วีรกรรมอันหาญกล้าของเหล่ารูปธรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่มนุษย์เราบนโลกไม่สามารถที่
จะล่วงรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นได้.?..
ดาวเคราะห์โลกที่ล่องลอยอยู่ในระบบสุริยจักรวาลมีโอกาสน้อยมากที่จะสร้างอารยธรรม
ที่ยืนยาว และ แข็งแกร่งขึ้นมาได้ หากไม่ได้รับการปกป้องจากเหล่ารูปธรรมแสงสว่างนอกโลก
เพราะในชั้นบรรยากาศแถบ Main Asteroid Belt นั้นมีดาวเคราะห์น้อย และ อุกกาบาต
ขนาดใหญ่ และ ขนาดเล็กมากมายนับล้านๆ ชิ้น ที่พร้อมจะเปลี่ยนวงโคจรหากมีความแปรปรวนเกิดขึ้น มันก็พร้อมพุ่งชนโลกของเราได้ทุกขณะ และ จะมีหายนะภัยในทุกๆ 100 ปีทีเดียว จากอุกกาบาต และ ดาวเคราะห์น้อยเหล่านั้น
แต่ดาวเคราะห์โลกของเราโชคดีที่มีดาวพฤหัสพี่ใหญ่ในระบบสุริยะของเราคอยดึงดูดหรือเบี่ยงเบนอุกกาบาตเหล่านั้นไม่ให้มาปะทะกับโลกได้กว่า 70% ทีเดียว ส่วนที่เหลือ
เป็นหน้าที่ของเหล่าผู้พิทักษ์โลกเหล่ารูปธรรมทั้งหลายที่จะคอยดูแล และ ปกป้องโลกของเรามาช้านานตั้งแต่มีอุบัติการณ์สิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่า "มนุษย์" มาช้านานตั้งแต่แรกเริ่ม
เลยทีเดียว
และ พวกเขายังคอยสอดส่องดูแลไม่ให้อุกกาบาตเทหะวัตถุขนาดเล็ก และ เศษซากขยะ
อวกาศทั้งหลายพุ่งเข้าชนโลกของพวกเราอีกต่างหาก พวกเราต้องแปลกใจแน่ๆ ถ้าหากเรารู้ว่าพวกมันมีจำนวนมากเท่าไหร่แล้วที่พวกเขาเปลี่ยนทิศทางของพวกมันให้เบี่ยงเบนพ้นไปจากดาวเคราะห์โลกของเรา
เมื่อราวๆ ก่อนเปลี่ยนทศวรรษใหม่มาสู่ปีค.ศ. 2000 ประมาณปลายปี 1999 มีเหตุการณ์สำคัญที่เหล่ารูปธรรมแสงสว่างได้ช่วยเหลือชาวโลก มีแต่อารยธรรมของมนุษย์เท่านั้น ที่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งจักรวาล ว่ามันเคยมีอุกกาบาตขนาดใหญ่พิเศษลูกหนึ่ง
ที่ถูกทำให้พุ่งเข้ามาหาโลกด้วยความเร็วสูง โดยหัวหน้ากองกำลังฝ่ายมืด อุกกาบาตนี้มี
ขนาดกว้างใหญ่หลายไมล์เลยทีเดียวสามารถทำลายอารยธรรมของโลกให้สิ้นสูญได้เลย
เพราะว่าตอนนั้นฝ่ายมืดหมดความอดทนกับความล่าช้า ของแผนการยึดครองโลก NWO ของพวกมันแล้ว จึงตัดสินใจที่จะทำลายโลกของเราทิ้งเสีย แต่มีนักรบแสงสว่างที่ประจำการแถบ
นั้นสังเกตุเห็นว่าอุกกาบาตลูกนี้มันถูกทำให้เปลี่ยนทิศทางไปจากทิศทางปกติของมันแล้ว มุ่งหน้ามาสู่โลกแทนพวกเขาจึงติดต่อไปยังกองกำลังพิทักษ์โลกอย่างเร่งด่วน
แล้วกองกำลังพิทักษ์โลกก็มีคำสั่งให้ทำลายมันแล้วพวกเขาก็ได้ช่วยกันบดขยี้อุกกาบาตลูกนั้นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนที่มันจะเข้ามาสู่บรรยากาศของโลกได้นั่นเอง
และ อุกกาบาตลูกนั้นมันมีชื่อว่า Comet C/1999 H1(Lee) ซึ่งอยู่ๆ ก็ถูกองค์การนาซ่า
ตรวจพบขึ้นมาเฉยๆ ในเดือนเมษายน 1999 และ มีโหรระดับโลก และ มีข่าวลือว่ามันจะมาชนโลกในปี 2000 จนมีชาวโลกมากมายเชื่อว่า ปี2000 คือวันสิ้นโลก
และ เรื่องนี้มีเพียงนักดาราศาสตร์บางคนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ และ พวกเขาเคยเขียนบทความว่าโลกต้องมีเทพคอยพิทักษ์โลกอยู่แน่ๆ เพราะพวกเขาแปลกใจว่าทำไมอุกกาบาตถึงหายสาปสูญไปได้เฉยๆ ราวถูกมนต์สะกดพวกเขารู้ว่ามีมันอยู่ตรงนั้น เมื่อก่อนที่มันจะถูกสลายตัวไปไม่นานนี้เอง ดังนั้น เหล่านักดารศาสตร์เหล่านั้นจึงสรุปว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากๆ
นักวิทยาศาสตร์มนุษย์มีน้อยมากที่จะเชื่อเรื่องการมีตัวตนอยู่จริงของเหล่ารูปธรรมชีวิตทรงภูมิปัญญาชั้นสูงนอกโลกที่คอยห่วงใย และ รักษาโลกของเราให้เป็นที่อาศัยของมนุษย์ไปอีกนานแสนนานชั่วกาลปาวสาน...
เหตุผลที่โลกเรายังไม่ถูกชนโดยอุกกาบาตขนาดใหญ่เสียที
วีรกรรมอันหาญกล้าของเหล่ารูปธรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่มนุษย์เราบนโลกไม่สามารถที่
จะล่วงรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นได้.?..
ดาวเคราะห์โลกที่ล่องลอยอยู่ในระบบสุริยจักรวาลมีโอกาสน้อยมากที่จะสร้างอารยธรรม
ที่ยืนยาว และ แข็งแกร่งขึ้นมาได้ หากไม่ได้รับการปกป้องจากเหล่ารูปธรรมแสงสว่างนอกโลก
เพราะในชั้นบรรยากาศแถบ Main Asteroid Belt นั้นมีดาวเคราะห์น้อย และ อุกกาบาต
ขนาดใหญ่ และ ขนาดเล็กมากมายนับล้านๆ ชิ้น ที่พร้อมจะเปลี่ยนวงโคจรหากมีความแปรปรวนเกิดขึ้น มันก็พร้อมพุ่งชนโลกของเราได้ทุกขณะ และ จะมีหายนะภัยในทุกๆ 100 ปีทีเดียว จากอุกกาบาต และ ดาวเคราะห์น้อยเหล่านั้น
แต่ดาวเคราะห์โลกของเราโชคดีที่มีดาวพฤหัสพี่ใหญ่ในระบบสุริยะของเราคอยดึงดูดหรือเบี่ยงเบนอุกกาบาตเหล่านั้นไม่ให้มาปะทะกับโลกได้กว่า 70% ทีเดียว ส่วนที่เหลือ
เป็นหน้าที่ของเหล่าผู้พิทักษ์โลกเหล่ารูปธรรมทั้งหลายที่จะคอยดูแล และ ปกป้องโลกของเรามาช้านานตั้งแต่มีอุบัติการณ์สิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่า "มนุษย์" มาช้านานตั้งแต่แรกเริ่ม
เลยทีเดียว
และ พวกเขายังคอยสอดส่องดูแลไม่ให้อุกกาบาตเทหะวัตถุขนาดเล็ก และ เศษซากขยะ
อวกาศทั้งหลายพุ่งเข้าชนโลกของพวกเราอีกต่างหาก พวกเราต้องแปลกใจแน่ๆ ถ้าหากเรารู้ว่าพวกมันมีจำนวนมากเท่าไหร่แล้วที่พวกเขาเปลี่ยนทิศทางของพวกมันให้เบี่ยงเบนพ้นไปจากดาวเคราะห์โลกของเรา
เมื่อราวๆ ก่อนเปลี่ยนทศวรรษใหม่มาสู่ปีค.ศ. 2000 ประมาณปลายปี 1999 มีเหตุการณ์สำคัญที่เหล่ารูปธรรมแสงสว่างได้ช่วยเหลือชาวโลก มีแต่อารยธรรมของมนุษย์เท่านั้น ที่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งจักรวาล ว่ามันเคยมีอุกกาบาตขนาดใหญ่พิเศษลูกหนึ่ง
ที่ถูกทำให้พุ่งเข้ามาหาโลกด้วยความเร็วสูง โดยหัวหน้ากองกำลังฝ่ายมืด อุกกาบาตนี้มี
ขนาดกว้างใหญ่หลายไมล์เลยทีเดียวสามารถทำลายอารยธรรมของโลกให้สิ้นสูญได้เลย
เพราะว่าตอนนั้นฝ่ายมืดหมดความอดทนกับความล่าช้า ของแผนการยึดครองโลก NWO ของพวกมันแล้ว จึงตัดสินใจที่จะทำลายโลกของเราทิ้งเสีย แต่มีนักรบแสงสว่างที่ประจำการแถบ
นั้นสังเกตุเห็นว่าอุกกาบาตลูกนี้มันถูกทำให้เปลี่ยนทิศทางไปจากทิศทางปกติของมันแล้ว มุ่งหน้ามาสู่โลกแทนพวกเขาจึงติดต่อไปยังกองกำลังพิทักษ์โลกอย่างเร่งด่วน
แล้วกองกำลังพิทักษ์โลกก็มีคำสั่งให้ทำลายมันแล้วพวกเขาก็ได้ช่วยกันบดขยี้อุกกาบาตลูกนั้นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนที่มันจะเข้ามาสู่บรรยากาศของโลกได้นั่นเอง
และ อุกกาบาตลูกนั้นมันมีชื่อว่า Comet C/1999 H1(Lee) ซึ่งอยู่ๆ ก็ถูกองค์การนาซ่า
ตรวจพบขึ้นมาเฉยๆ ในเดือนเมษายน 1999 และ มีโหรระดับโลก และ มีข่าวลือว่ามันจะมาชนโลกในปี 2000 จนมีชาวโลกมากมายเชื่อว่า ปี2000 คือวันสิ้นโลก
และ เรื่องนี้มีเพียงนักดาราศาสตร์บางคนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ และ พวกเขาเคยเขียนบทความว่าโลกต้องมีเทพคอยพิทักษ์โลกอยู่แน่ๆ เพราะพวกเขาแปลกใจว่าทำไมอุกกาบาตถึงหายสาปสูญไปได้เฉยๆ ราวถูกมนต์สะกดพวกเขารู้ว่ามีมันอยู่ตรงนั้น เมื่อก่อนที่มันจะถูกสลายตัวไปไม่นานนี้เอง ดังนั้น เหล่านักดารศาสตร์เหล่านั้นจึงสรุปว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากๆ
นักวิทยาศาสตร์มนุษย์มีน้อยมากที่จะเชื่อเรื่องการมีตัวตนอยู่จริงของเหล่ารูปธรรมชีวิตทรงภูมิปัญญาชั้นสูงนอกโลกที่คอยห่วงใย และ รักษาโลกของเราให้เป็นที่อาศัยของมนุษย์ไปอีกนานแสนนานชั่วกาลปาวสาน...