" สุสาน " ต่างๆที่น่าสนใจ

วาดี อัล-ซาลาม สุสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก


“วาดี อัล-ซาลาม” (Wadi al-Salam) ชื่อของสุสานแห่งหนึ่งในเมืองนาจาฟ (Najaf) ประเทศอิรัก ที่ปัจจุบันกลายเป็นสุสานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเพราะอยู่ในพื้นที่สู้รบ
นาจาฟ ซึ่งเป็นเมืองศักดิ์สิทธิของชาวมุสลิมชีอะห์และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในอิรัก ได้กลายเป็นสมรภูมิที่มีการรบชนิดนองเลือดหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยสหรัฐฯ ยกพลยึดครองอิรัก แม้เมื่ออเมริกายุติปฏิบัติการทางทหารไปแล้ว แต่เมืองแห่งนี้ก็ยังต้องเป็นสมรภูมิรบกับกลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม หรือ IS อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
พื้นที่กว่า 3,790 ไร่ของ “วาดี อัล-ซาลาม”เป็นที่ฝังศพชาวมุสลิมชีอะห์มานานกว่า 1,400 ปี ปัจจุบันมีศพถูกฝังอยู่ที่นี่กว่า 5 ล้านศพ ซึ่งการสู้รบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้น จนสุสานเริ่มล้น และขาดแคลนพื้นที่ฝังศพแล้ว
source : spokedark.tv
Cr.https://variety.thaiza.com/horror/343644/

" สุสาน แฮร์รี พ็อตเตอร์" 


สุสานของ พลทหาร แฮร์รี พ็อตเตอร์ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอิสราเอล และเสียชีวิตขณะเกิดจลาจล เมื่อปี 1939 ในเมืองราเมียถูกปล่อยทิ้งร้างนานกว่า 50 ปี ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว จากหนังสือชื่อดังของ เจ เค โรว์ลิง และภาพยนตร์ แฮร์รี พ็อตเตอร์ โดย เคน พ็อตเตอร์ วัย 77 ปี เปิดเผยว่า พ็อตเตอร์ เกิดที่เมืองคิดเดอร์มินสเตอร์ มณฑลวูสเตอร์เชอร์ ของอังกฤษ และแม้ว่าจะรับราชการอย่างแข็งขันในกองทัพ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีเวทมนตร์คาถาเหมือน “แฮร์รี พ็อตเตอร์” ในนิยายแต่อย่างใด
      
 “แฮร์รียังอยู่ในความทรงจำของพวกเราเสมอ ผมเคยเห็นผ่านตาในจอโทรทัศน์ แต่ไม่เคยไปดูอย่างจริงจังเสียที จริงๆ แล้วผมไม่เคยติดใจด้วยซ้ำว่าพี่ของผมมีชื่อเดียวกับตัวละครในภาพยนตร์ หลานชายของผมเล่นอินเทอร์เน็ตเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และพบว่าสุสานของแฮร์รีมีคนสนใจมากมาย เราไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนไปเยี่ยมสุสานของเขา หลายคนเดินทางจากที่ไกลๆ เพื่อจะไปถ่ายรูปคู่กับหลุมศพของแฮร์รี" เคน กล่าว
      
  ทั้งนี้ แฮร์รี พ็อตเตอร์ เดินทางจากบ้านที่ คิดเดอร์มินสเตอร์ เพื่อสมัครเป็นทหารที่เบอร์มิงแฮม ในปี 1938 ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี แต่เพราะอยากเป็นทหารจึงโกหกสัสดีว่าตนอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว ฤดูใบไม้ผลิ ปี 1939 พ็อตเตอร์ประจำการอยู่ที่ฐานทัพ เดอีร์ ชาร์ ใกล้เมืองเฮบรอน และเสียชีวิตจากการถูกกลุ่มโจรติดอาวุธโจมตีขณะขับรถกลับค่ายทหาร ในวันที่ 22 กรกฎาคม
Cr.https://www.sanook.com/news/984981/

“สุสานเสื้อชูชีพ” 



เมื่อเดือน กันยายน 2559 สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)  ร่วมกับกลุ่มองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพ ได้นำเสื้อชูชีพจำนวน 2,500 ตัวมาวางเรียงกันให้ดูคล้ายสุสาน ที่บริเวณสนามหญ้าสีเขียวสดของจัตุรัสรัฐสภาในกรุงลอนดอนของอังกฤษ เพื่อสะท้อนถึงชะตากรรมของบรรดาผู้อพยพ ที่ต้องเสี่ยงชีวิตเดินทางข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมายังยุโรป

การจัดแสดง “สุสานเสื้อชูชีพ” ในครั้งนั้น มีขึ้นในโอกาสที่บรรดาผู้นำโลกเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ เพื่อเป็นการส่งสาส์นไปยังบรรดาผู้นำชาติต่าง ๆ 193 ประเทศ ให้เร่งหาทางแก้ไขปัญหาวิกฤติผู้อพยพ ซึ่งก่อนหน้านี้สหประชาชาติประมาณการว่า ระหว่างเดือน ม.ค. 2015 – ส.ค. 2016 มีผู้อพยพเสียชีวิตลงถึง 6,940 ราย ขณะพยายามเดินทางข้ามทะเลมายังยุโรป
ที่มา BBC Thai
Cr.https://variety.thaiza.com/caution/348623/

'สุสานตัวนิ่ม' 


(ภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศสาขาภาพข่าวจาก Wildlife Photographer of the Year สะท้อนปัญหาลักลอบค้าตัวนิ่มอย่างผิดกฎหมาย)

พอล ฮิลตัน (Paul Hilton) ช่างภาพสัตว์ป่า ที่ได้ถ่ายทอดสถานการณ์ที่เลวร้ายของการค้าตัวนิ่มอย่างผิดกฎหมายผ่านภาพถ่ายของเขาทีใช้ชื่อว่า “สุสานตัวนิ่ม” ได้รับรางวัลชนะเลิศสาขาภาพข่าวจาก Wildlife Photographer of the Year

ในภาพที่เห็นคือซากตัวนิ่มกว่า 4,000 ตัว ที่ละลายหลังจากถูกแช่แข็ง รวมกันแล้วมีน้ำหนักประมาณ 5 ตัน เชื่อกันว่าเป็นการจับกุมการค้าตัวนิ่มอย่างผิดกฎหมายครั้งใหญ่ที่สุด โดยตัวนิ่มถือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ถูกลักลอบค้าขายอย่างผิดกฎหมายมากที่สุด เพราะเชื่อกันว่าอวัยวะเกือบทุกส่วนของตัวนิ่มใช้เป็นยาแผนโบราณจีนได้



 PAUL HILTON
(ตัวนิ่มถือเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ถูกลักลอบค้าขายอย่างผิดกฎหมายมากที่สุด เพราะเชื่อกันว่าอวัยวะเกือบทุกส่วนของตัวนิ่มใช้เป็นยาแผนโบราณจีนได้)

ในที่ประชุมอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ที่ประเทศแอฟริกาใต้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตัวนิ่มจึงได้รับการจัดให้เป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ
ที่มา BBC Thai
Cr.https://www.bbc.com/thai/international-38038207

สุสานใต้ดิน คาปูชิน


ตั้งอยู่ที่เมืองปาแลร์โม(Parlermo) ในซิซิลี(Sicily) ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ถูกใช้เป็นที่เก็บศพแห้งแบบมัมมีภายในสุสานรูปแบบรังผึ้ง โดยเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
ปี 1534 เมื่อสำนักสงฆ์นิกายคาปูชิน(Capuchin) แห่งวัดพาเลอร์โมเริ่มขยายตัว เหล่าพระคาปูชิน เดิมเมื่อมรณภาพจะใช้การฝังในถ้ำ แต่เวลาผ่านไป ถ้ำดังกล่าวก็เต็มจนไม่สามารถใช้ฝังได้อีกต่อไป

ปี 1599 จึงได้มีการขุดอุโมงค์ใต้อาราม เพื่อดัดแปลงใช้เป็นที่ฝังศพแทนถ้ำเดิมที่เต็มไปด้วยศพนักบวช หลังขุดเสร็จไม่นาน หลวงพ่อ Silvestro of Gubbio ก็กลายเป็นพระรูปแรกที่ถูกฝังที่นี่
ร่างของผู้ตายก็แห้งบนคานที่ทำด้วยเซรามิคภายในสุสานใต้ดิน บางครั้งก็จะมีการล้างด้วยน้ำส้มสายชู บางร่างก็จะทำการดองศพ(Embalming) หรือบางร่างก็จะใส่ตู้กระจกไว้ นักบวชที่ถูกเก็บรักษาไว้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวมใส่ประจำวัน พร้อมด้วยเชือกอันเป็นเครื่องหมายของการบำเพ็ญทุกรกริยาเพื่อไถ่บาป(Penance)

เดิมสุสานใต้ดินใช้สำหรับบรรจุศพของนักบวชเท่านั้น แต่ในคริสต์ศตวรรษต่อๆมา การมีศพไว้ในสุสานใต้ดินของนักบวชคาปูชิน กลับถือเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะทางสังคม
คนชั้นสูงและผู้มีฐานะดี มักทิ้งพินัยกรรมไว้ให้รักษาร่างของตนไว้ในเครื่องแต่งกายหรือท่าทางตามที่ระบุไว้
บางครั้งก็ถึงกับสั่งว่าให้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นระยะๆ
นักบวชที่ฝังก็จะแต่งกายอย่างนักบวช ส่วนฆราวาสก็จะแต่งตัวตามยุคสมัย ญาติพี่น้องผู้มาสวดมนต์ให้แก่ผู้ตาย ก็ต้องทำหน้าที่ดูแลรักษาสภาพของศพให้ดูดีด้วย ค่าบำรุงรักษาสุสานใต้ดินมาจากเงินอุทิศของญาติพี่น้องผู้ที่มีร่างอยู่ในสุสาน โดยภายในโถงถูกจัดเป็นส่วนๆได้แก่ โซนผู้ชาย โซนผู้หญิง โซนหญิงพรหมจารี โซนเด็ก โซนนักบวช และโซนสำหรับบุคคลพิเศษบางศพที่มีการเก็บรักษา และวางที่ทางที่ไม่เหมือนกับศพอื่น

ร่างใหม่แต่ละร่างก็จะถูกนำไปไว้ชั่วคราวในซอง ก่อนที่จะย้ายไปยังที่ตั้งอย่างถาวร ถ้าญาติพี่น้องยังคงบริจาคเงินสำหรับดูแลรักษาร่างของผู้ตายก็จะยังคงตั้งไว้ แต่เมื่อเลิกบริจาค ร่างนั้นก็จะถูกย้ายไปไว้บนชั้นวาง จนกว่าญาติพี่น้องจะกลับมาบริจาค
ร่างใหม่ยังคงมีเข้าเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 1920 ขณะนั้นมีศพฝังอยู่ร่วม 8,000 ศพ และ ศพสุดท้ายที่ถูกนำเข้ามา คือศพของ Rosalia Lombardo เด็กหญิงผู้หลับไหลอันมีชื่อเสียง มีบ่อยครั้งที่นักท่องเที่ยวพบเห็นเธอลืมตาขึ้นมามอง
อ้างอิง : http://www.mummytombs.com/mummylocator/featured/catacomb.htm
Cr.https://www.facebook.com/199419610193601/posts/658405027628388/

Boneyard สุสานเครื่องบิน


นี่คือภาพบรรยากาศของ  309th Aerospace Maintenance and Regeneration Group หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ‘สุสานเครื่องบิน’ ตั้งอยู่ในสนามบินของกองทัพอากาศสหรัฐฯ Davis-Monthan ในรัฐ Arizona
โดยมีขนาดใหญ่ถึง 6,576 ไร่ หรือเท่ากับสนามฟุตบอล 1,00 สนามเป็นที่เก็บรวบรวมเครื่องบินทางทหารในยุคต่างๆของกองทัพสหรัฐฯ กว่า 4,400 ลำ มีตั้งแต่เครื่องบินขนส่ง, เครื่องบินทิ้งระเบิด B-52, เครื่องบินขับไล่ F-14 และ เครื่องบินโจมตี A-10

‘Air Force boneyards’ ไม่ได้เป็นสุสานไว้ฝังศพแต่อย่างใด แต่เป็นสุสานสำหรับปลดระวางเครื่องบินที่ไม่ใช้แล้วของกองทัพสหรัฐอเมริกา สถานที่แห่งนี้คือที่พักสุดท้ายของเครื่องบินที่ตกรุ่น หรือเสียหายยากแก่การซ่อมแซม 

เครื่องบินเหล่านี้บางส่วนยังคงสามารถนำไปปฏิบัติการได้ เพียงแต่นำมาติดตั้งอะไหล่ที่จำเป็น และปรับแต่งเพียงเล็กน้อย และบางส่วนก็ถูกเก็บไว้เพื่อเป็นอะไหล่สำหรับเครื่องบินรุ่นใหม่ โดยคาดว่าเครื่องบินในสุสานนี้มีมูลค่าถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ (1,132,810 ล้านบาท)   กองทัพสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้กองทัพจากประเทศอื่นสามารถซื้อชิ้นส่วนอะไหล่  หรือแม้กระทั่งเครื่องบินที่เก็บไว้ในสุสานแห่งนี้ เพื่อนำไปใช้งานใหม่ได้
 
 สาเหตุที่สุสานแห่งนี้ตั้งอยู่ในทะเลทราย เพราะว่าทะเลทรายมีความชื้นในอากาศที่ต่ำมาก และยังมีปริมาณฝนต่อปีที่น้อย ทำให้เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับเก็บรักษาเครื่องบิน  ซึ่งตัวเครื่องเกือบทั้งหมดทำจากโลหะ นอกจากนั้นบริเวณทะเลทราย Tucson ยังมีพื้นดินที่แข็ง  ทำให้ทางกองทัพไม่ต้องเทพื้นคอนกรีต สำหรับตั้งเครื่องบิน



เครื่องบินจะต้องเตรียมสภาพก่อนถูกนำมาเก็บไว้ในสุสาน โดยผ่านการล้างด้วยน้ำเพื่อกำจัดอนุภาคของเกลือบนตัวเครื่อง จากนั้นจะถูกถ่ายเชื้อเพลิงออกจนหมด พร้อมทั้งนำวัตถุระเบิด และอาวุธทุกชนิดออกจากตัวเครื่อง รอยต่อทั้งหมดในตัวเครื่องจะถูกติดด้วยเทปเพื่อป้องกันฝุ่น และเครื่องบินจะถูกนำไปทาสีขาวเพื่อช่วยในการลดการสะสมความร้อน และช่วยสะท้อนแสงแดดให้มากที่สุด เครื่องบินจะถูกเก็บไว้เพื่อรอนำไปใช้งานใหม่หรือขายเป็นอะไหล่
 
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเร็วๆนี้เครื่องบิน B-52 ฉายา Ghost Rider ซึ่งถูกเก็บไว้ในสุสานกว่า 7 ปี  ได้ถูกนำกลับเข้าประจำการใหม่ โดยใช้เวลาซ่อมบำรุง ติดตั้งอุปกรณ์ และทาสีใหม่กว่า 1 เดือน  และกลับมาเริ่มปฏิบัติการใหม่เมื่อวันที่ 13/02/58 ที่ผ่านมา

ที่มา: http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2972629/Where-planes-die-Bing-reveals-amazing-high-resolution-interactive-map-             biggest-aircraft-graveyard-world.html?ito=social-facebook
ที่มา: BusinessInsider
Cr.https://www.catdumb.com/air-force-boneyards-333/  By อดีตเหมียว
Cr.https://ar-ar.facebook.com/notes/สมาคมนิยมอาวุธนาโต้-nato-military-fanclub/สุสานเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก/589675184502044/
    โดย  สมาคมนิยมอาวุธนาโต้ NATO military fanclub.

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่