การค้นพบสิ่งใหม่เพื่อประโยชน์ในอนาคต

โรคปริศนาตัวใหม่ ไม่ใช่ทั้งอีโบลา ลาสซา และโคโรนา



เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวคราวการแพร่ระบาดของไข้เลือดออกลาสซา โรคท้องถิ่นภายในพื้นที่ของไนจีเรียที่ยังคงอยู่ในการเฝ้าระวังของทางการ แม้จะยังมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตไม่มากนัก แต่ก็ถือว่ามีความอันตรายต่อสุขภาพประชาชน

ล่าสุดนี้ไนจีเรียกลับมีโรคอุบัติใหม่ในรัฐเบนิวตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2020 ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่
โดยรายงานเบื้องต้นจากนาย Abba Moro สมาชิกวุฒิสภากล่าวกับสื่อหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2020 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้แล้ว 15 ราย และมีผู้ติดเชื้อไม่ต่ำกว่า 100 ราย
 
อาการป่วยที่พ่วงมามีทั้งอาเจียน อาการปวดบวม และท้องร่วง บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 48 ชั่วโมง
ทางด้านนาย Osagie Emmanuel Ehanire รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไนจีเรียระบุว่า โรคปริศนานี้ไม่ใช่อีโบลาหรือไข้ลาสซาหลังจากนำไปตรวจสอบในแลปแล้ว และอาการที่ปรากฎของผู้ป่วยไม่ได้มีความใกล้เคียงกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เช่นกัน
 
อย่างไรก็ดีทางหน่วยควบคุมโรคไนจีเรียได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติตามมาตรการฉุกเฉินในพื้นที่แพร่ระบาดทันที คอยกักกันและเฝ้าระวังไม่ให้กระจายออกไปในวงกว้าง อีกทั้งจะต้องตามหาต้นตอสาเหตุของโรคดังกล่าวให้ได้
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่รัฐเชื่อว่าอาจเกิดจากสารเคมีในการตกปลา จนนำมาสู่อาการป่วยไข้รุนแรงในครั้งนี้…

ขอบคุณภาพจาก  Independent
ที่มา: dailypost, guardian.ng, independent
Cr.https://www.catdumb.tv/mystery-disease-nigeria-290/
By เหมียวเลเซอร์ -11 February 2020

“Yaravirus” ไวรัสลึกลับตัวใหม่ในบราซิล


ในช่วงเวลาที่โคโรน่าไวรัสกำลังกลายเป็นที่จับตามองไปทั่วโลกเช่นนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะตื่นตัวต่อข่าวเกี่ยวกับไวรัสและโรคร้ายบนโลกกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ล่าสุดนี้เองทีมนักวิทยาศาสตร์จากบราซิลได้มีการออกมาประกาศว่า พวกเขาได้ทำการค้นพบไวรัสตัวใหม่ ซึ่งมียีนแบบใหม่ที่ “แทบไม่เคยมีการค้นพบมาก่อนเลย” ในทางวิทยาศาสตร์

ไวรัสตัวดังกล่าวนี้ ได้รับการตั้งชื่อแบบชั่วคราวว่า “Yaravirus” ชื่อเล่นที่มีที่มาจากนางเงือกจากตำนานบราซิล โดยไวรัสตัวนี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในทะเลสาบ Pampulha ซึ่งเป็นทะเลสาบเทียมในเมือง Belo Horizonte 

อ้างอิงจากรายงานที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร BioRxiv เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำการตรวจสอบไวรัสที่พบด้วยระบบการตรวจสอบแคพซิด และการตรวจสอบยีน พวกเขาก็พบว่า…
ไวรัสตัวใหม่นี้ มียีนมากถึงราวๆ 90% ที่ไม่เหมือนกับไวรัสสายพันธุ์อื่นใดที่นักวิทยาศาสตร์เคยพบมาในโลกเลย และในบรรดายีน 74 ตัวของมันก็มียีนเพียงแค่ 6 ตัวเท่านั้นที่มีความ “ใกล้เคียง” กับไวรัสอื่นๆ ที่มีการบันทึกไว้

ภาพขยายของ Yaravirus


 อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็มีการออกมาอธิบายเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า Yaravirus นั้นในปัจจุบันไม่ได้เป็นอันตรายต่อมนุษย์มากอย่างที่เราคิด
นั่นเพราะแม้ไวรัสตัวนี้จะยังคงมีเรื่องที่เราไม่ทราบอีกมาก แต่ในบรรดาสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พอจะบอกได้เกี่ยวกับ Yaravirus ในปัจจุบันนั้น คือไวรัสตัวนี้ไม่ได้มีเหยื่อเป็นมนุษย์ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กด้วยกันเองอย่าง “อะมีบา” ต่างหาก

และแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไวรัสตัวหนึ่งจะกลายพันธุ์จนข้ามสายพันธุ์มาติดคนได้หากไม่ระวังให้ดี แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ระบุไว้ด้วยว่าใช่ว่าไวรัสทุกตัวจะเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์
ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำคือการศึกษาไวรัสตัวใหม่ที่พบ เพื่อพัฒนาความรู้ในการจัดการไวรัสเล็กๆ เหล่านี้ เพื่อประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพมนุษย์ต่อไป
 
ที่มา biorxiv, sciencealert, futurism และ independent
Cr.https://www.catdumb.tv/new-yaravirus-378/
By เหมียวศรัทธา -11 February 2020

พบ “เห็ดราในเชอร์โนบิล” กินรังสีเป็นอาหาร


ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1986 ได้เกิดเหตุการณ์แกนในของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิดขึ้นที่เมืองพริเพียต ของประเทศยูเครน ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของรังสีปริมาณมหาศาลในพื้นที่   ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น ทางเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องก็ได้ทำการปิดตายโรงไฟฟ้าแห่งนี้ โดยเฉพาะพื้นที่เตาปฏิกรณ์ที่ 4 ซึ่งมีปริมาณรังสีสูงจนสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตมีอันตรายถึงชีวิตได้ในเวลาไม่กี่นาที
 
อย่างไรก็ตามหลายปีหลังจากที่การปิดตายโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลเกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์กลับได้พบกับเรื่องราวแปลกๆ เข้า เมื่อในปี 1991 ได้มีเห็ดราสีดำงอกขึ้นมาในกำแพงของเตาปฏิกรณ์ แถมยังดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้รับผลกระทบที่ไม่ดีใดๆ จากรังสีเป็นพิเศษเลย

เห็ดราตัวที่ว่านี้มีชื่อว่า “Cryptococcus neoformans” เห็ดราซึ่งเดิมทีแล้วเป็นที่รู้จักในฐานะตัวการของโรคคริปโตค็อกโคสิส อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเห็ดราตัวนี้จะมีการใช้ชีวิตที่มีเอกลักษณ์กว่าที่คิดในสถานที่ที่มีระดับรังสีอันตรายสูง  นั่นเพราะ C. neoformans นั้น ดูเหมือนว่าจะมีการกินรังสีเป็นอาหารเลย
 
ภาพของ Cryptococcus neosporans


อ้างอิงจากงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสามารถกินรังสีเป็นอาหารของเห็ดราชนิดนี้ คือลักษณะโครงสร้างที่มีเมลานินอยู่สูงของมัน
โดยเจ้าเมลานินเหล่านี้เป็นแบบเดียวกับที่พบได้ในผิวของมนุษย์ และเป็นที่รู้จักกันในฐานะเม็ดสีของผิวซึ่งดูดซับแสงและช่วยกระจายรังสีอัลตราไวโอเลตในผิว เพื่อเป็นการปกป้องผิวที่บอบบางอีกที

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของ C. neoformans นักวิทยาศาสตร์พบว่าพวกมันจะใช้เมลานินปริมาณมหาศาลของมันในการดูดซับรังสี และแปลงมันเป็นพลังงานเคมีบางชนิดเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้พวกมันเอาตัวรอดในพื้นที่ที่มีรังสีสูงได้ แต่มันยังสามารถใช้ประโยชน์จากรังสีดังกล่าวด้วย
 
การค้นพบนี้นับว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์กับมนุษย์อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะความสามารถในการดูดซับรังสีของเมลานินและเปลี่ยนมันเป็นพลังงานเคมีนั้น อาจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในวงการอื่นๆ อย่างเช่นการปกป้องนักบินในการสำรวจอวกาศได้ไม่ยากเลย
และก็แน่นอนว่าด้วยความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีชิ้นใหม่เช่นนี้เอง ในปัจจุบัน C. neoformans ในโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล จึงกลายเป็นที่จับตามองของนักวิทยาศาสตร์อย่างไม่น่าเชื่อเลย
 
ที่มา cnet, foxnews และ nature
Cr.https://www.catdumb.tv/chernobyl-fungi-eats-radiation-378/
By เหมียวศรัทธา -10 February 2020

โรคลึกลับชนิดใหม่ที่ชื่อว่าดีซีส เอ็กซ์ (Disease X) 


เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา มีนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคได้ออกโรงเตือนถึงภัยคุกคามระดับโลก จากโรคลึกลับชนิดใหม่ที่ชื่อว่าดีซีส เอ็กซ์ (Disease X) หรือโรคเอ็กซ์ ซึ่งสามารถทำให้มนุษย์นับล้านคนเจ็บป่วยจนถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากเชื้อโรคดังกล่าวแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังไม่มียาหรือมาตรการการรักษาใดๆที่จะต่อกรกับโรคชนิดใหม่นี้ได้

จากการอ้างอิงของนักวิทยาศาสตร์จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ทำการเพิ่มโรค Disease X เข้าไปในรายชื่อโรคร้ายแรงที่สามารถเป็นภัยต่อโลกโดยการแพร่ระบาดได้ และการที่ยังไม่มีการค้นพบยารักษา ทำให้ทั้งโลกควรตระหนักและระมัดระวังตัวมากขึ้น

John-Arne Rottingen หัวหน้าทีมวิจัยของนอร์เวย์และที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า “จากประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นได้บอกกับเราว่า การแพร่ระบาดของโรคนี้ในครั้งต่อไป จะเป็นอะไรที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
โรค Disease X นั้นกลายเป็นโรคที่อยู่ในอันดับที่ 9 จากโรคร้ายแรงทั้งหมด ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับโรค Zika โรค Ebola และโรค SARS
 
อย่างไรก็ตามในรายชื่อโรคร้ายแรงดังกล่าวนั้นเป็นเพียงแค่การจัดอันดับเท่านั้น ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรคที่ชัดเจน
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า “โรค Disease X ได้แสดงให้เห็นถึงภัยคุกคามระดับโลก ที่เกิดจากเชื้อโรคที่ยังไม่ทราบที่มาแน่ชัด
สาเหตุของการเกิดโรค อาจจะมาจากการกลายพันธุ์ทางชีวภาพ ที่ติดต่อจากสัตว์สู่มนุษย์ หรือเกิดขึ้นโดยมนุษย์เช่น การเกิดอุบัติเหตุในห้องทดลอง หรือการก่อการร้ายโดยใช้อาวุธชีวภาพ”

อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกเผยว่า การใส่รายชื่อโรคเอ็กซ์ไว้ในรายการจัดอันดับโรคดังกล่าวไม่ได้ต้องการทำให้ผู้คนตกอกตกใจ เพียงแต่ต้องการให้ประชาชนทั่วโลกตระหนักว่าการปรากฏตัวของโรคปริศนานี้น่าจะช่วยให้ทั้งโลกเกิดการเตรียมพร้อมรับมือกับการระบาดของโรคเอ็กซ์ได้อย่างทันท่วงที.

องค์การอนามัยโลกนั้น หวังที่จะพัฒนาการดูแลสอดส่องการแพร่ระบาดของโรค และเพิ่มปริมาณการรักษาของศูนย์ดูแลสุขภาพในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะทำให้ตรวจสอบการแพร่ระบาดของโรคได้ง่ายขึ้น
 
ที่มา who, forbes, dailymail, telegraph, Metro
Cr. https://www.catdumb.com/disease-x-who-346/
By เหมียวฝึกหัดหมายเลข22 -12/03/2018

Bobtail อาจช่วยให้มนุษย์ ค้นพบวิธีรักษาแบคทีเรีย “กินเนื้อ” ในร่างกายได้


เจ้าหมึก Bobtail ตัวน้อย ตัวน้อยน่ารักนี้นอกจากจะน่ารักจิ้มลิ้ม มันอาจเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่กุมกุญแจสำคัญเกี่ยวกับการรักษาแบคที่เรียที่กินเนื้อมนุษย์ได้
โดยเจ้าหมึกน้อยตระกูล Bobtail นี้สะสมเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่จะทำการตอบสนองต่อแสงโดยการเปล่งประกายระยิบระยับ ซึ่งเจ้าแบคทีเรียที่ชื่อว่า V. fischeri นี้มีความสามารถในการตรวจจับกรดไขมันชนิดสั้นหรือแบบสายโซ่ได้
 

เจ้าตัวเล็กนี่คือ ปลาหมึก Bobtail ที่มีสีสันที่สวยงาม

 

ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหมึก Bobtail และแบคทีเรีย V. fischeri อยู่ในลักษณะที่เกื้อกูลกัน ในขณะที่แบคทีเรียได้สารอาหาร เจ้าปลาหมึกก็สามารถที่จะพรางตัวในพื้นที่ที่มีแสงต่างๆ ได้อีกด้วย
  
ด้วยข้อเด่นของแบคทีเรีย V. fischeri นั้นทำให้นักวิทยาศาสตร์สนใจที่จะนำมันมาศึกษาเพื่อขับไล่แบคทีเรียจำพวก Vibrioi (ที่เป็นสาเหตุของอหิวาตกโรค)  และเชื้อ Vibrio vulnificus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่กินเนื้อมนุษย์ (เพื่อนๆ คนไหนอยากรู้ว่าโรคดังกล่าวเป็นอย่างไร สามารถค้นหาได้จากคำว่า Necrotizing fasciitis หรือ แบคทีเรียกินเนื้อคน)
นอกจากในเรื่องการยับยั้งแบคทีเรียและเชื้อร้ายต่างๆ แล้ว นี่อาจจะเป็นองค์ความรู้ที่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาให้มนุษย์มีความสามารถ “เรืองแสง” ในที่มืดได้อีกด้วย
 



นอกจากมันจะมีสีสันที่สวยงามแล้ว  มันยังกุมกุญแจสำคัญในการรักษาโรคบางอย่างไว้อีกด้วย
ที่มา: mymodernmet
Cr.  https://www.catdumb.com/babtail-squid-999/ 
By อดีตเหมียว -11/06/2017
 

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่