จะเรียกหนังเรื่องนี้ว่า Reboot จาก Dr. Dolittle ฉบับของ Eddie Murphy ก็อาจจะไม่ค่อยเต็มปากเท่าไหร่ เพราะตัวละครตัวนี้เป็นนวนิยายที่ถูกเขียนขึ้นมาก่อนหน้าที่จะถูกนำมาดัดแปลงเป็นแบบฉบับที่มีความทันสมัยให้เข้ากับยุคนั้น และได้ Eddie Murphy มานำแสดงเป็นหมอดูลิตเติ้ลที่มีความสามารถในการคุยกับสัตว์ แต่พอมาเวอร์ชั่นนี้ ผู้สร้างได้นำเอานวนิยายฉบับดั้งเดิมมาสร้างเป็นหนังให้ดูโดยทำเป็นหนังย้อนยุคในแบบเดียวกับที่นิยายเขียนไว้เลย ซึ่งจากหนังตลกร่วมสมัย กลายมาเป็นหนังผจญภัยย้อนยุคแถมแฟนตาศซีนิดๆ อีกด้วย
หนังเป็นเรื่องของ Dr. Dolittle ที่มีความสามารถพิเศษในการพูดคุยกับสัตว์รู้เรื่อง หลังสูญเสียคนรัก ก็เลือกปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกและผู้คนแล้วใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์นานาชนิด จนกระทั่งมีสาวน้อยมาตามตัวดูลิตเติ้ลเข้าเฝ้าถวายการรักษาพระราชินีวิกตอเรีย และพบว่าพระราชินีถูกลอบวางยาพิษและหนทางเดียวที่จะถอนพิษได้คือต้องไปหาผลไม้ในตำนานยังดินแดนไกลโพ้น เพื่อหมาถอนพิษให้พระราชินีก่อนแผนการยึดครองบัลลังก์แทนพระราชินีของเหล่าทรราชจะสำเร็จ
จุดอ่อนของหนังข้อนึงเลยที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ต้นเรื่องคือ หนังเดินเรื่องแบบเร็วมาก เร็วจนคนดูแทบจะไม่มีความผูกพันอะไรกับเนื้อเรื่องและตัวละครเลย แม้กระทั่งตัวละครเอกอย่าง ดูลิตเติ้ล ที่ควรจะเป็นตัวละครที่คนดูต้องผูกพันมากที่สุด หนังก็ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกอินไปกับตัวละครนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนที่หนังอยากให้ ดูลิตเติ้ล เป็น ก็บางเบาอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงพวกสัตว์ต่างๆ ที่อุตส่าห์ได้นักแสดงคุณภาพหลายๆ คนมาให้เสียงพากย์ หนังก็ไม่ได้ใช้ความได้เปรียบตรงนี้อย่างคุ้มค่า การเล่าเรื่องของหนังก็เหมือนจะรีบไปในทุกตอน ถามว่าดูรู้เรื่องมั๊ย ก็รู้เรื่องแหละ แต่ไม่อินและไม่ผูกพันเท่าไหร่ และทุกสิ่งทุกอย่างก็สรุปจบแบบง่ายๆ และรวดเร็ว
ด้วยความที่หนังเป็นแนว Fantasy Adventure แน่นอนว่าหนังต้องใส่ CG เข้าไปเยอะแน่ๆ เรื่องนี้จริงๆ ก็ใส่เยอะ ทั้ง CG สัตว์ที่เป็นเหมือนจุดขายหลักของหนัง รวมไปถึง CG ฉากต่างๆ ก็ถือว่าเนียนพอเอาตัวรอดไปได้ แต่อย่างที่บอกว่าหนังมันเดินเรื่องเร็วมากจน CG แทบจะไม่ได้โดดเด่นหรือไม่ได้โชว์อะไรเลย ฉากเท่ๆ หลายๆ ฉากที่ควรเอามาเป็นจุดขายก็เหมือนใส่เข้ามาให้รู้ว่ามี แต่ไม่ได้ปล่อยให้ฉากแต่ละฉากโชว์ศักยภาพของมันเลย ผมเสียดายที่สุดก็ฉากปลาวาฬในทะเลนี่แหละ น่าจะทำให้ขนลุกได้ แต่ก็ไม่
นักแสดง RDJ เป็นคนแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียวทั้งเรื่อง แต่มันน่าจะดีกว่านี้ถ้าบทหนังเฉลี่ยความสำคัญหรือบทบาทไปให้พวกสัตว์ที่มีความสำคัญกับหนังบ้าง ถ้าพวกสัตว์ได้โชว์มากขึ้น RDJ ก็คงไม่ต้องแบกหนังไว้ทั้งเรื่อง แต่ก็อีกเรื่อง ด้วยตัวบทนี้ที่วางคาแรคเตอร์ของหมอ ดูลิตเติ้ล ไว้ว่าเป็นกวนๆ คนเพี้ยนๆ และรักสันโดษ บวกกับความถือตัว ทำให้ RDJ ยังสลัดภาพลักษณ์ความเป็น Tony Stark ออกไม่หมด บางฉากบางตอนดูแล้วก็ยังคงติดภาพ IRONMAN อยู่เลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะตอนหมอใส่เกราะ 555
จะว่าไปก็น่าเสียดายอะไรหลายๆ อย่างในหนังเรื่องนี้นะ เพราะหนังเหมือนจะพยายามทำให้กระชับที่สุด แต่กลายเป็นว่าหนังเล่าแบบผลีผลามรวดเร็วจนเกินไป จนความเจ๋งหลายๆ อย่างโดนความกระชับของหนังบั่นทอนไปเยอะ สัตว์ที่น่าจะได้โชว์อะไรมากกว่านี้ก็ดูธรรมดาๆ บทหนังก็น่าจะพาคนไปผจญภัยได้สนุกกว่าที่เป็น ก็กลายเป็นดูทรงๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย กลายเป็นหนังครอบครัวที่ไว้พาเด็กๆ ไปดูน่าจะชอบ ส่วนผู้ใหญ่ก็คงเฉยๆ น่าเสียดายจริงๆ
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[CR] [#Review] Dolittle ด็อกเตอร์ ดูลิตเติ้ล - หนังผจญภัยที่เด็กชอบแน่ๆ ส่วนผู้ใหญ่ไปดูกับเด็กก็พอ และจังหวะการเล่าเรื่องเร็ว
จะเรียกหนังเรื่องนี้ว่า Reboot จาก Dr. Dolittle ฉบับของ Eddie Murphy ก็อาจจะไม่ค่อยเต็มปากเท่าไหร่ เพราะตัวละครตัวนี้เป็นนวนิยายที่ถูกเขียนขึ้นมาก่อนหน้าที่จะถูกนำมาดัดแปลงเป็นแบบฉบับที่มีความทันสมัยให้เข้ากับยุคนั้น และได้ Eddie Murphy มานำแสดงเป็นหมอดูลิตเติ้ลที่มีความสามารถในการคุยกับสัตว์ แต่พอมาเวอร์ชั่นนี้ ผู้สร้างได้นำเอานวนิยายฉบับดั้งเดิมมาสร้างเป็นหนังให้ดูโดยทำเป็นหนังย้อนยุคในแบบเดียวกับที่นิยายเขียนไว้เลย ซึ่งจากหนังตลกร่วมสมัย กลายมาเป็นหนังผจญภัยย้อนยุคแถมแฟนตาศซีนิดๆ อีกด้วย
หนังเป็นเรื่องของ Dr. Dolittle ที่มีความสามารถพิเศษในการพูดคุยกับสัตว์รู้เรื่อง หลังสูญเสียคนรัก ก็เลือกปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกและผู้คนแล้วใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์นานาชนิด จนกระทั่งมีสาวน้อยมาตามตัวดูลิตเติ้ลเข้าเฝ้าถวายการรักษาพระราชินีวิกตอเรีย และพบว่าพระราชินีถูกลอบวางยาพิษและหนทางเดียวที่จะถอนพิษได้คือต้องไปหาผลไม้ในตำนานยังดินแดนไกลโพ้น เพื่อหมาถอนพิษให้พระราชินีก่อนแผนการยึดครองบัลลังก์แทนพระราชินีของเหล่าทรราชจะสำเร็จ
จุดอ่อนของหนังข้อนึงเลยที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ต้นเรื่องคือ หนังเดินเรื่องแบบเร็วมาก เร็วจนคนดูแทบจะไม่มีความผูกพันอะไรกับเนื้อเรื่องและตัวละครเลย แม้กระทั่งตัวละครเอกอย่าง ดูลิตเติ้ล ที่ควรจะเป็นตัวละครที่คนดูต้องผูกพันมากที่สุด หนังก็ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกอินไปกับตัวละครนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนที่หนังอยากให้ ดูลิตเติ้ล เป็น ก็บางเบาอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงพวกสัตว์ต่างๆ ที่อุตส่าห์ได้นักแสดงคุณภาพหลายๆ คนมาให้เสียงพากย์ หนังก็ไม่ได้ใช้ความได้เปรียบตรงนี้อย่างคุ้มค่า การเล่าเรื่องของหนังก็เหมือนจะรีบไปในทุกตอน ถามว่าดูรู้เรื่องมั๊ย ก็รู้เรื่องแหละ แต่ไม่อินและไม่ผูกพันเท่าไหร่ และทุกสิ่งทุกอย่างก็สรุปจบแบบง่ายๆ และรวดเร็ว
ด้วยความที่หนังเป็นแนว Fantasy Adventure แน่นอนว่าหนังต้องใส่ CG เข้าไปเยอะแน่ๆ เรื่องนี้จริงๆ ก็ใส่เยอะ ทั้ง CG สัตว์ที่เป็นเหมือนจุดขายหลักของหนัง รวมไปถึง CG ฉากต่างๆ ก็ถือว่าเนียนพอเอาตัวรอดไปได้ แต่อย่างที่บอกว่าหนังมันเดินเรื่องเร็วมากจน CG แทบจะไม่ได้โดดเด่นหรือไม่ได้โชว์อะไรเลย ฉากเท่ๆ หลายๆ ฉากที่ควรเอามาเป็นจุดขายก็เหมือนใส่เข้ามาให้รู้ว่ามี แต่ไม่ได้ปล่อยให้ฉากแต่ละฉากโชว์ศักยภาพของมันเลย ผมเสียดายที่สุดก็ฉากปลาวาฬในทะเลนี่แหละ น่าจะทำให้ขนลุกได้ แต่ก็ไม่
นักแสดง RDJ เป็นคนแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียวทั้งเรื่อง แต่มันน่าจะดีกว่านี้ถ้าบทหนังเฉลี่ยความสำคัญหรือบทบาทไปให้พวกสัตว์ที่มีความสำคัญกับหนังบ้าง ถ้าพวกสัตว์ได้โชว์มากขึ้น RDJ ก็คงไม่ต้องแบกหนังไว้ทั้งเรื่อง แต่ก็อีกเรื่อง ด้วยตัวบทนี้ที่วางคาแรคเตอร์ของหมอ ดูลิตเติ้ล ไว้ว่าเป็นกวนๆ คนเพี้ยนๆ และรักสันโดษ บวกกับความถือตัว ทำให้ RDJ ยังสลัดภาพลักษณ์ความเป็น Tony Stark ออกไม่หมด บางฉากบางตอนดูแล้วก็ยังคงติดภาพ IRONMAN อยู่เลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะตอนหมอใส่เกราะ 555
จะว่าไปก็น่าเสียดายอะไรหลายๆ อย่างในหนังเรื่องนี้นะ เพราะหนังเหมือนจะพยายามทำให้กระชับที่สุด แต่กลายเป็นว่าหนังเล่าแบบผลีผลามรวดเร็วจนเกินไป จนความเจ๋งหลายๆ อย่างโดนความกระชับของหนังบั่นทอนไปเยอะ สัตว์ที่น่าจะได้โชว์อะไรมากกว่านี้ก็ดูธรรมดาๆ บทหนังก็น่าจะพาคนไปผจญภัยได้สนุกกว่าที่เป็น ก็กลายเป็นดูทรงๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย กลายเป็นหนังครอบครัวที่ไว้พาเด็กๆ ไปดูน่าจะชอบ ส่วนผู้ใหญ่ก็คงเฉยๆ น่าเสียดายจริงๆ
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้