'จาตุรนต์' แนะยกเครื่อง 'กองทัพ' ป้องเหตุอาชญากรรม
https://voicetv.co.th/read/uPTL4-m7T
 

 
"จาตุรนต์ ฉายแสง" เสนอแนวทางการป้องกันและเยียวยาต่อกรณีโศกนาฏกรรมที่โคราช พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนป้องกันซ้ำรอยเหตุการณ์รุนแรง
 
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เสนอแนวทางการป้องกันและเยียวยาต่อกรณีจ่าสิบเอกทหารกราดยิงประชาชน ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยระบุว่า 
 
รัฐบาลควรทำอะไรเกี่ยวกับกรณีโศกนาฏกรรมดังกล่าว ควรการเยียวยาผู้เสียหาย โดยเชื่อว่ารัฐบาลคงพยายามเยียวยาผู้เสียหายเต็มกำลังความสามารถ ในส่วนของผู้เสียหายที่เป็นข้าราชการนั้นมีระเบียบรองรับอยู่แล้ว แต่ที่จะมีปัญหาคือ ประชาชนซึ่งเป็นผู้เสียหายส่วนใหญ่ เนื่องจากระเบียบทางราชการเกี่ยวกับการเยียวยาผู้เสียหายอาจจะไม่ครอบคลุมถึงกรณีอย่างนี้ ทำให้การเยียวยาไม่เพียงพอหรือน้อยเกินไป
 
โดยปรกติทางราชการจะมีระเบียบเกี่ยวกับการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติหรือผู้ได้รับความเสียหายจากการก่อความไม่สงบ แต่ไม่น่าจะครอบคลุมถึงกรณีที่ได้รับความเสียหายจากเจ้าหน้าที่ในราชการที่ใช้อาวุธของทางราชการเช่นนี้ ยกตัวอย่างว่าถ้าความเสียหายครั้งนี้เกิดจากการกระทำของภาคเอกชน คงมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาล แต่เมื่อกรณีนี้ความเสียหายเกิดจากความบกพร่องของภาครัฐหรือหน่วยงานราชการเอง สิ่งที่รัฐบาลควรคิดก็คือจะชดใช้เยียยวยาแก่ผู้เสียหายทั้งหลายอย่างเหมาะสม โดยไม่รอให้ต้องมีการฟ้องร้องได้อย่างไร
 
อย่างไรก็ดีนายจาตุรนต์ ได้เสนอ 3 แนวทางต่อรัฐบาล ดังนี้ 
 
1. กระทรวงกลาโหมควรตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่ค่ายทหารปล่อยให้ทหารปล้นชิงอาวุธสงครามออกจากค่ายไปสังหารประชาชนจำนวนมาก หากพบว่า มีมาตรการที่หละหลวม ประมาทเลินเล่อในการดูแลรักษาก็ต้องลงโทษผู้กระทำผิด 
 
2. กระทรวงกลาโหมควรสั่งให้กองทัพบกยกเครื่องมาตรการรักษาดูแลอาวุธในค่ายทหารและในคลังอาวุธทั่วประเทศ
  
3. นายกรัฐมนตรีควรตั้งคณะกรรมการศึกษาข้อเท็จจริง สรุปบทเรียนจากกรณีที่เกิดขึ้นในมิติสำคัญทุกมิติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ที่สำคัญเพื่อประโยชน์ในการวางมาตรการดูแลรักษาอาวุธในค่ายทหารหรือในคลังแสงต่างๆ ปรับปรุงมาตรการในการรับมือกับอาชญากรรมร้ายแรง วินาศกรรม การก่อความไม่สงบและการก่อการร้าย ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับประชาชน
 
อย่างไรก็ตามสำหรับการตั้งคณะกรรมการต้องมีพลเรือนที่มีความรู้ประสบการณ์และน่าเชื่อถือมาเป็นประธาน โดยอาศัยอดีตทหารตำรวจผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์และสังคมยอมรับและนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง โดยเรื่องนี้ทุกคนต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นและคอยติดตามการทำงานของคณะกรรมการต่างๆ ไม่ปล่อยให้ถูกสกัดกั้นขัดขวางจากรัฐบาลจนไม่เกิดผลอะไร
 

---

 
‘ชวน’ ยอมรับเจ้าหน้าที่สภาฯไม่อยากตรวจสอบปมเสียบบัตร
https://www.tnnthailand.com/content/28639
 
     ‘ชวน’ ยอมรับเจ้าหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรไม่อยากตรวจสอบส.ส.เสียบบัตรแทนกัน เตรียมส่งเรื่องให้กมธ.กิจการสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบแทน หากผิดจริงยื่น ป.ป.ช.ดำเนินการตามกฎหมายทันที 
 
วันนี้ (11ก.พ.63) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไม่อยากตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน เพราะเป็นข้าราชการจะลำบากใจเมื่อต้องทำหน้าที่ในการตรวจสอบบุคคลที่เป็น ส.ส. ดังนั้นจึงได้ประสานไปยังคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้แทน แต่ก็ยอมรับว่าข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดจะอยู่ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด แต่หากคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎรรับที่จะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เชื่อว่าจะสามารถสอบข้อเท็จจริงได้ และหากพบว่าใครกระทำความผิดต้องยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยจะมีการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่เฉพาะผู้ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ส่งคำชี้แจงเท่านั้น
 
ส่วนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ในวาระ 2 และวาระ 3 นั้น เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกลับมาตรา 143 เรื่องกรอบเวลา 105 วัน โดยจะเปิดให้อภิปรายตามข้อบังคับการประชุมเป็นรายมาตรา ซึ่งฝ่ายค้านมีสิทธิ์ที่จะอธิบายได้อย่างเต็มที่จะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ได้ แต่หากอภิปรายซ้ำซ้อนบุคคลภายนอกจะรับทราบเจตนาเอง เพราะทุกฝ่ายต่างทราบดีว่าเคยมีการอภิปรายเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งหากทุกฝ่ายอภิปรายอย่างสมเหตุสมผลก็เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นานในการพิจารณา
 
สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ฝ่ายค้าน ยังไม่ได้ยื่นรายชื่อบุคคลที่จะขออภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ มีเพียงการเสนอญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น