เหตุผลของการใช้กล้องฟิล์ม ในวันที่โลกใช้ไอโฟนถ่ายรูป

ประมาณปี 1999 เรายังจำได้ว่าเป็นปีแรกที่เราได้สัมผัสกับกล้องดิจิตอลตัวแรก เป็นกล้องดิจิตอลมือสองของ Fujifilm ที่พี่สาวหิ้วกลับมาให้จากญี่ปุ่น ขนาดความละเอียด 1 ล้านพิกเซล เค้าบอกว่า เป็นตัวตกรุ่นแล้วที่ญี่ปุ่น เลยขายถูก ในราคา 10,000 บาท ถือว่าล้ำมากสำหรับวันนั้น สิ่งแรกที่คนเราจะรู้สึกได้และอยากทำกับการมีกล้องดิจิตอลครั้งแรก (ลองจินตนาการในยุคนั้นนะ คนยังถ่ายกล้องฟิล์มกันอยู่) คือ เราสามารถถ่ายทุกสิ่งรอบตัวโดยไม่บันยะบันยัง และไม่ต้องแคร์คนล้างอัดรูป (แม้ว่าเมมโมรี่กล้องวันนั้น จะมีแค่ 16 MB) มันเป็นความแปลกใหม่จนเราลืมเจ้ากล้องฟิล์มไปในทันที เราพกกล้องตัวนั้นติดตัวตลอดทุกๆวัน ถ่ายไปเรื่อยๆอย่างมีความสุข


ชอบแก๊งค์ Olympus Pen เป็นพิเศษครับ

เวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ก็ 15 ปี แปลกที่ความล้ำของเทคโนโลยีวันนี้ ทั้งถ่ายรูปได้สวยขึ้น ง่ายขึ้นไม่รู้กี่เท่า มันกลับทำให้เรายิ่งคิดถึงเครื่องมือเก่าๆ ที่ล้าสมัยเข้าไปทุกที ในวันที่มือถือถ่ายรูปได้คุณภาพดี โดยเฉพาะไอโฟนที่ก้าวไปถึงไหนแล้ว บางคนว่ามันดีกว่ากล้องดิจิตอลหลายๆตัวในตลาด จนตลาดกล้องคอมแพคดิจิตอลสะเทือน ต้องดิ้นรนกันอย่างกระอักเลือดในยามนี้

เราเริ่มต้นเขียนบล็อคเกี่ยวกับกล้อง Mirrorless ที่สามารถเอาเลนส์เก่าๆมาใช้ได้ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน วันนั้นเรายังปฏิเสธการถ่ายรูปด้วยฟิล์มแบบเต็มตัว เพราะรู้สึกไม่มั่นใจว่า เราจะใช้มันในชีวิตประจำวันยังไง ถึงแม้ว่าเราจะไล่ถอดเลนส์เก่าของพ่อที่เก็บเอาไว้ เอามาใส่กับกล้องดิจิตอลอย่างสนุกสนาน ได้รูปสวย รูปโทนเก่าถูกใจมาก แม้แต่หลายๆคนที่เล่นกล้องฟิล์มยังคิดว่าเราถ่ายรูปด้วยฟิล์มเลย



รูปที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอล Fujifilm X-M1 กับเลนส์มือหมุนเก่าๆ สองรูปนี้ใช้เลนส์ของ Olympus Pen F 20mm F3.5 ปี 1966

แต่ความรู้สึกบางอย่างมันเหมือนกับยังไม่สุด ประกอบกับได้ไปอ่านประวัติกล้อง Olympus ตั้งแต่ปลายยุค 1950 ประวัติของคุณ Maitani ผู้ที่ออกแบบกล้องในตำนานหลายๆรุ่นของ Olympus จากการที่ได้ลองใช้เลนส์ของ Olympus ในยุค ‘60s กับกล้องดิจิตอลจนเมามันตลอดทริปเที่ยวญี่ปุ่น ทำให้เราดั้นด้นไปถอยกล้องฟิล์ม Olympus Pen F กล้อง SLR แบบ Half Frame ในตำนานมาใช้อย่างจริงจัง


กล้อง Olympus Pen F เราติดตัวแทนกล้องดิจิตอลไปแล้ว

ฟิล์มม้วนแรกคือ Kodak Color Plus 200 ราคา 65 บาทเท่านั้น ต่อด้วย ILFORD PAN 400 ฟิล์มขาวดำที่ทดลองถ่ายเพื่อไปลองล้างฟิล์มเล่นกันเองกับเพื่อน จากนั้นมันก็ตามมาด้วยม้วนที่ 3 ม้วนที่ 4 เรื่อยๆ ผลจากการถ่ายรูปในม้วนแรกๆ ออกจะมั่วๆอยู่ เพราะยังไม่ชินกับการถ่ายด้วยฟิล์ม



รูปแรกๆที่ลองถ่ายด้วยฟิล์ม

วันที่เราได้ดูรูปที่ล้างออกมา รูปส่วนใหญ่ไม่ได้ดูโอเคแบบที่เคยถ่ายกับดิจิตอลเอาซะเลย แต่เรากลับพอใจกับความรู้สึกในรูปๆนั้น ถึงบางรูปก็ต้องโยนทิ้งกันไป แต่เรากลับได้รับความรู้สึกตอนที่ได้ถ่ายรูปนั้นกลับมา หลายๆรูปก็ภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่ก็ถ่ายไม่ได้สวยเนี๊ยบอะไรสักนิด เป็นรูปธรรมดาๆรูปนึง อะไรคือคำตอบของการถ่ายฟิล์ม?




ช่วงเวลาที่ถ่ายด้วยฟิล์มไปไม่กี่ม้วน เราสังเกตตัวเองว่า

1.เราวางกล้องดิจิตอลไปเฉยๆเลย ไม่ได้ถ่ายสักรูป โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่ชัวร์ที่จะมีแค่กล้องฟิล์มพกไปไหนต่อไหน (ซึ่งตอนแรกๆต้องพกไปด้วย ด้วยความคิดที่ว่า เดี๋ยวไม่ชัวร์นั่นแหล่ะ)

2.เราใช้เวลาในการถ่ายแต่ละรูปโดยเฉลี่ย นานขึ้นมากๆ บางรูปก็หมุนแล้วหมุนอีก ปรับแล้วปรับอีก ถ้าไอ้ที่จะถ่ายมันไม่ได้หนีไปไหนนะ ถ้าเป็นรูป Street ก็รีบปรับรีบกดไปเลย แต่รวมๆคือเราตั้งใจกับการถ่ายมาก เหมือนมีสมาธิกับมัน

3.เราไม่ค่อยได้ถ่ายซ้ำที่จุดเดิมมากนัก เพราะทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าคือสิ่งที่เราต้องการ

4.เราไม่หมกมุ่นกับผลที่ตามมาจากการถ่ายเลย คือกดชัตเตอร์แล้วจบกัน (แหงล่ะ.. มันไม่มีจอให้ดูหนิ)



ด้วยข้อสังเกตทั้งหมด ทำให้เราคิดเป็นเหตุผลที่เราอยากใช้กล้องฟิล์มถ่ายรูป แทนที่จะใช้กล้องดิจิตอล

1.แม้ว่ากล้องดิจิตอลจะสามารถทำรูปได้เหมือนฟิล์มแค่ไหน ซึ่งเรามั่นใจว่าเราทำได้เหมือนแล้ว แต่..มันกลับไม่เหมือนเลยเมื่อได้มาถ่ายรูปเป็นฟิล์มแล้ว ซึ่งผลนั้นไม่ใช่ในเชิงที่จับต้องได้นะ อย่างน้อย ฟิล์มไม่มีประตูไหนที่จะสู้กับดิจิตอลในเชิงคุณภาพในการถ่าย ความคม ความสด ความสะดวก อะไรก็ตาม แต่ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจากฟิล์ม เราต้องการแค่ฟิลลิ่งจากการบันทึกความทรงจำ

2.เรารู้สึกว่ามีสมาธิ มีความตั้งใจมากในการถ่ายรูป โดยไม่ได้ถ่ายส่งเดชแบบกะว่าเดี๋ยวก็สวยสักรูป เดี๋ยวก็เอาไปใน Filter มันเหมือนเรามีโอกาสแค่ครั้งเดียวในการทำให้มันสวย แน่นอนว่าเราจะไม่ปล่อยโอกาสนั้นไปแบบมักง่ายเลย ทำให้เรามองอะไรๆได้ใส่ใจมากขึ้น ไม่ใช่ความสวยแบบผ่านๆ

3.ความสุขของการถ่ายรูปด้วยฟิล์มอีกอย่างคือ จังหวะที่ได้กดชัตเตอร์ มันเหมือนการปลดปล่อยอะไรบางอย่าง หลายๆครั้ง ได้หยิบกล้องแล้วไปเล็งๆสักรูป กดชัตเตอร์สักที มันเหมือนได้คลายเครียดอย่างบอกไม่ถูก

4.มีคนบอกว่า การถ่ายรูปด้วยฟิล์ม เหมือนการวาดรูปบนผืนผ้า เวลาที่เราส่อเข้าไปใน Viewfinder เหมือนศิลปินที่เล็งผืนผ้าสีขาว และจินตนาการภาพที่จะวาดในหัว แล้วก็กดชัตเตอร์ เสมือนการละเลงสีลงไป มันคลาสสิคแบบนั้นเลยแหล่ะ

5.การเก็บรูปด้วยฟิล์ม มันอยู่กับเราได้นานจริงๆ ไม่เชื่อลองคิดถึงรูปที่เราถ่ายสมัยเด็กๆที่เป็นฟิล์ม ถ้าฟิล์มยังเก็บไว้อยู่ ลองเอามาสแกนดูสิ มันก็อยู่แบบนั้นแหล่ะ และมันเป็นความทรงจำที่ดีที่เราจำรูปทุกรูปในอัลบั้มนั้นได้ ในขณะที่รูปในไอโฟนน่ะ.. มีรูปอะไรบ้างก็ลืมไปแล้ว แถมไม่เคยได้ย้อนดูสักเท่าไหร่หรอก

6.ที่สุดของเหตุผลการถ่ายรูปของเราที่คิดได้ คือ ทุกครั้งที่เราจะถ่าย เราชอบบรรยากาศตอนถ่ายของภาพนั้นๆ เพราะบรรยากาศนั้น เราเลยอยากหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย และหลังจากกดชัตเตอร์ไปแล้ว เราไม่เคยต้องกลับมาหมกมุ่นกับภาพที่ได้เลย ว่าจะสวยไม่สวย ต้องถ่ายใหม่มั๊ย ต้องปรับแสง ต้อง Crop ต้อง Rotate เราแค่วางกล้องลงเหมือนเดิม แล้วก็อยู่กับบรรยากาศที่เราชอบนั้นต่อไปอย่างไม่เสียเวลา มันมีความสุขมาก บ่องตง…



ความกังวลอันนึงก่อนที่เราจะถ่ายรูปด้วยฟิล์มคือ ค่าฟิล์มนี่แหล่ะ.. เคยได้ยินมาบ้างว่า คนใช้กล้องฟิล์มนี่ต้องมีตังนะ เพราะมันเปลือง ซึ่ง.. ก็เปลืองจริงนะ คือมันเปลืองกว่าดิจิตอลแน่ๆล่ะ แต่เปลืองแบบรับไม่ได้หรือเปล่า? เราว่าไม่นะ ลองมาคำนวณเล่นๆกันดีกว่า

โดยปกติ ถ้าเรามีไอโฟนในมือ การกระหน่ำถ่ายรูปมันคงมหาศาลทีเดียว แต่..เอาจริงๆแล้ว เราจะได้ดูรูปที่ถ่ายไปแล้วสักกี่รูป? เพราะฉะนั้น ในทางกลับกัน การถ่ายรูปด้วยฟิล์มจึงไม่มีความจำเป็นที่จะถ่ายกระหน่ำขนาดนั้น จนกว่าเราจะอยากกดชัตเตอร์กันจริงๆ โดยเฉลี่ยที่เราพกกล้องติดตัวไปตลอดเวลา ต่อวันเราจะถ่ายไม่เกิน 5 รูป บางวันไม่ได้ถ่ายก็มี ใน 1 เดือน ถ้าอยากถ่ายให้มีความสุข ก็ตก 100 – 150 รูป ถ้าเราใช้ฟิล์ม 135 ทั่วๆไปที่ถ่ายได้ม้วนละ 36 รูป ก็จะต้องใช้ฟิล์ม 3 – 5 ม้วน แล่วแต่ความฟิตของแต่ละคน

ฟิล์มม้วนนึง ราคาตั้งแต่ 65 บาท ถึงประมาณ 200 บาท แล้วแต่อยากเท่ อยากสวยขนาดไหน อย่างเราเน้นสวยและประหยัด เฉลี่ยไม่เกินม้วนละ 100 บาท เพราะฉะนั้น 1 เดือน ถ้าเอาประหยัดเราจ่ายค่าฟิล์มประมาณ 200 – 300 บาท

ค่าล้าง ค่าสแกนอีก.. ( ปกติเราล้างอย่างเดียว สแกนเองที่บ้านได้ ) ร้านที่เค้าล้างๆสแกนๆกัน ถ้าเป็นสี ก็ ล้าง 50 บาท + สแกน 40 บาท = 90 -100 บาท ประมาณนี้

เพราะฉะนั้น ต่อเดือนที่เราจะเสียตังคือ

1.ค่าฟิล์ม 200 -300 บาท

2. ค่าล้างสแกน 300 – 450 บาท

รวมแล้ว 500 – 750 บาท สำหรับรูป 100 – 150 รูปต่อเดือน เฉลี่ยรูปละ 5 บาท!

** แต่ถ้าอยากถูกกว่านี้ แนะนำใช้กล้อง HALF FRAME นะ ทุกอย่างหาร 2 เลย เพราะเราจะได้รูปเพิ่มอีกเท่าตัว จาก 36 รูป เป็น 72 รูป!! ตกรูปละ 2.5 บาทเอง**

รูปละ 5 บาท สำหรับความสุขในแต่ละวัน การเก็บความทรงจำที่มันไม่หายไปไหนง่ายๆ ถ้าได้ลองกดดูสักม้วนแล้วจะเข้าใจความสุขนั้น ที่กล้องดิจิตอลให้เราไม่ได้เลยล่ะ

หาซื้อฟิล์มกันได้ที่ไหนล่ะ..

หลายคนคิดว่า ฟิล์มนี่มันสาบสูญไปแล้วแน่ๆเลย (ซึ่งเราก็เคยคิดแบบนั้นแหล่ะ) ฟิล์มสี 135 โดยทั่วไป หาซื้อไม่ยากเลย ใน Facebook ลองค้นคำว่า “ขายฟิล์มถ่ายรูป” ก็มีหลายร้านให้เลือก หรือร้านใหญ่ๆที่ขายถูกและมีให้เลือกเยอะมาก ก็ลองไปที่ตรงข้ามเซ็นทรัลลาดพร้าว แถวนั้นนี่เป็นแหล่งเลยล่ะ

หรือในขณะที่จนมุมจริงๆ เฮ้ย..ฟิล์มหมด หาที่ไหนฉุกเฉินวะ ลองเดินเข้าไปร้านรับอัดรูปนี่แหล่ะ เชื่อมั๊ยว่ามีหลายๆร้านยังขายฟิล์มอยู่ เราเคยเดินสำรวจซอยอารีย์ แถวปากซอยมี 2 ร้านอัดรูป ปรากฏว่าทั้ง 2 ร้านมีฟิล์มขายทั้งคู่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่