1917
ภารกิจเดนตาย
นานๆทีจะมีหนังสงครามที่จัดว่าดีเยี่ยมสักเรื่อง และ 1917 ก็คือหนังสงครามเรื่องล่าสุดที่หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในหนังสงครามที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
หนังเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นสงครามที่ถูกนำมาเล่าในหนังน้อยครั้งมากเมื่อเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสงครามอื่นๆที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นอาจเป็นเพราะว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่มีความรุนแรงเลวร้ายเท่าสงครามอื่น และไม่มีประเด็นที่น่าสนใจจะหยิบมาเล่ามากนัก เมื่อหนังเรื่องนี้หยิบเหตุการณ์ตอนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 1 มาเล่าก็พบว่าเนื้อหาจริงๆไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่จากหนังสงครามเรื่องอื่นเลย มิหนำซ้ำยังถือว่าน่าสนใจน้อยกว่าเรื่องอื่นด้วยซ้ำไป หากแต่ว่าหนังกลับโดดเด่นด้วยรูปแบบการนำเสนอ การเล่าเรื่อง การถ่ายภาพ และความทะเยอทะยานที่จะนำเสนอภาพของเหตุการณ์ในสงครามราวกับว่าคนดูในอยู่เหตุการณ์นั้นจริงๆ
สองทหารอังกฤษ เบลก (ดีน ชาร์ลส์-แชปแมน) และ สกอฟิลด์ (จอห์น แมคเคน) ได้รับภารกิจที่เรียกว่าเป็นไปไม่ได้ก็ว่าได้เพราะต้องไปแจ้งข่าวสำคัญให้กับฝ่ายตนเองซึ่งอยู่ในแดนศัตรู หากภารกิจนี้สำเร็จอาจจะเป็นการช่วยชีวิตทหารมากถึง 1,600 นายเลยทีเดียว อีกทั้งหนึ่งในทหารแนวหน้าเหล่านั้นก็คือพี่ชายของเบลก
ภารกิจนี้ไม่ใช่แค่เสี่ยงชีวิตหากแต่ยังต้องแข่งกับเวลาที่มีจำกัดอีกด้วย
นี่เป็นหนังสงครามที่ดูสนุกและดูง่ายกว่าหนังสงครามหลายเรื่อง อย่างแรกเลยที่หนังทำให้ดูสนุกได้ก็ด้วยวิธีการถ่ายทำแบบลองเทค หรือก็คือการถ่ายทำอย่างต่อเนื่อง จนออกมาดูเหมือนจะใช้วิธีนี้เกือบทั้งเรื่อง บวกกับสถานการณ์หนีตายจากกระสุนของฝ่ายศัตรูจึงทำให้ภาพที่ได้นั้นเหมือนกับคนดูได้ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ ได้ทั้งความตื่นเต้นและก็ร่วมลุ้นระทึกว่าตัวละครจะรอดชีวิตจากภารกิจเดนตายนี้หรือไม่ แต่ในขณะเดียวกันหนังก็สอดแทรกเนื้อหาเล็กๆน้อยๆเข้าไปในระหว่างภารกิจเดนตายนี้ที่ถือเป็นแก่นเรื่องหลักของหนังได้ดีเช่นกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องบอกว่าหนังมีเนื้อหาที่อ่อนอยู่ดี อาจจะไม่อ่อนยวบมากมายอะไร แต่ถ้าได้ดูหนังจบแล้วก็จะพบว่าเราทึ่งกับรูปแบบการนำเสนอของหนังมาก มากเสียจนไม่ค่อยรู้สึกว่าเนื้อหาในหนังได้ตกตะกอนอยู่ในหัวเราสักเท่าไร
ที่จริงหนังเรื่องนี้ก็มีเนื้อหาแบบที่หนังสงครามหลายเรื่องมักหยิบมาเล่นเช่นเดียวกัน แต่พอไปให้ความสำคัญกับงานด้านภาพอย่างเต็มเปี่ยมขนาดนี้ก็เลยกลายเป็นว่าความลุ่มลึกในเนื้อหานั้นลดลงไปด้วยซึ่งอันที่จริงแล้วอย่างหลังนี้ควรจะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่างานด้านภาพของหนังเรื่องนี้ได้แสดงศักยภาพของหนังออกมาได้มากถึงขีดสุดเท่าที่จะเคยมีหนังเรื่องไหนทำมาก็ว่าได้
ขบเคี้ยวหนัง
[CR] 1917 ภารกิจเดนตาย
1917
ภารกิจเดนตาย
นานๆทีจะมีหนังสงครามที่จัดว่าดีเยี่ยมสักเรื่อง และ 1917 ก็คือหนังสงครามเรื่องล่าสุดที่หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในหนังสงครามที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
หนังเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นสงครามที่ถูกนำมาเล่าในหนังน้อยครั้งมากเมื่อเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสงครามอื่นๆที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นอาจเป็นเพราะว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่มีความรุนแรงเลวร้ายเท่าสงครามอื่น และไม่มีประเด็นที่น่าสนใจจะหยิบมาเล่ามากนัก เมื่อหนังเรื่องนี้หยิบเหตุการณ์ตอนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 1 มาเล่าก็พบว่าเนื้อหาจริงๆไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่จากหนังสงครามเรื่องอื่นเลย มิหนำซ้ำยังถือว่าน่าสนใจน้อยกว่าเรื่องอื่นด้วยซ้ำไป หากแต่ว่าหนังกลับโดดเด่นด้วยรูปแบบการนำเสนอ การเล่าเรื่อง การถ่ายภาพ และความทะเยอทะยานที่จะนำเสนอภาพของเหตุการณ์ในสงครามราวกับว่าคนดูในอยู่เหตุการณ์นั้นจริงๆ
สองทหารอังกฤษ เบลก (ดีน ชาร์ลส์-แชปแมน) และ สกอฟิลด์ (จอห์น แมคเคน) ได้รับภารกิจที่เรียกว่าเป็นไปไม่ได้ก็ว่าได้เพราะต้องไปแจ้งข่าวสำคัญให้กับฝ่ายตนเองซึ่งอยู่ในแดนศัตรู หากภารกิจนี้สำเร็จอาจจะเป็นการช่วยชีวิตทหารมากถึง 1,600 นายเลยทีเดียว อีกทั้งหนึ่งในทหารแนวหน้าเหล่านั้นก็คือพี่ชายของเบลก
ภารกิจนี้ไม่ใช่แค่เสี่ยงชีวิตหากแต่ยังต้องแข่งกับเวลาที่มีจำกัดอีกด้วย
นี่เป็นหนังสงครามที่ดูสนุกและดูง่ายกว่าหนังสงครามหลายเรื่อง อย่างแรกเลยที่หนังทำให้ดูสนุกได้ก็ด้วยวิธีการถ่ายทำแบบลองเทค หรือก็คือการถ่ายทำอย่างต่อเนื่อง จนออกมาดูเหมือนจะใช้วิธีนี้เกือบทั้งเรื่อง บวกกับสถานการณ์หนีตายจากกระสุนของฝ่ายศัตรูจึงทำให้ภาพที่ได้นั้นเหมือนกับคนดูได้ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ ได้ทั้งความตื่นเต้นและก็ร่วมลุ้นระทึกว่าตัวละครจะรอดชีวิตจากภารกิจเดนตายนี้หรือไม่ แต่ในขณะเดียวกันหนังก็สอดแทรกเนื้อหาเล็กๆน้อยๆเข้าไปในระหว่างภารกิจเดนตายนี้ที่ถือเป็นแก่นเรื่องหลักของหนังได้ดีเช่นกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องบอกว่าหนังมีเนื้อหาที่อ่อนอยู่ดี อาจจะไม่อ่อนยวบมากมายอะไร แต่ถ้าได้ดูหนังจบแล้วก็จะพบว่าเราทึ่งกับรูปแบบการนำเสนอของหนังมาก มากเสียจนไม่ค่อยรู้สึกว่าเนื้อหาในหนังได้ตกตะกอนอยู่ในหัวเราสักเท่าไร
ที่จริงหนังเรื่องนี้ก็มีเนื้อหาแบบที่หนังสงครามหลายเรื่องมักหยิบมาเล่นเช่นเดียวกัน แต่พอไปให้ความสำคัญกับงานด้านภาพอย่างเต็มเปี่ยมขนาดนี้ก็เลยกลายเป็นว่าความลุ่มลึกในเนื้อหานั้นลดลงไปด้วยซึ่งอันที่จริงแล้วอย่างหลังนี้ควรจะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่างานด้านภาพของหนังเรื่องนี้ได้แสดงศักยภาพของหนังออกมาได้มากถึงขีดสุดเท่าที่จะเคยมีหนังเรื่องไหนทำมาก็ว่าได้
ขบเคี้ยวหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้