วันแรก กรุงเทพ-ฮ่องกง
อย่างที่เกริ่นไว้ เราเลือกเดินทางโดยเครื่องบินคาเธ่ย์แปซิฟิก จากกรุงเทพไปสนามบินฮ่องกง เครื่องออกแต่เช้า 6 โมง 35 นาทีโดยมีลิมูซีนจากซิตี้แบงค์มารับตั้งแต่ตีสามครึ่ง เพราะเช้าเกินไปสําหรับ driver เรา พอเช็คอินเสร็จ ก็ไปทานอาหารเช้าที่เลานจ์ของคาเธ่ย์แปซิฟิก พวกเรากินติ่มซำกันเพราะว่าไม่กี่วันก็คงหาอาหารจีนกินยากแล้ว ใช้เวลาบินจากกรุงเทพไปฮ่องกงประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาทีพอไปถึงสนามบินก็ตรงไปที่ Lounge ของ คาเธ่ย์แปซิฟิก ชื่อ The Pier อยู่ใกล้กับ gate เบอร์ 65 The Pier ตรงนี้เพิ่งเปิดหลังปิดปรับปรุงไปพักใหญ่ The Pier ใหม่นี้ใหญ่โตหรูหราดี มี Section ของคาวของหวานเดรื่องดื่มแยกกัน แม้กระทั่ง Sectionสําหรับชาก็ยังมี เราได้อาบน้ำอาบท่า นั่งกินอาหารอยู่ในนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง แน่นอนได้กินหมี่เกี๊ยวและติ่มซำของขึ้นชื่อตามด้วยคราฟท์เบียร์และแชมเปญอีกนิดหน่อย
ไฟลท์ไปแอลเอออกตรงเวลา โดยใช้เครื่องบินคาเธ่ย์แบบ 777 ซึ่งที่นั่งในบิสเนสคลาสเป็นที่นั่งแบบ 1-2-1 ต่างจากเครื่องที่เรานั่งมาจากกรุงเทพ ซึ่งเป็นที่นั่งแบบคู่ เราเลือกที่นั่งแบบคู่ตรงกลางซึ่งได้พักผ่อนหลับนอนอย่างเต็มที่ บริการบนเครื่องดีเหมือนเคย อิ่มท้องนอนหลับเพราะเอาชุดนอนไปเปลี่ยน เค้าไม่มีชุดนอนกับรองเท้าแตะแจกนะครับ เหลือไม่กี่ airlines แล้วที่ยังแจกชุดนอนในบิสเนสคลาสอยู่ เราชอบชุดนอน Qatar นิ่มมากเลยเอามาใส่บนเครื่องคาเธย์ คงไม่ว่ากันนะ
วันที่สอง Los Angeles
ใช้เวลาบินประมาณ 12 ชั่วโมงก็มาถึงแอลเอ รู้สึกเร็วกว่าที่คิดไว้ คนเยอะ สนามบินค่อนข้างวุ่นวายตอนขาเข้า เราต้องไปเข้าคิว ตมอยู่เกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะหลุดออกมาได้ ดีใจมากที่ไม่เลือกบินตรงต่อไป Lima เลยเพราะว่าคงจะตกเครื่องบินกันแน่นอน
เรียก Uber มารับจากสนามบินแอลเอ แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองใช้ เวลาประมาณ 45 นาทีเนื่องจากรถค่อนข้างติด แอลเอเป็นเหมือนที่เคยมาเมื่อหลายปีที่แล้วตอนทํางาน ที่เราที่ต้องบินมาหาลูกค้าแค่หนึ่งราย วุ่นวายรถติดมาก โรงแรมเราอยู่แถวแถวฮอลลีวูดคืนนี้เลือกนอน Hampton Inn เพราะเป็น chain ที่มาตรฐานคงเส้นคงวา นานนานจะโชคร้ายเจอ Hampton Inn ตํ่ากว่ามาตรฐาน ราคาก็ใช้ได้สำหรับเมืองใหญ่ขนาดนี้
เช็คอินเสร็จแล้วก็อาบน้ำ แล้วนอนงีบนิดนึง เนื่องจากค่อนข้างผิดเวลาตื่นขึ้นมาก็เย็นพอดี เราต้องแวะไปส่งเจ้าเครื่อง Amazon Kindle เครื่องเก่าอายุเกือบ 10 ปี ด้วยเราไปเทิร์นเครื่องใหม่ที่ส่งมาถึงแล้ว แต่ต้องส่งเครื่องเก่ากลับไปด้วย Kindle นี่เหมาะกับการเดินทางอย่างยิ่ง โหลดหนังสือไปได้เพียบ แถมปรับตัวหนังสือให้ใหญ่ได้อีก ขอแนะนํา
คืนนี้เรามี Request จากเพื่อนร่วมทางว่าจะกินสเต็ก เลยทําการบ้านหาร้าน Review ดีดีจาก Open Table, Yelp และ TripAdivisor มีให้เลือกเยอะแยะ แต่ต้องเลือกซัก 1 ร้าน สรุปจองร้านอาหารชื่อ Carlitos Gardel Argentine SteakHouse แถว Melrose เพราะอยู่ใกล้กับโรงแรมที่เราพัก สั่งริบอายมาแบ่งกัน หนึ่งชิ้นสองคน ชิ้นค่อนข้างใหญ่ มื้อนี้สั่งเฉพาะเนื้อ ใช้ได้แต่ไม่ถึงกับติดดาวให้ หมดไปประมาณ 200 เหรียญ
จากนั้นไปเดินย่อยที่ Farmers’ Market และ The Grove จนกระทั่งร้านเขาปิดไม่มีที่ไหนเดินต่อ เลยเรียก Uber มารับกลับไปส่งโรงแรม เราใช้ Uber เกือบตลอด ติดใจความสะอาดกับบริการ เลี่ยง taxi ที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แถมสกปรกอีกต่างหาก
วันที่สาม Los Angeles-Lima-Cusco
ตอนเช้า เราตั้งใจตื่นค่อนข้างสาย ขอบคุณครับ พักให้เต็มที่เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสําหรับ Peru
ตอนกลางวันมีโพยกินร้านชื่อ Petite Trois เป็นร้านอาหาร French Bistro โดยที่ walk in only เลยต้องรอเกือบ 2 ชมแต่ก็ไม่ผิดหวังเริ่มด้วย French Onion Soup และหอยเอสคาร์โก มากินเล่น จานหลักเราสั่งแฮมชีสแซนด์วิช ทําของเบสิกได้อร่อยและดูดีมาก หลังอาหารไปเดินเล่นแถวHollywood นําทางโดยนักเรียนเก่าจากแอลเอ ซึ่งจําอะไรไม่ได้เลย แต่ไม่เป็นไร ให้อภัยได้
เย็น เย็น ก็เรียกUberไปส่งที่สนามบิน LAX อีกทีนึง รถก็ยังค่อนข้างติด จนกระทั่งต้องใช้เส้นทางลัดเพื่อที่ไปสนามบิน แต่ไม่เป็นไรเราเผื่อเวลาไว้แล้ว ขาออกจากแอลเอนี้ สนามบินไม่แย่มากนัก เราก็เลยมีเวลาไปใช้ที่บริการที่ Lounge เกือบลืม เราบินเลือกบินLatham เพราะพี่ชายแนะว่า Business Class ดี ใช้ได้ และเป็นส่วนหนึ่งของ One World Alliance Lounge ของ One World ที่นี่ใหญ่มาก มีดินเนอร์ให้กินแบบเต็มที่ ประทับใจบาร์ craft beer และไวน์ดีมาก bourbon ดีดีก็มีเยอะ Life is about Happy Hour
เครื่อง Latham ดีกว่าที่คิดไว้ค่อนข้างเยอะ เป็นเครื่องใหม่มาก ดูสวยเลยทีเดียว ดูดีกว่าคาเธย์อีก ขอบอก เราใช้เวลาบินจากแอลเอประมาณ 8 ชั่วโมงก็ถึงลิมาในตอนเช้าอีกวัน
เที่ยว Peru แแบเห็น แก่ กิน (อยู่สบาย) part 2
อย่างที่เกริ่นไว้ เราเลือกเดินทางโดยเครื่องบินคาเธ่ย์แปซิฟิก จากกรุงเทพไปสนามบินฮ่องกง เครื่องออกแต่เช้า 6 โมง 35 นาทีโดยมีลิมูซีนจากซิตี้แบงค์มารับตั้งแต่ตีสามครึ่ง เพราะเช้าเกินไปสําหรับ driver เรา พอเช็คอินเสร็จ ก็ไปทานอาหารเช้าที่เลานจ์ของคาเธ่ย์แปซิฟิก พวกเรากินติ่มซำกันเพราะว่าไม่กี่วันก็คงหาอาหารจีนกินยากแล้ว ใช้เวลาบินจากกรุงเทพไปฮ่องกงประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาทีพอไปถึงสนามบินก็ตรงไปที่ Lounge ของ คาเธ่ย์แปซิฟิก ชื่อ The Pier อยู่ใกล้กับ gate เบอร์ 65 The Pier ตรงนี้เพิ่งเปิดหลังปิดปรับปรุงไปพักใหญ่ The Pier ใหม่นี้ใหญ่โตหรูหราดี มี Section ของคาวของหวานเดรื่องดื่มแยกกัน แม้กระทั่ง Sectionสําหรับชาก็ยังมี เราได้อาบน้ำอาบท่า นั่งกินอาหารอยู่ในนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง แน่นอนได้กินหมี่เกี๊ยวและติ่มซำของขึ้นชื่อตามด้วยคราฟท์เบียร์และแชมเปญอีกนิดหน่อย
ไฟลท์ไปแอลเอออกตรงเวลา โดยใช้เครื่องบินคาเธ่ย์แบบ 777 ซึ่งที่นั่งในบิสเนสคลาสเป็นที่นั่งแบบ 1-2-1 ต่างจากเครื่องที่เรานั่งมาจากกรุงเทพ ซึ่งเป็นที่นั่งแบบคู่ เราเลือกที่นั่งแบบคู่ตรงกลางซึ่งได้พักผ่อนหลับนอนอย่างเต็มที่ บริการบนเครื่องดีเหมือนเคย อิ่มท้องนอนหลับเพราะเอาชุดนอนไปเปลี่ยน เค้าไม่มีชุดนอนกับรองเท้าแตะแจกนะครับ เหลือไม่กี่ airlines แล้วที่ยังแจกชุดนอนในบิสเนสคลาสอยู่ เราชอบชุดนอน Qatar นิ่มมากเลยเอามาใส่บนเครื่องคาเธย์ คงไม่ว่ากันนะ
วันที่สอง Los Angeles
ใช้เวลาบินประมาณ 12 ชั่วโมงก็มาถึงแอลเอ รู้สึกเร็วกว่าที่คิดไว้ คนเยอะ สนามบินค่อนข้างวุ่นวายตอนขาเข้า เราต้องไปเข้าคิว ตมอยู่เกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะหลุดออกมาได้ ดีใจมากที่ไม่เลือกบินตรงต่อไป Lima เลยเพราะว่าคงจะตกเครื่องบินกันแน่นอน
เรียก Uber มารับจากสนามบินแอลเอ แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองใช้ เวลาประมาณ 45 นาทีเนื่องจากรถค่อนข้างติด แอลเอเป็นเหมือนที่เคยมาเมื่อหลายปีที่แล้วตอนทํางาน ที่เราที่ต้องบินมาหาลูกค้าแค่หนึ่งราย วุ่นวายรถติดมาก โรงแรมเราอยู่แถวแถวฮอลลีวูดคืนนี้เลือกนอน Hampton Inn เพราะเป็น chain ที่มาตรฐานคงเส้นคงวา นานนานจะโชคร้ายเจอ Hampton Inn ตํ่ากว่ามาตรฐาน ราคาก็ใช้ได้สำหรับเมืองใหญ่ขนาดนี้
เช็คอินเสร็จแล้วก็อาบน้ำ แล้วนอนงีบนิดนึง เนื่องจากค่อนข้างผิดเวลาตื่นขึ้นมาก็เย็นพอดี เราต้องแวะไปส่งเจ้าเครื่อง Amazon Kindle เครื่องเก่าอายุเกือบ 10 ปี ด้วยเราไปเทิร์นเครื่องใหม่ที่ส่งมาถึงแล้ว แต่ต้องส่งเครื่องเก่ากลับไปด้วย Kindle นี่เหมาะกับการเดินทางอย่างยิ่ง โหลดหนังสือไปได้เพียบ แถมปรับตัวหนังสือให้ใหญ่ได้อีก ขอแนะนํา
คืนนี้เรามี Request จากเพื่อนร่วมทางว่าจะกินสเต็ก เลยทําการบ้านหาร้าน Review ดีดีจาก Open Table, Yelp และ TripAdivisor มีให้เลือกเยอะแยะ แต่ต้องเลือกซัก 1 ร้าน สรุปจองร้านอาหารชื่อ Carlitos Gardel Argentine SteakHouse แถว Melrose เพราะอยู่ใกล้กับโรงแรมที่เราพัก สั่งริบอายมาแบ่งกัน หนึ่งชิ้นสองคน ชิ้นค่อนข้างใหญ่ มื้อนี้สั่งเฉพาะเนื้อ ใช้ได้แต่ไม่ถึงกับติดดาวให้ หมดไปประมาณ 200 เหรียญ
จากนั้นไปเดินย่อยที่ Farmers’ Market และ The Grove จนกระทั่งร้านเขาปิดไม่มีที่ไหนเดินต่อ เลยเรียก Uber มารับกลับไปส่งโรงแรม เราใช้ Uber เกือบตลอด ติดใจความสะอาดกับบริการ เลี่ยง taxi ที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แถมสกปรกอีกต่างหาก
วันที่สาม Los Angeles-Lima-Cusco
ตอนเช้า เราตั้งใจตื่นค่อนข้างสาย ขอบคุณครับ พักให้เต็มที่เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสําหรับ Peru
ตอนกลางวันมีโพยกินร้านชื่อ Petite Trois เป็นร้านอาหาร French Bistro โดยที่ walk in only เลยต้องรอเกือบ 2 ชมแต่ก็ไม่ผิดหวังเริ่มด้วย French Onion Soup และหอยเอสคาร์โก มากินเล่น จานหลักเราสั่งแฮมชีสแซนด์วิช ทําของเบสิกได้อร่อยและดูดีมาก หลังอาหารไปเดินเล่นแถวHollywood นําทางโดยนักเรียนเก่าจากแอลเอ ซึ่งจําอะไรไม่ได้เลย แต่ไม่เป็นไร ให้อภัยได้
เย็น เย็น ก็เรียกUberไปส่งที่สนามบิน LAX อีกทีนึง รถก็ยังค่อนข้างติด จนกระทั่งต้องใช้เส้นทางลัดเพื่อที่ไปสนามบิน แต่ไม่เป็นไรเราเผื่อเวลาไว้แล้ว ขาออกจากแอลเอนี้ สนามบินไม่แย่มากนัก เราก็เลยมีเวลาไปใช้ที่บริการที่ Lounge เกือบลืม เราบินเลือกบินLatham เพราะพี่ชายแนะว่า Business Class ดี ใช้ได้ และเป็นส่วนหนึ่งของ One World Alliance Lounge ของ One World ที่นี่ใหญ่มาก มีดินเนอร์ให้กินแบบเต็มที่ ประทับใจบาร์ craft beer และไวน์ดีมาก bourbon ดีดีก็มีเยอะ Life is about Happy Hour
เครื่อง Latham ดีกว่าที่คิดไว้ค่อนข้างเยอะ เป็นเครื่องใหม่มาก ดูสวยเลยทีเดียว ดูดีกว่าคาเธย์อีก ขอบอก เราใช้เวลาบินจากแอลเอประมาณ 8 ชั่วโมงก็ถึงลิมาในตอนเช้าอีกวัน