.ไปเลยดีมั้ยนะ จองตั๋วเลยละกัน หรือจะรอก่อนดี จะลังเลทำไมก็ไปคนเดียวทุกที แต่รอไม่ไหวแล้ว ไปเหอะ ไปเลยล้ะกัน
.รอไปช่วงต้นปีดิ ไปด้วยกัน ตอนนั้นทุ่งหญ้าเป็นสีทองเลยนะ
. . .
10 มกราคม พ.ศ.2562
กับการเดินทางไปเชียงใหม่……อีกครั้ง
ฟังดูเหมือนยาวนานมากที่ไม่ได้ไปเชียงใหม่
แต่ความจริงแล้วคือเพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ได้อาทิตย์กว่าๆ
อีกครั้งกับการเดินป่า เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้เดินทางลำพัง
คำชักชวนจากเพื่อนร่วมทางที่ได้รู้จักกันบนดอยหลวงเชียงดาวทำให้เราใจอ่อน ยอมอดทนรอที่จะไปพบกับทุ่งหญ้าสีทองในเดือนมกราคม
ม่อนจอง ทุ่งหญ้าสีทอง กับ ยอดหัวสิงห์
และการเดินทางผ่านม้วนฟิล์ม-.
เช้ามืด เวลาตี3 ของวันศุกร์ที่11 มกราคม
เสียงนาฬิกาปลุก เสียงแมวร้อง เสียงเพื่อนข้างๆที่ลุกขึ้นมาโวยวายเพราะข้างห้องเสียงดัง
เราตื่นขึ้นมาแบบงัวเงีย เอาจริงๆเรารู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางแล้ว
กระเป๋าถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยพร้อมที่จะออกเดินทาง
การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นที่ ศูนย์วัฒนธรรม จ.เชียงใหม่
เรานัดรถตู้และพี่ที่ร่วมเดินทางอีก2คนไว้เวลาตี4:30
หน้าศูนย์วัฒนธรรม มีรถตู้จอดรออยู่สองสามคัน
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมุ่งหน้าไป อ.อมก๋อยอย่างแน่นอน
คุณลุงรถตู้กล่าวทักทายเราอย่างสดใสก่อนที่จะลำเลียงกระเป๋าของนักเดินทางขึ้นไปเก็บไว้บนหลังคารถ
ครั้งนี้ผู้ร่วมเดินทางในรถมีจุดมุ่งหมายเดียวกันเกือบทั้งหมด คือไปพิชิตยอดหัวสิงห์ ที่ดอยม่อนจอง
จากตัวเมืองเชียงใหม่ ถึง อำเภออมก๋อย ใช้เวลาเดินทางประมาณ5ชั่วโมง
5ชั่วโมงแหน่ะ จะทำอะไรดี คำตอบที่ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นการ
"นอน"
. .
.
เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆเราถูกปลุกขึ้นมา
คุณลุงรถตู้พาพวกเรามาแวะที่ตลาดเพื่อซื้อข้าวกลางวันและวัตถุดิบสำหรับมื้อเย็นบนดอยม่อนจอง
ด้วยความง่วง เราก้ฝากเรื่องอาหารการกินให้พี่ๆอีกสองคนดูแล
ก่อนจะหลับตาลง นอนต่อ
.
ผ่านไป5ชั่วโมง
เราเดินทางมาถึงเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ
ขั้นตอนการติดต่อที่หน่วยก็คล้ายๆกับทุกๆครั้ง
หลังจากลงชื่อเรียบร้อย รถโฟวิวก็มารอแล้ว ก็ถึงเวลาลุยแล้วล่ะ
(พาร์ทนี้ขอข้ามรูปสวยๆระหว่างทางไปเลย ทุกคนแย่งกันขึ้นกระบะหลังหมด เหลือที่นั่งในรถว่างๆเราก็คงหนีไม่พ้นที่จะอาสานั่งในรถให้เอง)
ใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงบนรถโฟวิว เราก็เดินทางมาถึงจุดเริ่มต้นเดินขึ้นดอยม่อนจอง
ระยะทางการเดินที่ดอยม่อนจองอยู่ราวๆ5-6กิโลเมตร เส้นทางเป็นทางเดินขึ้นเกือบตลอดทั้งเส้น มีสลับทางลงบางเล็กๆน้อยๆ
เล่นเอาเหงื่อตกกันไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว แต่ดีหน่อยไม่ต้องปีนต้องป่ายอะไร เป็นทางที่เดินง่ายแต่เหนื่อยเอาเรื่อง
วันที่เรามาค่อนข้างมีหลายกรุ้ปมาด้วยเช่นกัน
ตลอดทางเดินจึงคึกคักไม่น้อย มีเสียงพูดคุย รอยยิ้ม เสียงทักทายกันตลอดเส้นทางเดิน
แน่นอนว่าพี่ๆทั้ง2คนที่ร่วมเดินทางกับเรานั้นเดินป่ากันมาอย่างเชี่ยวชาญมากแล้ว
ก็ไม่แปลกที่จะไม่ได้ยินเสียงบ่นว่าเหนื่อยเลยซักครั้ง
พี่คนนึงของเราอาสาเดินนำไปก่อนเพราะอยากไปจับจองที่กางเต็นท์ดีๆให้
ส่วนเราเองก็เดินสลับพักสลับถ่ายรูปไปเรื่อยๆตลอดทาง หยุดดื่มน้ำบ้าง ชมวิวบ้าง
จนไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ระยะทางไกลเท่าไร แต่ในที่สุดเราก้เดินมาถึงเนินชันสูง
ข้างบนนั้นคือที่ๆเราจะขึ้นไป
ไม่แปลกใจเลยถ้าจะหอบตามชื่อเนิน
เวลา 14:30
ทั้งหมอก ทั้งแดด ทั้งลม รวมถึงความเหนื่อย
เมื่อไรจะถึง ใกล้ถึงรึยัง นี่คือสิ่งที่เราคิดดังมากอยู่ในใจ
ทุกครั้งที่เหนื่อย เราจะเริ่มมองไปรอบๆตัวดูว่ามีอะไรช่วยให้เราหายเหนื่อยได้บ้าง วิวข้างทางสวยมาก อากาศดีมาก
ที่สำคัญคือได้ยินเสียงคนดังมาแว่วๆแล้ว จุดกางเต็นท์เราอยู่ไม่ไกลแล้ว
จุดกางเต็นท์ของเราเป็นพื้นเรียบขนาดพอเหมาะกับ2เต็นท์ และยังเหลือที่เป็นลานเล็กๆเอาไว้นั่งคุยกัน
หลังจากวางข้าวของ พักกันให้หายเหนื่อย ก้ถึงเวลาอาหารกลางวันที่เราซื้อกันมาจากตลาด
ไก่ปิ้งมื้อกลางวันที่กินในช่วงบ่ายแก่ๆของวันนี้อร่อยกว่าทุกที อร่อยเหมือนไม่ใช่แค่ไก่ปิ้ง
แปลกดีที่ควันไฟที่ลอยฟุ้งไปทั่ว ก็สร้างความรู้สึกอบอุ่นไปอีกแบบ
เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงให้เรานั่งพัก ดื่มด่ำกับธรรมชาติ อากาศเย็นๆ นั่งคุยนั่งเล่น ก่อนจะเดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดหัวสิงห์กัน
เราคิดว่าต่อจากนี้เราขอให้รูปถ่ายค่อยๆทำหน้าที่ของมัน
ค่อยๆเล่าบรรยากาศ ความรู้สึกผ่านม้วนฟิล์มม้วนนี้
เราจำทุกความรู้สึกของวันนั้นได้ เสียงลมที่พัด กลิ่นหญ้า อุณหภูมิที่ลดลงตามช่วงเวลา
คำทักทายจากคนแปลกหน้า รอยยิ้มที่เกิดจากการหยอกล้อ
ทุ่งหญ้าสีทองที่ได้มาเห็นกับตาตามสัญญาของคนเชิญชวน
ยอดหัวสิงห์ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ถูกถ่ายออกมาด้วยความตั้งใจ
แตกต่างกับ
รูปถ่ายหลายใบที่ถูกถ่ายโดยไม่ได้ตั้งตัว
แสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า เป็นเหมือนเสียงกระซิบที่บอกเราว่า “วันใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว”
เอาจริงๆแล้ว ถ้าถามว่ามาเดินป่าต้องทำอะไรบ้าง? คำตอบก็คงจะเหมือนๆกันหมด
เย็นไปดูพระอาทิตย์ตก ทำอาหาร กางเต็นท์ กลางคืนดูดาว เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
แต่สำหรับเราแล้ว มันไม่มีตารางแน่ชัดว่าเราต้องทำอะไรตอนไหน ทุกอย่างล้วนคาดเดาไม่ได้
มันซ่อนอยู่ในสิ่งที่เราได้พบเจอ ทั้งจุดเริ่มต้น ทั้งระหว่างทาง และจุดหมายปลายทาง ผู้คน สภาพอากาศ
มันไม่ใช่แค่สถานที่ แต่มันเป็นเรื่องราวของความรู้สึก ความสัมพันธ์
สีของรูปถ่าย สิ่งที่เราถ่าย ทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาอย่างตรงไปตรงมา
สุดท้ายนี้ขอบคุณ”พี่บอล”กับ”พี่บีน”สำหรับความทรงจำที่นึกถึงทีไรก็คงอดยิ้มไม่ได้
ขอบคุณที่ทำให้การเดินทางในครั้งนี้มีความหมาย
หางฟิล์มรูปนี้คงจะแทนคำขอบคุณในทุกความสัมพันธ์ทุกความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นที่นี่
ขอเก็บทุกอย่างไว้ในความทรงจำ ไว้ในรูปถ่าย ไว้ในใจ : )
ดอยม่อนจอง
วันที่สิบเอ็ด เดือนที่หนึ่ง ปีสองพันห้าร้อยหกสิบสอง - วันที่สิบสอง เดือนที่หนึ่ง ปีสองพันห้าร้อยหกสิบสอง
ชัญญานุช
สรุปค่าใช้จ่ายและการเดินทางทริปนี้
๑.ออกเดินทางเช้าวันที่ ๑๐ โดยรถทัวร์นอนจากกรุงเทพ-เชียงใหม่ สมบัติทัวร์ ราคา ๗๕๙ บาท
๒.ถึงเชียงใหม่ช่วงหัวค่ำวันที่ ๑๐ ค่าที่พักไม่เสียเพราะหนีไปนอนห้องเพื่อน
๓.เช้าวันที่ ๑๑ ค่ารถตู้จากเชียงใหม่-หน่วยรักษาพันธ์สัตว์ป่าอมก๋อย ๒๐๐ บาท
๔.ค่าอาหารกลางวันไม่ได้จ่ายเพราะหลับอยู่บนรถ
๕.ค่ารถโฟวิวไปยังจุดเริ่มเดิน ๔๔๐ บาท (ไปหารกับกลุ่มอื่นๆ) (ราคาเต็ม๓๕๐๐บาท)
๖.วันที่ ๑๒ ค่ารถตู้กลับจากอมก๋อย-เชียงใหม่ ๒๐๐ บาท
รวมค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางทั้งหมด ๑๕๙๙ บาท
ฝากติดตามการเดินทางของเราที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปกับใคร ไปเมื่อไร
ทาง Instagram : proudchanya
ไม่ใช่แค่เรื่องเที่ยวแต่รวมถึงชีวิตธรรมดาๆของเราด้วย
ยินดีให้คำตอบสำหรับทุกคำถามนะคะ
ดีใจที่เข้ามาอ่านกัน .-
เรื่องเล่าบนม้วนฟิล์ม -. ทุ่งหญ้าสีทองที่ม่อนจอง และยอดหัวสิงห์
.รอไปช่วงต้นปีดิ ไปด้วยกัน ตอนนั้นทุ่งหญ้าเป็นสีทองเลยนะ
. . .
10 มกราคม พ.ศ.2562
กับการเดินทางไปเชียงใหม่……อีกครั้ง
ฟังดูเหมือนยาวนานมากที่ไม่ได้ไปเชียงใหม่
แต่ความจริงแล้วคือเพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ได้อาทิตย์กว่าๆ
อีกครั้งกับการเดินป่า เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้เดินทางลำพัง
คำชักชวนจากเพื่อนร่วมทางที่ได้รู้จักกันบนดอยหลวงเชียงดาวทำให้เราใจอ่อน ยอมอดทนรอที่จะไปพบกับทุ่งหญ้าสีทองในเดือนมกราคม
เสียงนาฬิกาปลุก เสียงแมวร้อง เสียงเพื่อนข้างๆที่ลุกขึ้นมาโวยวายเพราะข้างห้องเสียงดัง
เราตื่นขึ้นมาแบบงัวเงีย เอาจริงๆเรารู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางแล้ว
กระเป๋าถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยพร้อมที่จะออกเดินทาง
การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นที่ ศูนย์วัฒนธรรม จ.เชียงใหม่
เรานัดรถตู้และพี่ที่ร่วมเดินทางอีก2คนไว้เวลาตี4:30
หน้าศูนย์วัฒนธรรม มีรถตู้จอดรออยู่สองสามคัน
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมุ่งหน้าไป อ.อมก๋อยอย่างแน่นอน
คุณลุงรถตู้กล่าวทักทายเราอย่างสดใสก่อนที่จะลำเลียงกระเป๋าของนักเดินทางขึ้นไปเก็บไว้บนหลังคารถ
ครั้งนี้ผู้ร่วมเดินทางในรถมีจุดมุ่งหมายเดียวกันเกือบทั้งหมด คือไปพิชิตยอดหัวสิงห์ ที่ดอยม่อนจอง
จากตัวเมืองเชียงใหม่ ถึง อำเภออมก๋อย ใช้เวลาเดินทางประมาณ5ชั่วโมง
5ชั่วโมงแหน่ะ จะทำอะไรดี คำตอบที่ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นการ
"นอน"
. .
.
เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆเราถูกปลุกขึ้นมา
คุณลุงรถตู้พาพวกเรามาแวะที่ตลาดเพื่อซื้อข้าวกลางวันและวัตถุดิบสำหรับมื้อเย็นบนดอยม่อนจอง
ด้วยความง่วง เราก้ฝากเรื่องอาหารการกินให้พี่ๆอีกสองคนดูแล
ก่อนจะหลับตาลง นอนต่อ
.
ผ่านไป5ชั่วโมง
เราเดินทางมาถึงเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ
เล่นเอาเหงื่อตกกันไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว แต่ดีหน่อยไม่ต้องปีนต้องป่ายอะไร เป็นทางที่เดินง่ายแต่เหนื่อยเอาเรื่อง
ตลอดทางเดินจึงคึกคักไม่น้อย มีเสียงพูดคุย รอยยิ้ม เสียงทักทายกันตลอดเส้นทางเดิน
ก็ไม่แปลกที่จะไม่ได้ยินเสียงบ่นว่าเหนื่อยเลยซักครั้ง
ส่วนเราเองก็เดินสลับพักสลับถ่ายรูปไปเรื่อยๆตลอดทาง หยุดดื่มน้ำบ้าง ชมวิวบ้าง
จนไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ระยะทางไกลเท่าไร แต่ในที่สุดเราก้เดินมาถึงเนินชันสูง
ข้างบนนั้นคือที่ๆเราจะขึ้นไป
ที่สำคัญคือได้ยินเสียงคนดังมาแว่วๆแล้ว จุดกางเต็นท์เราอยู่ไม่ไกลแล้ว
จุดกางเต็นท์ของเราเป็นพื้นเรียบขนาดพอเหมาะกับ2เต็นท์ และยังเหลือที่เป็นลานเล็กๆเอาไว้นั่งคุยกัน
หลังจากวางข้าวของ พักกันให้หายเหนื่อย ก้ถึงเวลาอาหารกลางวันที่เราซื้อกันมาจากตลาด
ไก่ปิ้งมื้อกลางวันที่กินในช่วงบ่ายแก่ๆของวันนี้อร่อยกว่าทุกที อร่อยเหมือนไม่ใช่แค่ไก่ปิ้ง
แปลกดีที่ควันไฟที่ลอยฟุ้งไปทั่ว ก็สร้างความรู้สึกอบอุ่นไปอีกแบบ
ค่อยๆเล่าบรรยากาศ ความรู้สึกผ่านม้วนฟิล์มม้วนนี้
เราจำทุกความรู้สึกของวันนั้นได้ เสียงลมที่พัด กลิ่นหญ้า อุณหภูมิที่ลดลงตามช่วงเวลา
คำทักทายจากคนแปลกหน้า รอยยิ้มที่เกิดจากการหยอกล้อ
ทุ่งหญ้าสีทองที่ได้มาเห็นกับตาตามสัญญาของคนเชิญชวน
ยอดหัวสิงห์ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ถูกถ่ายออกมาด้วยความตั้งใจ
แตกต่างกับ
รูปถ่ายหลายใบที่ถูกถ่ายโดยไม่ได้ตั้งตัว
แสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า เป็นเหมือนเสียงกระซิบที่บอกเราว่า “วันใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว”
เย็นไปดูพระอาทิตย์ตก ทำอาหาร กางเต็นท์ กลางคืนดูดาว เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
วันที่สิบเอ็ด เดือนที่หนึ่ง ปีสองพันห้าร้อยหกสิบสอง - วันที่สิบสอง เดือนที่หนึ่ง ปีสองพันห้าร้อยหกสิบสอง
๒.ถึงเชียงใหม่ช่วงหัวค่ำวันที่ ๑๐ ค่าที่พักไม่เสียเพราะหนีไปนอนห้องเพื่อน
๓.เช้าวันที่ ๑๑ ค่ารถตู้จากเชียงใหม่-หน่วยรักษาพันธ์สัตว์ป่าอมก๋อย ๒๐๐ บาท
๔.ค่าอาหารกลางวันไม่ได้จ่ายเพราะหลับอยู่บนรถ
๕.ค่ารถโฟวิวไปยังจุดเริ่มเดิน ๔๔๐ บาท (ไปหารกับกลุ่มอื่นๆ) (ราคาเต็ม๓๕๐๐บาท)
๖.วันที่ ๑๒ ค่ารถตู้กลับจากอมก๋อย-เชียงใหม่ ๒๐๐ บาท
รวมค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางทั้งหมด ๑๕๙๙ บาท
ทาง Instagram : proudchanya
ไม่ใช่แค่เรื่องเที่ยวแต่รวมถึงชีวิตธรรมดาๆของเราด้วย