ดอยม่อนจอง ทุ่งหญ้าสีทอง ต้องลองมา ก่อนป่าปิด (Doi Mon Jong)


คนเดียวก็เที่ยวได้ ดอยม่อนจอง ทุ่งหญ้าสีทอง ต้องลองไปก่อนป่าปิด
เที่ยวดอยม่อนจอง อมก๋อย เชียงใหม่
กระทูรีวิวครั้งแรก ขอเล่าที่มาก่อนนะคะ ทั้งๆที่แต่ก่อนไปเที่ยวมาก็เยอะ แต่ไม่ได้รีวิวที่ไหนสักที คือไป เที่ยว จบ กลับ มาปีนี้เลยจะมาแชร์พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวไปด้วย ปีที่แล้วมีคนบอกเอาไว้ว่า "เที่ยวสบายๆไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าเรายังมีแรงก็ลองออกไปผจญภัยดู" ด้วยความที่ชอบเที่ยวอยู่แล้ว แพลนเที่ยวเต็มหัวแต่วันหยุดก็มีจำกัด เที่ยวลำบากเพื่อนก็ไม่มีใครอยากไป เลื่อนเฟสผ่านไปมา เจอคนไปมารีวิวที่เที่ยวเยอะ มีแต่รูปสวยๆ ชอบทางเหนือมากเพราะหน้าหนาวอากาศดี ถ้าไม่นับ PM 2.5 ตอนนี้ โดยเฉพาะเชียงใหม่ไปทุกปีไหว้พระประจำปีเกิด  สรุปเลยเลือก "ดอยม่อนจอง " เพราะเรา คิดถึง...เขาเลยไปหาเขา คนเดียวก็เที่ยวได้ "ทำไมชีวิตต้อง Depend on คนอื่น" ถือว่าไปหาเพื่อนเอาหน้าแล้วกัน  ดอยม่อนจองของปีที่แล้วดูไว้ทุ่งหญ้ายังสีเขียวเพราะยังเป็นช่วงฤดูหนาว พอตัวเองมาจริงๆก็กลายเป็นว่าเกือบอาทิตย์สุดท้ายก่อนที่เขาจะปิดป่าแล้ว
ข้อควรรู้ก่อนไป ดอยม่อนจอง ใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ-ฮอด-อ๋มก๋อย เปิดให้ขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน - 15 กุมภาพันธ์ของทุกปีเท่านั้น ตั้งอยู่ อ.อมก๋อย คำว่า ม่อน เป็นภาษาคำเมืองที่หมายถึง ดอยหรือเนินเขา ส่วนคำว่า จอง ก็เป็นภาษาคำเมืองจะออกเสียงว่า จ๋อง ลักษณะคล้ายจั่วสามเหลี่ยมที่อยู่สูงที่สุด ดอยม่อนจอง ติดอันดับ 1 ใน 10 ของยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยจุดสูงสุดเรียกว่า หัวสิงห์ เพราะคล้ายหัวสิงโต จะมีป้ายให้ถ่ายรูปและบอกว่าสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,929 เมตร เป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำปิงที่ไหลลงสู่เขื่อนภูมิพล ลักษณะป่าแดงหรือป่าเต็งรัง-ป่าเบญจพรรณ บนดอยมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี
7/2/63 เริ่มต้นก่อนออกเดินทาง ในกรุ๊ปก็จะแจ้งกำหนดการต่างๆ แนะนำให้ออกกำลังกายก่อนสัก 2 อาทิตย์ ฝึกความอดทน อุปกรณ์ที่จำเป็นเราต้องเตรียมของใช้ส่วนตัว ยาประจำตัว รองเท้าผ้าใบ ไฟฉาย ทิชชู่แห้ง-เปียก ถุงนอน เต็นท์มีให้เช่า ขวดน้ำเล็กๆพกระหว่างเดินป่า บนยอดดอยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีลำธารเล็กๆตรงจุดกางเด้นท์ ห้องน้ำไม่มีที่อาบนะคะ ใช้แค่ล้างหน้าแปรงฟัน อากาศข้างบนหนาวมากควรเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้พร้อมใครมีของเยอะเขามีลูกหาบบริการค่ะ นัดรวมกันสถานที่จะมี 2 ที่ต้นทางที่เจ้าของกระทู้ไปคือบางแสน ขึ้นรถ 18.00 น. แล้วไปรับอีกกรุ๊ปใหญ่ที่ Big C สะพานควาย ใครที่ไม่เคยไปเที่ยวคนเดียวกล้าๆ กลัวๆ พอไปถึงไม่ต้องกลัวเลย คนเยอะมากค่ะ ทุกคนพร้อมใจมารวมกัน โดยจุดหมายอาจไปคนละที่ แต่สิ่งที่เห็นหลักๆ แต่ละเพจลูกทีมของตัวเองมารายงานตัว แจ้งที่นั่ง ก่อนไปขึ้นรถ ขอแนะนำให้ทานข้าว เข้าห้องน้ำทำธุระให้เสร็จ แล้วออกเดินทางเลยค่ะ ประมาณ 22.00 น.ออกเดินทางกันค่ะ ทริปนี้รวมกันได้ รถตู้ 4 คันค่ะ (ระหว่างทางไม่มีรูปนะคะ ตีตั๋วนอนยาวตั้งแต่ขึ้นทางด่วนผ่านดอนเมืองตื่นอีกทีตี5 รถจอด 7-11สุดท้ายก่อนเข้าอมก๋อย ใครอยากทานขนม น้ำหวาน ของใช้อื่นๆพกไปด้วยก็ซื้อตั้งแต่ตอนนี้เลยนะคะ) 
8/2/63 นั่งรถตู้มาถึงศูนย์บริการการท่องเที่ยว เทศบาลตำบลอมก๋อย เกือบ 7โมงเช้า มีห้องน้ำและร้านค้าริมทาง ใช้ซื้ออาหารเช้า นั่งทานข้าวได้ อากาศเย็นหน่อยตอนลงรถที่วัดอุณหภูมิบอก 18-19 องศาแต่พอเวลาผ่านไปช่วงระหว่างรอซื้อข้าวและกาแฟ กลายเป็น 22 องศาไปแล้ว ซื้อของแล้วก็เดินทางต่อ ทางนี้ก็ได้หมูทอดไก่ทอดข้าวเหนียว จิบกาแฟเอสเปรโซเย็นไปหน่อยนึงก็ตีตั่วนอน เดินทางต่อมาถึงศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง ระยะทาง 45 กิโลเมตรซึ่งทางคดเคี้ยวมากระหว่างที่มา แต่นี่ไม่รู้เรื่องอะไรอีกตามเคย คนขับบอกมี 2 โค้ง คือซ้ายและขวา 
 
ลงจากรถตู้มาจะเจอชาวเขาเผ่ามูเซอและหมู่บ้านบนเนินเขาเรียงกันขึ้นไป สวยดีค่ะ มาถึงจุดบริการใครอยากจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็ตามสบาย แต่ว่าช่วงที่มาเป็นวันหยุดยาวคนเยอะมาก ต้องทำเวลาเปลี่ยนชุดเดินป่าเอาที่สะดวก ใส่ที่รัดน่องแล้ว พกขวดน้ำขนมทิชชู่ และ ยาดม ยาหม่อง สเปรย์พ่น ยานวด แก้ปวดขา ทากันแดด ทากันยุงพร้อม หน้ากากอนามัยช่วงนี้พกติดตัวตลอดแต่คุ้มมากได้ใช้จริงๆด้วย หลังจากเราเปลี่ยนชุดเสร็จ ทางสตาฟก็จะเอากระเป๋าไปชั่งน้ำหนัก เพื่อคิดราคาให้ลูกหาบแบกให้ ส่วนเราก็เก็บแรงไว้ เพราะต้องเดินทางขึ้นไปอีก 4 กิโลเมตร เราใช้รถกระบะในการเดินทางนะคะ ก่อนไปขึ้นรถทางสตาฟ แจกข้าวกลางวัน น้ำดื่ม สายแล้วออกเดินทางค่ะ
 

เรานั่งรถกระบะไปกันต่อนะคะ ประมาณ5 กิโลเมตรถึงด่านของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย แจ้งชื่อสมาชิกกับเจ้าหน้าที่ และเดินทางต่ออีกประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที จนถึงลานจอดรถจุดเริ่มต้นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติดอยม่อนจอง ระหว่างทางถนนลูกรังมีขึ้นลงคดเคี้ยวมีรถสวนกันไปมาฝุ่นเยอะ ตอนนี้แหละ หน้ากากอนามัยได้ใช้งาน 
เส้นทางที่เดินจุดเริ่มต้น 
ลงจากรถแล้วก็เข้าป่ากันค่ะ
ระหว่างทางก็มีชุดชมวิวเนินป่าต้นสนให้เห็นเป็นระยะๆ ทางเดินก็เป็นฝุ่นอยู่ ช่วงที่เดินแนะนำถ้ามีไม้โพลก็จะช่วยได้ค่ะ เดินไปสัก 50 เมตรเริ่มเหนื่อย ถามสตาฟแล้วเมื่อไหร่จะถึง บางคนก็ขอแวะกินข้าวกลางวันเลย แต่ถ้าใครเดินไม่ไหว ระหว่างทางมีจุดถ่ายรูปเยอะ ได้พักเหนื่อยบ่อย ไม่ว่าจะเป็นจุดชมวิวเหมือนคดคู่  จุดนี้คือ ภูหินช่อถ้าใครได้รูปตอนเข้าป่า ก่อนกลับก็แวะถ่ายรูปได้อีกนะคะ ได้วิวคนละแบบ 
หลังจากผ่านภูหินช่อมาแล้ว ออกเดินต่อ เดินมาได้สัก 2 กิโลเมตรนับจากจุดเริ่มต้นนะคะ ก็ถึงเนินฮิบหอบหรือเนินหมาหอบ ความชันก็ทำให้หอบได้จริงๆ
(คนนี่แหละหอบแฮกๆ เหนื่อยจริง ) พอมาถึงจุดนี้รับรองได้พักถ่ายรูปจนไม่อยากเดินต่อหลังจากที่ถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็เดินต่อไปจุดที่นอนกางเต็นท์จะอยู่แถวสนามกอล์ฟช้างอีก 2 กิโลเมตร รวมระยะทาง 4 กิโลเมตรด้วยกันค่ะ
หลังจากที่ถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็เดินต่อไปจุดที่นอนกางเต็นท์จะอยู่แถวสนามกอล์ฟช้างอีก 2 กิโลเมตร รวมระยะทาง 4 กิโลเมตรด้วยกันค่ะ
สัญญาณมือถือก็มีอยู่บ้างเป็นช่วงๆ เดินลงมาจะมีลำธารเล็กๆมีน้ำเอาไว้ใช้ และทำธุระส่วนตัว ห้องน้ำมี 2 ห้อง ล้อมผ้ากั้น ใครจะหนักเบาก็ตักน้ำเข้าไปกันเอง หรือทิชชู่เปียกที่พกผ้าก็สุดแท้เลยค่ะ ลานกางเต็นท์จนมี 2 จุด ลานกางเต็ท์บนและล่าง บริเวณนี้มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะคอยดูแลเราแต่ละจุดด้วยนะคะ และเมื่อมาถึง ลูกหาบที่เราจ้างหาบของจะเอ่กระเป๋ามารวมไว้เต็นท์ส่วนกลาง และเขาจะกางเต็นท์ไว้ให้สำหรับคนที่เช่าเอาไว้พร้อมเก็บให้ในวันกลับ แต่ละกรุ๊ปก็จะแยกโซนกันไว้ปูผ้าใบผืนใหญ่ไว้เตรียมพื้นที่สำหรับทำอาหารและก็นั่งทานมื้อเย็น  

เอาของเข้าที่พักไปจุดกางเต็นท์แล้ว ใครยังมีแรง อยากเดินไปชมวิวพระอาทิตย์ตก ที่ดอยหัวสิงห์ เดินต่อไปอีก 2 กิโลเมตร ผ่านสนามกอล์ฟช้างขึ้นมาหรือจะเดินรวดเดียวไปเลยก็ได้ไม่ต้องแวะจุดกางเต็นท์ แต่ควรเตรียมไฟฉายและเสื้อแขนยาวไปเพิ่มนะคะ เพราะเริ่มค่ำอากาศก็เริ่มเย็นค่ะ และทางกลับมืดสนิท ช่วงที่เดิน ระหว่างทางก็จะมีดอกไม้ต้นกุหลาบพันปีให้เห็น และดอกไม้ป่า วิวลำธารข้างล่างและดูพระอาทิตย์กำลังจะตก อยากจะบอกว่า วิวสวยมากค่ะ อากาศดีมากเอาเป็นว่าลืมเวลาไปเลย แต่ไม่ควรเกินช่วงหกโมงเย็นเวลาพระอาทิตย์ตกเริ่มมืดแล้ว มองไม่เห็นทาง 
เดินไปถึงก็แวะนั่งทอดอารมณ์หน่อย มีพี่คนนึงบอก มาถึงแล้วเราต้องถ่ายรูปกับป้ายนะ เลยเอาสักหน่อย ก่อนไปนั่งชมพระอาทิตย์ตก 
หลังจากไปชื่นชมธรรมชาติยามเย็นเห็นพระอาทิตย์ตกแล้ว ตอนมาถึงแค้มป์ก็เคารพเพลงชาติพอดี มืดแล้ว ทางพ่อครัวสตาฟของเราก็ปรุงอาหารเสร็จพอดี เพื่อนๆก็มานั่งล้อมวงกินข้าวกัน เมนูก็มีกระเพราหมูสับอันนี้เด็ดสุดหมดก่อนใคร ผัดผักกุ้ง ต้มยำทะเล และยำปลากระป๋อง หลังจากทานเสร็จก็พูดคุยกันแลกเปลี่ยนแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แต่ละคนมาจากหลายอาชีพ แบบที่ว่าชื่อตำแหน่งยาวจนจำไม่ได้ก็มี บางคนก็มาคู่ชอบเที่ยวกันประจำ บางคนมากับเพื่อนนัดเจอกันบ้าง ส่วนทางนี้มาคนเดียวก็ได้เพื่อนใหม่ไปอีก พูดคุยเฮฮาพอหอมปากหอมคอ จะดื่มสังสรรค์ คิดเลข เปิดเพลงก็ไม่ว่า แต่อย่าเกินสี่-ห้าทุ่ม เพื่อให้ความสงบและสมาชิกท่านอื่นจะได้พักผ่อนกัน นัดรวมตัวกันตื่นตี 4 ชมดาวทางช้างเผือก แต่วันที่ไปวันพระใหญ่พระจันทร์สว่างและฟ้าดูปิด หันหน้าไปมาเลยตกลงกันว่าไม่ตื่น เพราะเช้าเกิน รอรวมทีเดียวถ่ายรูปธีม โจทย์ที่ได้คือ โบฮีเมี่ยน หลังจากทานข้าวกันแล้วก็ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เครื่องนุ่งห่มที่เตรียมมาจัดเต็มค่ะ เป็นคนขี้หนาว อากาศประมาณ 10-12 องศาได้ ถึงตอนเข้าเต็นท์จะนอนก็มาคิดในใจ ฉันมาลำบากอะไรที่นี่หนาวจนอยากจะกลับ แต่มาแล้วก็ต้องอยู่ให้ได้พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว T___T
9/2/63 เช้าวันใหม่ที่สดใส ตื่นมาตี 5 โผล่หน้าออกมานอกเต็นท์ คือเย็นมาก มืดสนิท กลับเข้าไปนอนห่อผ้าต่อ หกโมงเช้าเริ่มมีแสงแปรงฟันทำธุระส่วนตัว แต่งตัวตามนัดหมาย แสงเริ่มมานั่งแต่งได้ บอกเลยหน้าแน่นกว่าไปทำงานอีก ปัดไปก่อนเดี๋ยวอ่อนเอง 555 ธีมโบฮีเมี่ยน และอีกกลุ่มคือ พาสเทล ชุดที่ได้มาคือพริ้วมาก ลมเย็นๆ อากาศดีๆ ดีที่ไม่ตาย 555 หนาวจริงลมแรง ขี้มูกไหล แสงเริ่มมาพร้อมไปถ่ายรูปกันค่ะ ภาพที่ได้ก็เป็นอีกวิวนึงตอนพระอาทิตย์ขึ้น มีหมอกจางๆ คือไปแล้วหลงวิว 
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็ลงมาเก็บของ ทานอาหารเช้ากันค่ะ ขนมปังแยม กาแฟ โอวัลติน บอกเลย ขนมปังบี้ๆ เย็นๆ แต่อร่อยทุกอย่าง หลังกินเสร็จขยะช่วยกันเก็บทางลูกหาบจะเผานะคะ ถ้าอันไหนพอจะพกมาทิ้งด้วยอยากแนะนำให้เราเอาลงมาทิ้งข้างล่าง  ระหว่างทางเดินกลับก็ได้แวะถ่ายรูปอีกนะคะ วิวตอนสายก็สวยอีกแบบค่ะ  ทางเดินกลับจะใช้ทางลัดนะคะ เป็นทางลูกหาบเดินค่ะ จะไม่ผ่านสนามกอล์ฟช้าง มาโผล่เนินหมาหอบเลย พอมาทางลัดแรงก็เหลือใช้เวลาน้อยแรงยังมีบางช่วงก็วิ่งลงมาค่ะ ถือว่าเทรลเล็กๆ ลงมาถึงจุดลานจอด ก็มีร้านขายน้ำ โค๊กใส่น้ำแข็ง นี่แหละที่รอคอย แต่อดจ้า น้ำแข็งหมด T__T ไปค่ะเดินทางกลับกันทางเดิมนั่งรถกระบะ ฝุ่นตลบ 
มาถึงศูนย์บริการท่องเที่ยวก็แวะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวต่อ  ร้านอิ่ม-อาบ ค่าบริการ 50 บาท  พออิ่มท้อง เดินหากาแฟสด น้ำเสาวรสให้ชื่นใจ ของฝากก็ผลไม้บนดอยที่ชาวเขาเอามาให้เลือกซื้อ  หลังจากอิ่มท้องแล้วก็กลับกันค่ะ
ขึ้นรถเดินทางสู่กรุงเทพ คราวนี้ก็ได้เจอทางคด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่