แชร์ประสบการณ์การคลอดลูกแบบธรรมชาติ

กระทู้คำถาม
สวัสดีค่ะ ไม่เคยเขียนกระทู้มาก่อนเลย ที่ตั้งเป็นกระทู้คำถามเพราะว่ายังไม่ได้ยืนยันตัวตนกับพันทิปค่ะ เขียนงงไปบ้างต้องขออภัยนะคะ ยาวหน่อยน๊า
 
จุดประสงค์ในการมาแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้ก็เพราะอยากจะให้คุณแม่ๆทั้งหลายที่อยากจะคลอดธรรมชาติแต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆได้มีความมั่นใจในการคลอดธรรมชาติมากขึ้นค่ะ
 
เราตั้งท้องครั้งแรกตอนอายุ 27 ปี แฟนเราเป็นคนต่างชาติ พอเรารู้ว่าท้องเราจึงตัดสินใจย้ายกลับมาที่เมืองไทยเพื่อมาเรียนให้จบ กว่าเราจะเรียนจบท้องก็ใหญ่มากแล้วค่ะ จำได้ว่าตอนไปขอใบแพทย์เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับไปหาแฟนคือหมิ่นเหม่มาก เกือบจะไม่ได้ขึ้นเครื่องบิน 
 
เราฝากท้องที่เมืองไทยตั้งแต่อายุครรภ์ได้ 7 สัปดาห์ หมอบอกว่าลูกเราตัวใหญ่กว่าเด็กไทยทั่วไป ตอนนั้นทั้งกลัวและเป็นกังวลมาก อยากจะคลอดที่เมืองไทยเพราะอยากจะผ่าคลอด แต่พอคุยกับแฟนก็ได้ข้อสรุปว่าการคลอดที่เมืองนอกมีข้อดีหลายอย่าง ทั้งไม่ต้องยุ่งยากเรื่องเอกสาร ทั้งไม่ต้องจ่ายค่าคลอดและอะไรหลายๆอย่าง สรุปคือก็กลับไปคลอดที่เมืองนอก แต่การที่เรามาอยู่เมืองไทยนานทำให้เราพลาดคลาสเตรียมคลอด เราจึงอุ้มท้องรอวันคลอดแบบไม่มีความรู้อะไรเลยนอกจากความรู้ที่ได้มากจากแม่ที่เมืองไทย (ซึ่งแทบจะไม่มีประโยชน์อันใด)
 
พอท้องได้ประมาณ 8 เดือน พยาบาลก็จะเริ่มให้เราวางแผนว่าเราอยากจะคลอดแบบไหน บนบกหรือในน้ำ  คลอดที่บ้านหรือที่โรงพยาบาล (คลอดที่บ้านได้ด้วย?) อยากจะให้มีเครื่องเล่นเพลงในห้องมั้ย อยากจะฟังเพลงระหว่างคลอดมั้ย (อโรม่าสุดๆ) ถ้าปวดมากๆอยากใด้ตัวช่วยมั้ย มีดมก๊าซ (อารมณ์ประมาณก๊าซที่เค้าให้ดมเวลาไปถอนฟัน) ฝังเข็ม และฉีดยาแก้ปวดเข้ากระดูกสันหลัง สรุปเราก็เลือกฉีดยาเข้ากระดูกสันหลังเพราะน่าจะได้ผลสุด ทีแรกเราว่าจะคลอดในน้ำแต่คิดไปคิดมากว่าจะคลอดทั้งเลือดทั้งอะไรคงผสมวนเวียนอยู่ในน้ำ เลยตัดสินใจคลอดบนบกดีกว่า 
 
พอเข้าสัปดาห์ที่ 34 ท้องเราเริ่มลงและท้องใหญ่มว๊ากกกกก ก.ไก่ล้านตัว มือเท้าเราไม่บวมและไม่มีอาการเจ็บเตือนแต่อย่างใด ตอนท้องเราเดินบ่อยมากและเดินไกลด้วย หมอที่นี่จะแนะนำให้แม่ๆเดินเยอะเพื่อออกกำลังกายและให้อุ้งเชิงกรานได้ขยาย อยากจะบอกว่ามีผลมากๆเพราะว่าถ้าแม่ไม่ออกกำลังกายตอนท้อง เวลาเบ่งคลอดจะหมดแรงเอาได้ง่ายๆค่ะ เพราะฉนั้นแม่ๆคนไหนที่วางแผนว่าฉันจะคลอดลูกเอง แนะนำให้ออกกำลังกายหรือเล่นโยคะคนท้องนะคะเชิงกรานจะได้แข็งแรง
 
และแล้วก็มาถึงวันที่เรารอคอย 39 สัปดาห์กับอีก 2 วัน จำได้ว่าเริ่มเจ็บท้องตั้งแต่คืนวันพฤหัส เจ็บแบบเหมือนกำลังจะเป็นประจำเดือน พอเช้าวันศุกร์ก็เริ่มมีเมือกขาวๆไม่เหนียวมากไหลซึมๆออกมา แต่ก็ยังปวดท้องไม่มาก ยังชิลอยู่แต่เริ่มปวดแบบเป็นจังหวะ (ถ้าใครปวดท้องแต่ไม่รู้ว่าปวดจริงหรือปวดหลอก ให้เอานาฬิกามาจับเวลานะคะ ถ้าปวดแบบเป็นจังหวะ เช่น ปวด 1 นาทีแล้วหายไป 20 วินาทีแล้วปวดใหม่แบบเดิม นั่นคือการปวดท้องจะคลอดค่ะ) สามีโทรหาหมอ หมอบอกว่ายังไม่ต้องมา เราก็ชิลไปจนตอนบ่ายสองโมงเริ่มปวดหนักขึ้นเลยไปโรงพยาบาล หมอมาตรวจแล้วบอกมดลูกยังไม่เปิด ยูไปเดินรอบโรงพยาบาลก่อนพร้อมใส่แพมเพิสให้ เดินเป้าตุงวนสามรอบแล้วก็ยังไม่เปิดหมอเลยบอกให้กลับบ้าน ตอนนั้นคิดในใจว่ามันก็ได้ปวดอะไรหนักหนามะ สงสัยอภิชาติบุตรมาเกิด (หารู้ไม่ว่าของจริงมันยังไม่มา) หอบท้องกลับบ้านจนเวลาประมาณสองทุ่มเราเริ่มปวดหนักขึ้นมากแบบกินข้าวไม่ลงแล้วก็เลยไปนอนจนมาตื่นอีกทีตอนห้าทุ่มคือปวดหนักมาก ปวดจนนอนหลับๆตื่นๆ หันไปหาสามีก็นอนกรนอ้าปากหวออยู่ เราก็ทนจนตีสอง คุณเอ๊ย เชื่อมั้ยว่าน้ำคล่ำเราแตกดังโพละ คือเสียงเหมือนลูกโป่งใส่น้ำแล้วมีคนโยนให้แตก เราดีดตัวขึ้นเลย ดีนะมีแพมเพิสเมื่อตอนบ่ายช่วยชีวิตไว้ เรารีบปลุกสามี สามีโทรหาหมอ หมอบอกว่าหกโมงเช้าค่อยมา ป๊าดดดดดดด นี่ถ้าเป็นหมอที่เมืองไทยคงไปดังอยู่ในเน็ตแล้ว พอน้ำคล่ำแตกจากความเจ็บปวดระดับ 3.5 ก็พุ่งขึ้นมาถึงระดับ 8 เราเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วสังเกตุว่าน้ำคล่ำมันเป็นสีออกเขียวๆ สามีโทรไปหาหมออีกหมอเลยบอกว่างั้นรีบมาโรงพยาบาลเลย ตรงนี้สำคัญนะคะแม่ๆต้องสังเกตุสีของน้ำคร่ำด้วย ถ้าสีไม่ใสออกเขียวๆเทาๆนี่ต้องรีบไปหาหมอเลยค่ะ
 
พอเข้าห้องเตรียมคลอด เราก็เตรียมใจว่าจะต้องโดนโกนน้องหมออ้อยตามคำบอกเล่าของแม่ซึ่งมันก็รกเหลือเกินเพราะตั้งแต่ท้องโตก็ไม่ได้ซอยออกเลยเพราะมองไม่เห็น แต่ผิดคาดเพราะที่นี่ไม่มีการโกนหมออ้อยค่ะและไม่สวนตุ๊ดด้วย หมอเอามือล้วงเข้ามาเพื่อติดเครื่องวัดอะไรสักอย่างบนหัวเด็กแต่คงจะไปโดนถุงน้ำคร่ำทำให้น้ำคร่ำทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก ในขณะที่หมอและพยาบาลพยายามหาอะไรมารองน้ำคร่ำไม่ให้เลอะเปรอะเปื้อน สามีของเราหน้าซีดและเกือบจะเป็นลมบนเก้าอี้ค่ะ พอช่วงตีห้าเราเริ่มปอดหนักมาก ปวดแบบพูดไม่ออก เราบอกหมอว่าฉีดยาเข้าสันหลังให้เราได้มั้ย หมอยอกว่า โนวๆ ยูต้องรอให้ปากมดลูกเปิดถึง 4-5เซ็นก่อนถึงจะทำได้ โอ้มายก๊อด ปวดมาตั้งแต่เช้าจนตีห้า ปากมดลูกยังเปิดไม่ถึงห้าเซ้นต์ เราบอกหมอว่ากรุณาผ่าท้องอิฉันเถิดเจ้าค่ะแล้วเอาไอตัวที่อยู่ข้างในออกมา อิฉันไม่ไหวแล้ว หมอบอก โนวๆ ที่นี่จะมาเลือกผ่าคลอดไม่ได้ถ้าไม่มีอาการบ่งชี้ ในขณะที่ปวดท้องเจียนตายก็ได้ยินเสียงห้องข้างเบ่งคลอดลูก แล้วฝรั่งคือร้องดังมาก ดังมากจริงๆ เราก็ยิ่งกลัวเข้าไปอีก 
 
ในที่สุดปาดมดลูกก็เปิดถึงห้าเซ็น พยาบาลบอกจะไปตามหมอฉีดยามาให้ อารมณ์ตอนนั้นคือทำไม๊มันไปตามนานจัง ไปตามถึงขอนแก่นหรือไง พอหมอฉีดยามาเค้าก็มาพูดๆๆแล้วบอกให้นั่งยังไง แต่ตอนนั้นเราฟังหมอไม่รู้เรื่องเลย คิดแต่ว่ารีบๆฉีดเหอะ หมอจับเรานั่งห้อยขาแล้วให้ห้มเยอะๆ หลังจากนั้นก้เอาเข็มแทงเข้าไปในกระดูกสันหลังแล้วต่อเข้ากับเครื่องปล่อยยา จะบอกว่าไม่รู้สึกเจ็บเลยเพราะเจ็บท้องมากกว่า ความเจ็บปวดระดับสิบก็ลดเหลือมาอยู่ในระดับแปด จนเจ็ดโมงเช้าลูกก็ยังไม่คลอด หมอเริ่มให้เราเดิน จากปวดตรงท้องมันเริ่มปวดหน่วงลงมาตรงอะโบ๊ะจะมะของเรา แล้วเราจะมีความรู้สึกอยากเบ่งมากกกกก แต่ถ้าหมอไม่บอกให้เบ่ง ห้ามเบ่งนะคะ ห้ามเด็ดขาด เบ่งนิดๆพอให้หายเจ็บได้แต่อย่าเบ่งแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนเราค่ะ พอช่วงสิบเอ็ดโมงครึ่ง หมอบอกว่ามันนานเกินไปแล้ว หมอคงต้องให้ยาเร่งคลอดพร้อมทั้งถอดเข็มยาแก้ปวดเราออกค่ะ สิบนาทีเท่านั้น ความเจ็บแบบระดับร้อยประดังเข้ามาพร้อมกับความอยากเบ่ง ตอนนั้นสติหลุดแล้วค่ะ หมอบอกให้ทำอะไรคือไม่ทำค่ะ รู้แต่ว่าจะเบ่งอย่างเดียว สามียืนอยู่ข้างๆบอกให้เราหายใจถี่ๆ เราด่าสามีค่ะแถมบอกให้ฮีมาเบ่งคลอดเองด้วย สักพักเห็นพยาบาลเอาเครื่องไม้เครื่องมือ มีดอะไรแบบนี้มาวางไว้ เราก็คิดในใจว่าคงจะกรีดอย่างที่แม่บอกมา แต่เปล่าเลย เอามาตั้งไว้เฉยๆ เราเห็นท่าว่าหมอไม่กรีดแน่เราเลยเบ่งสุดฤทธิ์จนสุดท้ายเจ้าตัวป่วนก็คลอดค่ะ ออกมาเกือบสี่กิโล ผลของการไม่ฟังหมอคือแหกค่ะ (จริงๆเราว่าการกรีดแบบที่เมืองไทยนี่ดีนะคะเพราะแม่จะไม่เจ็บมากตอนหัวลูกกำลังจะโผล่) แต่พอลูกพ้นท้องคือหายปวดเลยค่ะ หายแบบสนิทเลย มหัศจรรย์มาก อะโบ๊ะจะมะก็ไม่เจ็บ คลอดวันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ให้กลับบ้านเลยค่ะ ผ่านไปสามสี่วันเดินได้ปร๋อเลยค่ะเพราะแผลฝีเย็บจากการคลอดธรรมชาติจะหายเร็วค่ะ ส่วนใหญ่บ้านเราแม่จะทนเจ็บท้องไม่ค่อยได้สุดท้ายก็ตัดสินใจผ่าซึ่งน่าเสียดายมากค่ะ
 
พอท้องสอง เราอายุได้ 35 ปี เนื่องจากมีประสบการณ์ไม่ดีมาจากรอบแรก รอบนี้เราเลยเตรียมตัวมาดีค่ะ เข้าคลาสเตรียมคลอด รอบนี้เราเลือกที่จะดมก๊าซค่ะ (ซึ่งไม่ช่วยเลย เจ็บอยู่ดี) และการคลอดผ่านไปได้เร็วและไม่แหกค่ะเพราะตั้งใจฟังและทำตามหมอบอกค่ะ คนที่สองออกมาน้ำหนัก 3500 กรัมค่ะ ข้างล่างเป็นทริคเล็กๆน้อยๆสำหรับคุณแม่ที่ตั้งใจจะคลอดธรมชาตินะคะ:
- ระหว่างตั้งท้องให้ออกกำลังกายค่ะ เดิน ว่ายน้ำ โยคะคนท้องวันลละ30 นาที นอกจากจะช่วยให้แม่แข็งแรง อึดแล้ว ยังช่วยให้น้ำหนักแม่ไม่พุ่งด้วยค่ะ
- เมื่อปวดท้องหนักๆ ให้หายใจลึกๆช้าๆค่ะ หายใจเข้าทางจมูกให้สุดแล้วหายใจออกทางปากช้าๆค่ะ คุณหมอจะแนะนำให้เราฝึกหายใจตั้งแต่ยังไม่ใกล้คลอดเลยค่ะ เพื่อที่เวลาคลอดเราจะได้คุ้นชินค่ะ
- ถ้าหมอยังไม่บอกให้เบ่ง อย่าเบ่งค่ะ เพราะอะโบ๊ะจะมะจะแหกเอาได้และจะทำให้การคลอดยาวนานขึ้นไปอีกค่ะ
- แม่ๆอาจจะเคยเห็นในหนังเวลานางเอกเบ่งคลอดลูกจะกรี๊ดเหมือนมีคนมาบิดหัวนม แต่จริงๆแล้วเวลาเบ่งไม่แนะนำให้กรี๊ดนะคะ ให้ปิดปากแล้วเบ่งสุดแรงเกิดเหมือนเวลาเราเบ่งท้องผูกค่ะ เบ่งให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ซึ่งตรงนี้แม่ที่ออกกำลังกายจะอึด ถึก ทน และเบ่งได้ยาวกว่าแม่ที่ไม่ออกกำลังกายค่ะ)
- เมื่อหัวเด็กเริ่มออกมา ให้เราหายใจทางปากสั้นและถี่ค่ะ เหมือนเป่าเค้ก จะทำให้ความเจ็บปวดลดน้อยลงค่ะ
- ขนาดของลูกไม่เป็นอุปสรรคในการคลอดธรรมชาติค่ะ 
- การคลอดธรรมชาติอาจจะผ่านไปช้ากว่าการผ่าคลอด แต่ถ้าคำนึงถึงประโยชน์ที่ลูกจะได้รับและการพักฟื้น เราว่าการคลอดธรรมชาตินี่ชนะเลิศนะคะ แผลผ่าตัดจะหายช้ากว่าและทำให้มดลูกเป็นแผล ในขณะที่คลอดธรรมชาติสามสี่วันก็เดินปร๋อแล้วค่ะ 
- และสุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความอดทนและสติค่ะ เชื่อฟังและทำตามคุณหมอบอกค่ะ 
 
เป็นกำลังใจให้คูรแม่ที่กำลังจะคลอดทุกคนนะคะไม่ว่าจะเลือกคลอดเองหรือผ่าคลอด สู้ๆค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่