อารัมภบ่น
ย้อนไปเมื่อหลายปีที่แล้ว สังคมก้อนที่ผมเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ มีมนุษย์หลายคนในนั้นที่ชอบถ่ายรูป
บางคนเรียนถ่ายภาพมา บ้างก็เป็นช่างภาพรับงานอยู่ ด้วยสภาวการณ์เช่นนั้น ทำให้ผมที่ไม่มีความคิดอยากจะมีถ่ายรูปมาก่อน
"เริ่มอยากมีกล้องเป็นของตนเองสักตัว" เพื่อเข้าสังคม จะได้คุยกับพวกเขาเหล่านั้นรู้เรื่อง
การเริ่มต้นถ่ายภาพของผมค่อนข้างง่าย (อาจจะคิดเข้าข้างตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง)
Sony a6000 เป็นกล้องตัวแรกที่ผมมี และเป็นเหมือนอาจารย์ของผมด้วย
ด้วยความที่ผมถ่ายรูปไม่เป็นสักนิด แต่ Live View ของมันสามารถแสดงสี และแสงของภาพได้ตามการตั้งค่าของตัวกล้องแบบ Real Time
ทำให้... แม้ผมจะไม่เข้าใจธรรมชาติที่สัมพันธ์กันของ ค่ารูรับแสง/ความเร็วชัตเตอร์/ISO เลยสักนิดเดียว
แต่การจะถ่ายภาพให้ได้ตามความต้องการเป็นเรื่องง่ายมาก
เริ่มถ่ายภาพ
อย่างที่บอกไว้ทีแรก ผมไม่เคยอยากถ่ายภาพมาก่อน ทำให้ไม่รู้ว่าจะถ่ายอะไร สุดท้ายก็เลยถ่ายแต่แมว ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวนอกเหนือจากมนุษย์ที่ผมมีความรู้สึกดีด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็พบว่าตัวเองชอบถ่ายบุคคล การได้หยุดช่วงเวลาที่ใครสักคนกำลังมีความสุข กลายเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบไปตอนไหนนั้น พระเจ้าเท่านั้นที่อาจรู้คำตอบ
หมดความรู้สึกอยากถ่ายรูป
ตลอดไปไม่ใช่ตลอดกาล หลังจากถ่ายรูปบุคคลอยู่หลายปี เหล่าคนที่เคยอยู่เบื้องหน้าเลนส์ก็ค่อยๆ ห่างหายไปทีละคน ทีละคน แต่ผมก็ยังพยายามออกจากบ้านไปหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการถ่ายภาพอย่างน้อยเดือนละครั้ง และพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ในการถ่ายภาพในสไตล์ที่แตกต่างไปจากเดิม จนกระทั่งวันหนึ่ง...น้องในที่ทำงานได้มาขอคำแนะนำผมในการซื้อกล้อง ด้วยเหตุผลว่า เขาอยากถ่ายภาพ
น้องคนนั้นถ่ายภาพบ่อยมาก กล่าวได้ว่าเป็นคนที่พกกล้องตลอดเวลา และถ่ายอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้ตลอดเวลา ในตอนแรกผมคิดว่าน้องเขาคงแค่ "เห่อ"
แต่ผมคิดผิด แม้จะผ่านไปหลายเดือน เขาก็ยังขยันถ่ายภาพตลอดเวลา และไม่เรื่องมากในการถ่ายภาพซะด้วย จนผมเชื่อว่าเขารักการถ่ายภาพจริงๆ
มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง...ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเลือก แม้กล้องดิจิทัลจะอนุญาตให้เราถ่ายได้อย่างไม่ต้องกลัวเปลืองฟิล์ม
ผมก็ยังพอใจที่จะลั่นชัตเตอร์ ต่อเมื่อผม "พอใจ" เท่านั้น ถ้าผมมีความรู้สึกว่ามันไม่ดี ออกมาไม่สวยแหงๆ
บางคนอาจจะลองถ่ายไว้ก่อน เพราะมันก็ไม่ได้เสียอะไร เดี๋ยวค่อยมาคัดรูปทีหลังก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่ผม โอเค บางครั้งก็ถ่ายให้แหละ แต่ความรู้สึกในใจก็มีรู้สึกขัดแย้งว่า "ทำไมกุต้องถ่ายภาพมุมนี้ด้วยวะ"
เกิดเป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจทุกวันว่า "ผมชอบถ่ายรูปจริงๆ เหรอ?"
สุดท้ายผมก็ทยอยขายเลนส์ออกไปหมด จนเหลือแค่กล้องกับเลนส์ตัวหนึ่ง ที่เก็บไว้เพื่อเผื่อสักวันจะกลับมาถ่าย
แม้มันยังเป็นที่ทับกระดาษอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
กล้องฟิล์ม
ไม่นานมานี้ พี่คนหนึ่งในที่ทำงานได้ซื้อกล้องฟิล์มมาเล่น ทำให้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วในที่ทำงานมีหลายคนที่เล่นกล้องฟิล์มอยู่ ต้องบอกก่อนว่า สมัยที่ยังถ่ายภาพ ผมก็เคยอยากเล่นกล้องฟิล์มอยู่แล้วแหละ แต่ด้วยความที่รุ่นที่ผมอยากได้ ณ เวลานั้น มันพกยาก ถ่ายก็ลำบาก ราคาก็ไม่น้อย ทำให้ผมตัดสินใจปล่อยความฝันนั้นทิ้งเอาไว้ (ตอนนั้นอยากได้ Rollei ROLLEIFLEX)
พี่คนนั้นทำให้ความฝันที่ตกตะกอนไปนาน ฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง และผมก็ไปตกหลุมรักกับกล้องรุ่นหนึ่งที่หน้าตาประหลาดๆ แต่ผมเห็นแล้วต้องใช้คำว่ารักแรกพบ นั่นก็คือ Rollei 35
ถ้าเปรียบเหมือนผู้หญิง สำหรับผมกล้องรุ่นนี้ก็เหมือนสาวตัวเล็ก หุ่นเซ็กซี่ ลองไปอ่านรีวิวในหลายๆ เว็บ คนส่วนใหญ่ก็บอกว่าดี แต่การใช้งานออกจะมี Learning Curve ที่สูงกว่ากล้องฟิล์มรุ่นอื่นที่มือใหม่นิยมเล่นกัน
แต่พอความรักมันเข้าตา เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญ ผมขวนขวายหาซื้อจนได้มาครอบครองในที่สุด
ความสุขที่ได้มาจากความยุ่งยาก
***หมายเหตุ เป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ***
ใช่แล้ว สำหรับคนที่ถ่ายรูปแบบสบายมาก่อนอย่างผม ความลำบากไม่ใช่เรื่องทุกข์ แต่เป็นความสุขในรูปแบบใหม่
1. ประณีตมากขึ้น ยุคนี้ระบบโฟกัสของกล้องดิจิทัลเทพมาก เกาะเป้าหมายแม่นสุดๆ ถ่ายยังไงก็ได้ภาพแน่ๆ โอกาสเสียน้อยมาก แต่ไม่ใช่กับเจ้า Rollei 35 S มีคนบอกว่าหากคล่องแล้ว มันถ่ายได้เร็วมาก ไม่ต้องหยิบขึ้นมาด้วยซ้ำ หันทิศให้ตรง แล้วถ่ายได้เลย แต่นั่นเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ มือใหม่อย่างผม แค่การกะระยะให้ตรง และวัดแสงให้ถูกเป็นเรื่องที่ท้าทายมากทีเดียว
2. คิดเยอะกว่าเดิม ด้วยความที่เป็นฟิล์ม มันมีราคาที่ต้องจ่าย กดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง ผมคิดในใจแล้วว่า 10 บาท มันทำให้ภาพมีความหมายต่อตัวผมมากกว่าเดิม เพราะแต่ละภาพคิดมาแล้วว่าทำไมถึงอยากถ่าย กล้องดิจิทัลมุมเดิมบางทีกด 10 กว่ารูปจนกว่าจะพอใจ แต่กล้องฟิล์มกดแบบนั้นก็ไม่ไหว
3. อยากถ่ายภาพมากขึ้น ฟิล์มม้วนหนึ่งถ่ายได้ประมาณ 36 ภาพ ผมถ่ายภาพแรกไปในวันแรกที่ได้กล้อง ผมไม่รู้เลยว่าผมถ่ายเสียหรือเปล่า อยากเห็นก็ต้องเอาไปล้าง ก่อนเอาไปล้างก็ควรถ่ายให้หมดม้วนเสียก่อน มันเป็นการบังคับให้ผมเข็นตัวเองออกจากบ้านไปผลาญฟิล์มให้หมดม้วน
ภาพจากฟิล์มม้วนแรก (FUJICOLOR 100)
เป็นการเริ่มถ่ายภาพที่เดินออกจากบ้านไปแบบ เอาวะ ถึงจะยากก็ลองสักตั้ง ตอนนั้นมองภาพจาก Live View ดูผลลัพธ์ล่วงหน้าก่อนกดชัตเตอร์ แต่ครั้งนี้เหมือนเริ่มใหม่จากศูนย์ มืดแปดด้านมากๆ กับการเริ่มถ่ายภาพในครั้งนี้ แถมยังดื้อรั้นพยายามถ่ายที่ f/2.8 ทุกครั้งที่พอจะถ่ายได้ ผลออกมา คือ
ยับ เบลอทั้งม้วน ใช่แล้วล่ะ ผมถ่ายเบลอทั้งม้วนเลย T__T
อีกปัญหาหนึ่งที่พบ คือ จัดกรอบภาพยากกว่าที่คิด ส่วนใหญ่ผมถ่ายแบบไม่มอง Viewfinder เล็งแล้วกดเอาเลย ทำเซียนเหมือนเรียนมา แน่นอนว่าภาพหลุดกรอบไปหลายรูปด้วยเช่นกัน ทั้งเบลอ ทั้งหลุดกรอบ ร้านที่ล้างฟิล์มเห็นภาพแล้วอาจจะสงสัยว่า เมิงเอาอะไรมาล้าง
เพื่อเตือนตัวเอง ถึงรูปจะเบลอเราก็จะลงประจาณตัวเอง ไว้ย้ำเตือนความอ่อนหัดของตัวเรา
น้องแมวในที่จอดรถของออฟฟิค ได้รับเกียร์ติเป็นการถ่ายฟิล์มครั้งแรกในชีวิต
คิดว่ากลางภาพแล้ว แต่ความจริง...ไม่ใช่ แถมเบลออีกต่างหาก
ตอนถ่ายไม่รู้เลยว่าสายคล้องกล้อง บังหน้าเลนส์อยู่ ครั้งหน้าต้องระวังมากกว่านี้ อุตส่าห์เป็นภาพแรกที่ไม่ค่อยเบลอละเชียว
ลองลากชัตเตอร์ 1 วินาที แล้วถ่ายดูบ้าง
วัดแสงก็มืดไป f/8 ก็บางไป พอไม่มี Live View แล้วอะไรๆ ก็ยากไปหมด T__T
ไม่มีความชัดในชัตเตอร์ของเรา
การถ่ายแมวเป็นอะไรที่ยากมาก เพราะมันพยายามเดินเข้ามาหาเราตลอดเวลา
ใกล้หมดม้วน เหมือนเริ่มจับจุดได้ ภาพค่อยๆ ชัดขึ้น
อันนี้คิดว่าสปีตชัตเตอร์น่าจะน้อยไปสักหน่อย วัดแสงก็แย่ ท้องฟ้าสีออกมาอนาถเกิน
ความรู้สึกหลังใช้กล้องฟิล์มผ่านไป 1 ม้วน
ทำไมมันใช้ยากจังวะ นี่เป็นประโยคแรกที่ผมคิดในใจ เมื่อได้กล้องมาถืออยู่ในมือ สำหรับมือใหม่สุดๆ อย่างผม เจ้าวัตถุโบราณชิ้นนี้ซับซ้อนยิ่งกว่ากล้องดิจิทัลที่ผมผ่านมือมาหลายรุ่นเสียอีก สิ่งที่ยากสำหรับผมในการใช้กล้องตัวนี้มีอยู่ 2 เรื่อง
1. การโฟกัส Rollei 35 S ระบบโฟกัสเป็นแบบ Viewfinder ไม่มีระบบ Parallel Focus ช่วยในการเล็งโฟกัสเหมือนกับกล้อง Rangefinder สิ่งที่คุณต้องทำคือ หมุนวงแหวนกะระยะที่หน้าเลนส์ กับเป้าหมายที่เราจะถ่าย อันนี้เหมือนจะง่าย ถ้าเปิดรูรับแสงแคบๆ ก็คงไม่ยากเท่าไหร่มั้ง (ยังไม่ได้ลอง)
2. ฟิล์มมีข้อจำกัดของมัน อันนี้ไม่ผิดที่กล้อง เนื่องจากเป็นธรรมชาติของกล้องฟิล์ม เป็นปัญหาที่คนเริ่มต้นถ่ายภาพจากกล้องดิจิทัลอย่างผมไม่เคยคิดว่ามีมาก่อน คือ เราเปลี่ยนค่า ISO ไม่ได้ เนื่องจาก ISO อยู่ที่ฟิล์ม (จริงๆ ก็มีเทคนิค Push/Pull อยู่ แต่มันควรทำตั้งแต่ภาพแรก มาเปลี่ยนเอากลางคัน ผมไม่แน่ใจเรื่องการล้างว่าผลจะเป็นอย่างไร รอผู้รู้มาแนะนำน่าจะดีกว่า) ม้วนแรกผมใช้ FUJICOLOR 100 ถ่ายยากทั้งกลางวัน และกลางคืนเลย กลางวันเจอปัญหาสว่างไป เนื่องจากสปีตชัตเตอร์กล้องรุ่นนี้ทำได้สูงสุด 1/500s ต้องแก้ด้วยการดันรูรับแสงให้แคบลง ซึ่งจังหวะนั้นถ้าผมอยากใช้ f/2.8 นี่หมดสิทธิ์ ส่วนกลางคืนก็มืดไป ต้องเปิดชัตเตอร์นาน ถ่ายยากอีก หากเป็นกล้องดิจิทัลเราก็แค่ดัน ISO เท่านั้นเอง
แม้ฟิล์มม้วนแรกของผมเองจะออกมาพังพินาศ แต่ก็รู้สึกสนุกกับการถ่ายภาพเพิ่มขึ้นนะ
ขอให้ทุกท่านพบกับความสุขในการถ่ายภาพ สวัสดี
Rollei 35 S - ความรู้สึกเปลี่ยนไปเมื่อเริ่มถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม
ย้อนไปเมื่อหลายปีที่แล้ว สังคมก้อนที่ผมเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ มีมนุษย์หลายคนในนั้นที่ชอบถ่ายรูป
บางคนเรียนถ่ายภาพมา บ้างก็เป็นช่างภาพรับงานอยู่ ด้วยสภาวการณ์เช่นนั้น ทำให้ผมที่ไม่มีความคิดอยากจะมีถ่ายรูปมาก่อน
"เริ่มอยากมีกล้องเป็นของตนเองสักตัว" เพื่อเข้าสังคม จะได้คุยกับพวกเขาเหล่านั้นรู้เรื่อง
การเริ่มต้นถ่ายภาพของผมค่อนข้างง่าย (อาจจะคิดเข้าข้างตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง)
Sony a6000 เป็นกล้องตัวแรกที่ผมมี และเป็นเหมือนอาจารย์ของผมด้วย
ด้วยความที่ผมถ่ายรูปไม่เป็นสักนิด แต่ Live View ของมันสามารถแสดงสี และแสงของภาพได้ตามการตั้งค่าของตัวกล้องแบบ Real Time
ทำให้... แม้ผมจะไม่เข้าใจธรรมชาติที่สัมพันธ์กันของ ค่ารูรับแสง/ความเร็วชัตเตอร์/ISO เลยสักนิดเดียว
แต่การจะถ่ายภาพให้ได้ตามความต้องการเป็นเรื่องง่ายมาก
เริ่มถ่ายภาพ
อย่างที่บอกไว้ทีแรก ผมไม่เคยอยากถ่ายภาพมาก่อน ทำให้ไม่รู้ว่าจะถ่ายอะไร สุดท้ายก็เลยถ่ายแต่แมว ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวนอกเหนือจากมนุษย์ที่ผมมีความรู้สึกดีด้วย
ความสุขที่ได้มาจากความยุ่งยาก
***หมายเหตุ เป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ***
ใช่แล้ว สำหรับคนที่ถ่ายรูปแบบสบายมาก่อนอย่างผม ความลำบากไม่ใช่เรื่องทุกข์ แต่เป็นความสุขในรูปแบบใหม่
1. ประณีตมากขึ้น ยุคนี้ระบบโฟกัสของกล้องดิจิทัลเทพมาก เกาะเป้าหมายแม่นสุดๆ ถ่ายยังไงก็ได้ภาพแน่ๆ โอกาสเสียน้อยมาก แต่ไม่ใช่กับเจ้า Rollei 35 S มีคนบอกว่าหากคล่องแล้ว มันถ่ายได้เร็วมาก ไม่ต้องหยิบขึ้นมาด้วยซ้ำ หันทิศให้ตรง แล้วถ่ายได้เลย แต่นั่นเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ มือใหม่อย่างผม แค่การกะระยะให้ตรง และวัดแสงให้ถูกเป็นเรื่องที่ท้าทายมากทีเดียว
2. คิดเยอะกว่าเดิม ด้วยความที่เป็นฟิล์ม มันมีราคาที่ต้องจ่าย กดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง ผมคิดในใจแล้วว่า 10 บาท มันทำให้ภาพมีความหมายต่อตัวผมมากกว่าเดิม เพราะแต่ละภาพคิดมาแล้วว่าทำไมถึงอยากถ่าย กล้องดิจิทัลมุมเดิมบางทีกด 10 กว่ารูปจนกว่าจะพอใจ แต่กล้องฟิล์มกดแบบนั้นก็ไม่ไหว
3. อยากถ่ายภาพมากขึ้น ฟิล์มม้วนหนึ่งถ่ายได้ประมาณ 36 ภาพ ผมถ่ายภาพแรกไปในวันแรกที่ได้กล้อง ผมไม่รู้เลยว่าผมถ่ายเสียหรือเปล่า อยากเห็นก็ต้องเอาไปล้าง ก่อนเอาไปล้างก็ควรถ่ายให้หมดม้วนเสียก่อน มันเป็นการบังคับให้ผมเข็นตัวเองออกจากบ้านไปผลาญฟิล์มให้หมดม้วน
ภาพจากฟิล์มม้วนแรก (FUJICOLOR 100)
เป็นการเริ่มถ่ายภาพที่เดินออกจากบ้านไปแบบ เอาวะ ถึงจะยากก็ลองสักตั้ง ตอนนั้นมองภาพจาก Live View ดูผลลัพธ์ล่วงหน้าก่อนกดชัตเตอร์ แต่ครั้งนี้เหมือนเริ่มใหม่จากศูนย์ มืดแปดด้านมากๆ กับการเริ่มถ่ายภาพในครั้งนี้ แถมยังดื้อรั้นพยายามถ่ายที่ f/2.8 ทุกครั้งที่พอจะถ่ายได้ ผลออกมา คือ ยับ เบลอทั้งม้วน ใช่แล้วล่ะ ผมถ่ายเบลอทั้งม้วนเลย T__T
อีกปัญหาหนึ่งที่พบ คือ จัดกรอบภาพยากกว่าที่คิด ส่วนใหญ่ผมถ่ายแบบไม่มอง Viewfinder เล็งแล้วกดเอาเลย ทำเซียนเหมือนเรียนมา แน่นอนว่าภาพหลุดกรอบไปหลายรูปด้วยเช่นกัน ทั้งเบลอ ทั้งหลุดกรอบ ร้านที่ล้างฟิล์มเห็นภาพแล้วอาจจะสงสัยว่า เมิงเอาอะไรมาล้าง
เพื่อเตือนตัวเอง ถึงรูปจะเบลอเราก็จะลงประจาณตัวเอง ไว้ย้ำเตือนความอ่อนหัดของตัวเรา