที่จองยากกว่า Central และเรื่องมากกว่า เพราะทางร้านขอเบอร์โทร Peru ยํ้าต้องเบอร์ Peru เท่านั้นเพื่อทางร้านจะโทรมาเฟิม 2 ช.ม.ก่อนถึงเวลาจอง เราไปถึงก่อนเวลา 15 นาที มีคนมาเข้าคิวแล้ว เราสั่งPisco Sour มารองท้องระหว่างรอ Seafood with squid ink risotto กับ Spaghetti with lobster ตามด้วยไวน์อเมริกาใต้และของหวาน ร้านนี้ดีตาม review ที่เห็นมาครับ
หลับสนิท